ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 454 ผู้คนและเมือง (2)
เปลวไฟที่แผดเผาจากคบเพลิงและการหายใจอย่างประหม่าดังมา จากฝูงชนที่ยืนอยู่ด้านหลังโรเอล ขณะที่ทุกคนรอคอยด้วยความกังวลที่ เหมือนจะเป็นนิรันดร์นี้ ในที่สุดสัตว์ประหลาดก็ตัดสินใจถอยไป ทําให้ หมอกที่เป็นลูกคลื่นเริ่มถอยกลับไปทันทีราวกับน�าขึ้นน�าลง
“ม…มันกําลังจะไปแล้วงั้นเหรอ?”
“หมอกมหึมานั่นกําลังถอยออกไปจริงๆ! ”
“โอ้ เทพีเซีย ขอบคุณสําหรับพระคุณของท่าน! ท่านนายน้อยโรเอ ลจงเจริญ!”
เมื่อมองดูหมอกสีเงินที่ค่อยๆ ถอยกลับเข้าไปในความมืดในยามค�า คืน ทหารที่ยืนอยู่บนกําแพงเมืองต่างก็หลุดพ้นจากความงุนงงและ ความโกลาหลก็เริ่มขึ้น เพราะความเครียดที่ตรึงพวกเขาไว้ได้หายไป แล้ว เหล่าทหารในเมืองทั้งหมดต่างเริ่มส่งเสียงโห่ยินดีเป็นชื่อโรเอล ดังๆ
ทันใดนั้นคาร์เมนและคนอื่นๆ ก็รีบวิ่งขึ้นมาบนกําแพงเมืองที่โรเอ ลยืนอยู่
เมื่อได้ยินฝูงชนที่โห่ร้อง โรเอลก็ค่อยๆ คลายพลังเวทของตนลง ทําให้ทั้งเงาของผู้สร้างธารน�าแข็งและผู้เรียกพายุค่อยๆ จากหายสลาย ไปในอากาศ พร้อมกับประกายแวววาวในดวงตาสีทองที่จางลง เหลือ เพียงความกังวลอันไม่มีที่สิ้นสุดในใจ
โรเอลมองไปทางป้อมปราการทาร์ก เขารู้ว่านี่ยังไม่ใช่สิ้นสุด แต่ เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น
ภายในปราสาทพลบค�า ไบรอัน เอลริกได้เดินเข้าไปในห้องมืด มัน ผ่านมานานพอสมควรแล้วตั้งแต่เขามาที่นี่เป็นครั้งสุดท้าย มีโต๊ะยาว พร้อมชาร้อนหอมกรุ่นสองถ้วยและเทียนเล่มหนึ่งที่ส่องสว่างไปทั่ว บริเวณอันมืดมิด ข้างใต้แสงเทียนมีชายปริศนานั่งอยู่ ใบหน้าของเขา ซ่อนอยู่ระหว่างขอบเขตของความสว่างและความมืด
เขาเป็นชายคนเดียวของสมาคมนักปราชญ์ที่สามารถปกปิด ใบหน้าของตนได้ และเป็นผู้นําขององค์กรขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวที่ ดําเนินการอย่างลับๆ ภายในอาณาจักรของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง
นักสะสม
เขาเป็นเหมือนภาพหลอนลึกลับอยู่ไกลจากสายตาและไกลเกิน เอื้อม แม้แต่การเข้ามาในห้องนี้ก็ยังต้องการสิทธิ์ในการเข้าถึงระดับ สูงสุด จนไม่มีใครล่วงรู้ถึงการดํารงอยู่ของเขา เขามีประสบการณ์และ
ความสามารถระดับที่มีเพียงน้อยคนนักที่จะกล้าท้าทาย ราวกับว่าเขา มองเห็นสิ่งต่างๆ จากมิติที่สูงกว่าคนอื่นๆ
“พวกเขาเคลื่อนไหวแล้ว”
นักสะสมกล่าว
เสียงของเขาฟังดูเหมือนเสียงกระซิบอันแผ่วเบาจากระยะไกล แต่ กลับถ่ายทอดความจริงอันน่าสะพรึงกลัว
“ช่วงเวลาแห่งการสุกงอมได้มาถึงแล้ว และเจ้าเองก็น่าจะ เชี่ยวชาญวิธีใช้สิ่งที่ข้ามอบให้แล้วด้วยเช่นกัน ทุกอย่างกําลังเข้าที่เข้า ทาง นี่คือโอกาสของเจ้า ที่เหลือก็แค่การตัดสินใจของเจ้าเท่านั้น”
“… นี่มันแตกต่างจากที่ท่านบอกข้าเมื่อสองสามปีก่อนนะ”
“แน่นอนสิไบรอัน โลกเรามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โชคชะตาเป็นดั่งของเหลว อุบัติเหตุกับตระกูลแอสคาร์ด และการตาย ของลูกเจ้าก็เป็นหนึ่งในความเป็นไปได้นับไม่ถ้วนนั้น มองไปที่ผู้สืบทอด ของตระกูลแอสคาร์ดในตอนนี้สิ ข้าไม่คิดว่าการพ่ายแพ้ของเจ้าในตอน นั้นไม่คุ้มค่าหรอกนะ”
เสียงของนักสะสมดังก้องอยู่ในห้องมืด ฟังดูราวกับเป็นคําอธิบาย ที่ผสมเสียงคร�าครวญไปในตัว
“ข้าไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้ที่สามารถปลุกพลังสายเลือดจะปรากฏ ตัวขึ้นอีกครั้งในตระกูลนั้น นั่นคงเป็นเหตุผลที่ทําให้คําทํานายผิดพลาด มันเป็นพลังที่อยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ และนั่นคือเหตุผลที่ ตระกูลเอลริกของเจ้าต้องตกอยู่ในสภาพนี้”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ทําไมข้าจะต้องเชื่อว่าครั้งนี้มันจะสําเร็จ”
“นั่นเป็นเพราะว่าเวลาเปลี่ยนไปแล้วยังไงล่ะไบรอัน”
เมื่อต้องเผชิญกับคําถามของไบรอันผู้มีใบหน้าเย็นชา นักสะสมก็ ยกมือขึ้นอย่างสง่างาม ราวกับว่าเขากําลังวาดภาพโลกให้แขกของตน ได้เห็น
“ที่เจ้าเห็นคือความสงบก่อนพายุจะมา การนับถอยหลังวันสิ้นโลก ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว สิ่งมีชีวิตตัวตนดึกดําบรรพ์ต่างๆ กําลังจะฟื้ นขึ้นมาที ละตัว ในขณะที่ทุกคนต่างแย่งชิงทรัพยากรเพื่อเป็นผู้นําเหนือคนอื่นๆ หกภัยพิบัติกําลังทํางานเพื่อรวบรวมพลังให้กับมารดาแห่งเทพธิดา และเหล่าสาวกของผู้กอบกู้เองก็จะเข้าร่วมการต่อสู้เช่นเดียวกัน”
“นี่เป็นยุคที่ช่วงจังหวะแห่งโชคชะตากําลังพังทลายลง แม้ตระกูล แอสคาร์ดจะมีเอกลักษณ์ทรงพลังไม่เหมือนใคร แต่พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ ยงคงกระพัน นี่คือโอกาสสุดท้ายของเจ้าแล้ว ผู้สืบทอดของพันธมิตร
ไตรภาคีกําลังจะตื่นขึ้นภายใต้การแทรกแซงของเขา และใกล้ที่จะหลุด พ้นจากรังไหมเต็มที”
“…”
ผิวของไบรอันดูซีดเซียวกว่าเดิม นักสะสมได้โจมตีจุดอ่อนของเขา อย่างแม่นยํา สถานการณ์ปัจจุบันในจักรวรรดิเซนต์เมซิท ถ้านอร่าปลุก พลังสายเลือดขึ้นมาได้อีกครั้งล่ะก็ ขุนนางที่กําลังเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ก็ อาจจะเอนไปทางตระกูลแอสคาร์ดและตระกูลเซไซต์ ทําให้ความ พยายามตลอดศตวรรษของเขาไร้ประโยชน์
“การฟื้ นคืนของตระกูลเอลริกเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยความ ยากลําบากมาโดยตลอด เมื่อยุคแห่งความโกลาหลมาถึงจักรวรรดิเซนต์ เมซิทจะมีศูนย์กลางอยู่ที่ตระกูลเซไซต์อีกครั้ง ความปรารถนาของเจ้า จะต้องถูกทําลายโดยกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลง เจ้าน่าจะรู้ดีกว่า ใครๆ ไม่ใช่เหรอ ไบรอัน ไม่สิ เฟลเดอร์ เอลริก”
นักสะสมเรียกไบรอันด้วยชื่อเก่าของอีกฝ่ายและพูดคําทํานายของ ตนสําหรับอนาคต ไบรอันหรี่ตาลงอย่างรวดเร็วและประเมินชายที่นั่ง อยู่ตรงปลายโต๊ะพร้อมถาม
“…ท่านได้อะไรจากการทําแบบนี้กัน?”
มันเป็นคําถามที่ไม่คาดฝัน แต่ตัดตรงไปที่แก่นของสิ่งต่างๆ นัก สะสมหยุดชั่วครู่ก่อนจะหัวเราะออกมา “ข้าเป็นเพียงนักสะสม ผู้มีอํานาจไม่สนใจข้า เจ้าต่างหากที่เป็นผู้ ควบคุมสมาคมนักปราชญ์ตัวจริง การกระทําของเจ้ากระตุ้นความสนใจ และความคาดหวังของข้า ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้ว” “นั่นก็ใช่ แต่… ดูเหมือนว่าท่านจะรู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลนั้นมาก เลยทีเดียว?” ไบรอันยังคงจ้องไปที่นักสะสมด้วยสายตาที่เฉยเมย อีกฝ่ายเงียบ ไปทันทีเมื่อทั้งสองสบตากัน ใช้เวลาสักครู่ก่อนที่จะตอบกลับในที่สุด “…เจ้าไม่เชื่อใจข้าเหรอ?” “เปล่า ข้าแค่อยากรู้ว่าท่านรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?” “…นั่นเป็นคําถามง่ายๆ ข้าเคยเป็นหนึ่งในพวกเขา” “ท่านน่ะเหรอ?” “ใช่ แต่ตอนนี้มันไม่ได้ต่างอะไรไปจากประวัติศาสตร์โบราณคร�า ครึ…”
ภายในห้องมืด นักสะสมมองไปยังชายที่คบหาด้วยมานานกว่าร้อย ปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับตัวเอง ซึ่งสิ่งที่เขา เปิดเผยก็ทําให้เกิดรอยร้าวในหน้ากากแห่งความสงบของไบรอัน
“นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะอธิบายเรื่องต่างๆ”
ต้องใช้เวลานานกว่าดวงตาที่เบิกกว้างของไบรอันจะค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพปกติ เขาลุกขึ้นยืนและมองไปยังชายที่ซ่อนตัวอยู่ในเงา มืด
“ข้าไม่มีคําถามอื่นแล้ว ข้าจะยอมรับโอกาสสุดท้ายนี้ แล้วเราจะได้ พบกันอีก”
ไบรอันหันหลังกลับแล้วเดินออกจากห้องไป
นักสะสมเฝ้าดูอย่างเงียบๆ ขณะที่ไบรอันเดินจากไป จนเมื่อเงา ของอีกฝ่ายหายไปจนหมด แล้วจึงพึมพํากับตัวเองในที่สุด
“ช่างเป็นคนดื้อรั้นจริงๆ ให้ตายสิ เสียดายชาชะมัด”
นักสะสมมองดูถ้วยชาร้อนๆ ที่วางอยู่บนอีกฝั่ งของโต๊ะและถอน หายใจอย่างเศร้าสร้อย จากนั้นเขาก็หันกลับมามองประติมากรรมลอย น�าที่เพิ่งได้รับมา
ความใส่ใจในรายละเอียดอย่างพิถีพิถันบ่งบอกว่าประติมากรรม นั้นเป็นผลงานของปรมาจารย์ แต่มันเป็นงานศิลปะที่ไม่สมบูรณ์ มัน เป็นภาพของเด็กสาวที่เหมือนทูตสวรรค์ยืนอยู่อย่างกล้าหาญเหนือ ซากศพที่ล้มลงนับไม่ถ้วน ทว่าสิ่งที่นักสะสมสนใจเป็นพิเศษคือเด็ก หนุ่มที่ยืนอยู่ท่ามกลางซากศพ
รอยยิ้มแห่งความคาดหวังเกิดขึ้นบนใบหน้าของนักสะสม “คราวนี้เจ้าจะทําอะไรอีกกันนะ โรเอล แอสคาร์ด”
…
ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองบาร์กสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้
ชีวิตประจําวันอันสงบสุขได้กลายเป็นไปการเผชิญหน้ากับสัตว์ ประหลาดลึกลับ และสุดท้ายพวกเขาก็รอดชีวิตจากมันมาได้ การ เปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ครั้งใหญ่นี้ทําให้หลายๆ คนรู้สึกหมดไฟทาง จิตใจ แต่ยิ่งไปกว่านั้น มันก็ทําให้พวกเขาตระหนักถึงสถานการณ์ใน ปัจจุบันของตนเองมากขึ้น
“ท่านโรเอล พวกเราควรจะทําอย่างไรต่อไปดี?”
หลังจากที่หมอกจางลง คาร์เมนและทหารของเมืองบาร์กก็มา รวมตัวกันบนกําแพงเมือง โดยที่ใจกลางของฝูงชนมีโรเอลที่กําลัง หายใจอย่างเร่งรีบและพยายามสงบลงด้วยการหลับตาลงทั้งสองข้าง
พลังเวทของโรเอลอยู่ในความโกลาหล และใบหน้าของเขาเองก็ ซีดเซียว การเปิดใช้งานศิลาแห่งมงกุฎสองอันทําให้พลังเวทของเขา หมด แต่เขาคิดว่ามันจําเป็นที่ควรจะทําเช่นนี้
ตอนนี้โรเอลไม่ได้อยู่ในสถานะผู้เฝ้ามอง แต่เป็นโลกแห่งความเป็น จริง หมอกเมื่อครู่เป็นตัวตนแห่งหายนะที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ และ เขาก็ไม่คิดว่าตนเองจะสามารถขับไล่มันออกไปได้โดยใช้ศิลาแห่งมงกุฎ เพียงก้อนเดียว ดังนั้นวิธีเดียวที่จะข่มขู่ให้อีกฝ่ายล่าถอยไปคือการเรียก ผู้สร้างธารน�าแข็งและผู้เรียกพายุออกมาพร้อมๆ กัน
ไม่อย่างนั้นล่ะก็มันไม่มีทางเลยที่เขาจะสามารถช่วยทุกคนที่นี่ได้
โรเอลอยู่ในสภาพที่ย�าแย่ แต่มีบางอย่างที่สําคัญกว่ามากที่ทําให้ เขารู้สึกไม่สบายใจ สถานการณ์ที่ป้อมปราการทาร์กเป็นอย่างไรกัน?
เขาสามารถขับไล่หมอกออกไปได้ด้วยคุณสมบัติต้นกําเนิดมงกุฎ และศิลาแห่งมงกุฎ แต่ไม่มีใครในป้อมปราการทาร์กที่สามารถทําแบบ เดียวกันได้แน่ แล้วพวกเขาจะทนต่อการโจมตีจากหนึ่งในหกภัยพิบัติได้
งั้นหรือ? ที่สําคัญกว่านั้นนอร่าอยู่ในป้อมปราการตอนที่หมอกลงรึ เปล่า?
องค์ชายเคนเขียนระบุมาในจดหมายว่านอร่าจําเป็นต้องสังหาร พวกกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่องเพื่อระบายความก้าวร้าวและระงับพลัง ทางสายเลือด มันคงจะดีไม่น้อยถ้าเธอไม่อยู่ในป้อมปราการทาร์ก แต่ ถ้าเธออยู่ เธอจะจัดการกับหกภัยพิบัติด้วยตัวเองได้งั้นหรือ? โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง เมื่อเธอไม่เคยได้พบมันมาก่อนเลยสักตัว?
สิ่งนี้ทําให้เกิดคําถามว่าเหตุใดหนึ่งในหกภัยพิบัติจึงปรากฏขึ้นใน สถานที่เช่นนี้
มันเป็นฝีมือของภาคีแห่งนักบุญรึเปล่า? ไม่น่าใช่ พวกเขาไม่ได้มี พลังมากพอที่จะทําแบบนี้ได้ พวกเขาสามารถควบคุมไข่ของหกภัย พิบัติได้ก็จริง แต่ไม่ใช่หกภัยพิบัติในสภาพสมบูรณ์แบบนี้ หรือว่า… นี่จะ เป็นมารดาแห่งเทพธิดากัน?
ความคิดนับไม่ถ้วนถาโถมเข้ามาในจิตใจของเด็กหนุ่ม ทําให้เขา กังวลใจจนไม่อยากรออีกเลยแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากพักสักครู่เขาก็ ออกคําสั่ง
“หน่วยอัศวินที่สามตามฉันมา พวกเราจะไปเสริมกําลังให้กับป้อม ปราการทาร์ก ส่วนพวกนายที่เหลือให้ยืนเฝ้าอยู่ที่นี่ต่อไป และรีบ รายงานสถานการณ์ไปยังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ในทันที”
หลังจากออกคําสั่งโรเอลก็นํากองอัศวินไปยังคอกม้า เขาเก็บ ความรู้สึกไม่สบายใจเอาไว้และปีนขึ้นไปบนม้าตัวหนึ่ง ก่อนที่จะนํา หน่วยอัศวินเข้าสู่เงามืดยามค�าคืน
การเดินทางของพวกเขาเป็นไปอย่างราบรื่นหลังจากการจู่โจมของ หมอก สิ่งที่พวกเขาได้ยินมีเพียงการควบม้าและเสียงกระหึ่มของลม เหล่าอัศวินต่างมีสีหน้าเคร่งขรึมและสงบเงียบตลอดทาง ความสนใจ ของพวกเขาจดจ่ออยู่ที่สภาพแวดล้อม ทั้งบนบกและบนท้องฟ้า เพื่อให้ พวกเขาสามารถโต้ตอบได้ทันทีหากหมอกก่อนหน้านี้จะรุกล�ากลับเข้า มา
ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลนี้ ในที่สุดโรเอล และหน่วยอัศวินก็มาถึงบริเวณป้อมปราการทาร์ก อย่างไรก็ตามสิ่งที่ พวกเขารู้สึกไม่ใช่ความสบายใจ แต่เป็นความสับสนและความ สยดสยอง
“ทําไม… มีแต่แสงสว่าง?”
ผู้บัญชาการหน่วยอัศวินตะลึงพลางบ่นกับตัวเองในขณะที่ดึง บังเหียน เหล่าอัศวินที่อยู่ข้างหลังเขาเองก็หยุดม้าลง บรรยากาศอัน หนักหน่วงปกคลุมทั่วทั้งกลุ่มทําให้โรเอลสับสน อย่างไรก็ตามเมื่อเขา สังเกตเห็นรอยแตกของแสงที่เส้นขอบฟ้า ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง ด้วยความตกใจ
เดี๋ยวนะ! แสงสว่าง? ทําไมถึงมีแสงที่นี่ได้กัน?
โรเอลไม่เข้าใจสถานการณ์นี้ ทว่ามีเหตุผลง่ายๆ อยู่เบื้องหลัง
ดวงอาทิตย์ขึ้นจากทิศตะวันออกและป้อมปราการทาร์กเองก็ ตั้งอยู่ที่ทางทิศตะวันออกเช่นกัน