ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 455 จุดเปลี่ยน (1)
มันไม่น่าเป็นไปได้ที่โรเอลและเหล่าอัศวินจะได้เห็นการมาถึงของ รุ่งอรุณที่นี่
ป้อมปราการทาร์ก เป็นป้อมปราการขนาดมหึมาที่ตั้งอยู่ระหว่าง ภูเขาสูงชันสองแห่ง ขนาดที่ใหญ่โตของมันชวนให้นึกถึงภูเขาที่มนุษย์ สร้างขึ้น เทียบได้กับเขื่อนขนาดใหญ่ในอดีตชาติของโรเอล
ระยะความกระชั้นชิดระหว่างป้อมปราการทาร์กกับโรเอลและ หน่วยอัศวิน พวกเขาควรถูกปกปิดในเงามืดของป้อมปราการอันสูง ตระหง่าน แสงอรุณรุ่งอาจย้อมขอบของมันเป็นสีทอง แต่ไม่ควรปรากฏ โดยตรงในสายตาของพวกเขาแบบนี้
ทว่าสิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลับเกิดขึ้นที่นี่
โรเอลและเหล่าอัศวินต่างสับสนและหวาดกลัวอย่างยิ่งเมื่อได้เห็น ภาพที่พวกเขาไม่น่าจะลืมเลือนไปตลอดชีวิต
ป้อมปราการทาร์กได้หายไปแล้ว
มันไม่ได้ถูกทําลาย เพียงแค่หายไปเฉยๆ
สิ่งที่โรเอลและอัศวินเห็นคือพื้นที่ว่างเปล่าระหว่างภูเขาสูงชันสอง แห่ง ป้อมปราการขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ทางชายแดนตะวันออก
มานานหลายศตวรรษนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว ทําให้ทุกคนสามารถผ่าน มันไปได้สบายๆ
จิตใจของโรเอลว่างเปล่าไปชั่วขณะจากการตกใจ สิ่งที่เหลืออยู่ใน ใจเขามีเพียงชื่อของตัวตนโบราณชื่อหนึ่ง
ม่านหมอกมรณะ!!
นั่นคือชื่อของหมอกลึกลับที่โรเอลต่อสู้ด้วยเมื่อคืนนี้ และเขาก็เพิ่ง ได้เข้าใจถึงความอันตรายของมัน บนโลกนี้แทบไม่มีบันทึกเกี่ยวกับม่าน หมอกมรณะหลงเหลืออยู่ มีเพียงคําพูดคลุมเครือเกี่ยวกับภัยพิบัติที่ลบ ทุกอย่างออกจากการดํารงอยู่อย่างเงียบงัน
ก่อนหน้านี้โรเอลคิดว่าการทําลายล้างของมันจะคล้ายกับของบิดา แห่งความมืด ผู้สร้างธารน�าแข็ง หรือผู้เรียกพายุ แต่ข้อสันนิษฐานของ เขานั้นผิดพลาด ตอนนี้เองที่เขาเข้าใจแล้วว่าทําไมถึงแทบไม่มีบันทึก เกี่ยวกับหกภัยพิบัติอันน่าสะพรึงกลัวตัวนี้เลย
เพราะมันเป็นหกภัยพิบัติที่กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเงียบเชียบ
ราวกับว่าป้อมปราการทาร์กถูกลากเข้าไปในอีกมิติ ลบออกไปจาก พื้นผิวโลก มันไม่ได้หายไปเพราะป้อมปราการถูกทําลาย หรือพูดให้ถูก ก็คือทหารในป้อมปราการไม่มีโอกาสได้ต่อสู้เลยแม้แต่น้อย
หากทหารในป้อมปราการสามารถเปิดใช้งานอาวุธเวทขนาดใหญ่ มันก็จะทําให้เกิดคลื่นพลังเวทขนาดใหญ่มากพอที่โรเอลจะสามารถ รับรู้ได้ แต่มันไม่ได้เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังไม่มีร่องรอยของลูกศรหรือ คาถาเวทในบริเวณใกล้เคียงเลย… หมายความว่าเมื่อคืนนี้ทุกอย่างสงบ มาโดยตลอด
ทุกคนในป้อมปราการทาร์กถูกม่านหมอกมรณะกลืนกินไปโดยไม่ รู้ตัว พวกเขาอาจทําสิ่งต่างๆ ทั่วๆ ไปตามตารางของตนก่อนที่จะหมด สติไป โดยคิดว่ามันเป็นเพียงรูปแบบของสภาพอากาศที่ผิดปกติ
ขนลุกขึ้นทั่วร่างของโรเอล
“ป…เป็นไปได้ยังไง? นี่ฉันฝันไปรึเปล่า?”
“ป้อมปราการอยู่ที่ไหน? ป้อมปราการอยู่ที่ไหน!”
“อ…อา อาาาาา!!!”
เสียงกู่ร้องทุกประเภทดังมาจากเหล่าอัศวินข้างหลังเขา บางคนบ่น พึมพําในใจ พยายามปลอบตัวเองว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงฝันร้าย ในขณะ ที่บางคนเริ่มเสียสติจากการไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้
มันแปลกเกินไป ที่ป้อมปราการอันไร้เทียมทานซึ่งมีผู้มีพลังเหนือ ธรรมชาติและทหารยอดฝีมือนับแสนคนสามารถหายวับไปแบบนั้นได้
โรเอลเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาดี เพราะเขาเองก็อยู่ในจุดที่ไม่ อาจทนได้ไหวเช่นกัน
สิ่งที่ม่านหมอกมรณะกลืนกินไม่ได้มีเพียงป้อมปราการที่สร้างขึ้น อย่างอุตสาหะจนยิ่งใหญ่ขนาดปัจจุบันด้วยความพยายามหลาย ศตวรรษ แต่ยังกลืนกินยอดฝีมือของจักรวรรดิเซนต์เมซิทไปหลายแสน คน ทรัพยากรอีกนับไม่ถ้วน ตลอดจนผู้สืบทอดบัลลังก์อันดับหนึ่งของ จักรวรรดิเซนต์เมซิท องค์ชายเคน!
นี่เป็นหายนะที่อาจทําลายจักรวรรดิเซนต์เมซิทได้เลยทีเดียว!
การเมือง เศรษฐกิจ และการทหาร สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสําคัญสาม ประการที่ประกอบกันเป็นอาณาจักร การสูญเสียป้อมปราการทาร์กไป จะทําให้อิทธิพลของจักรวรรดิเซนต์เมซิทลดลงอย่างมาก แต่ยิ่งไปกว่า นั้น มันยังเปิดช่องทางสําคัญประการหนึ่งสําหรับเหล่าพวกกลายพันธุ์ ให้แทรกซึมเข้าไปในอารยธรรมของมนุษยชาติ
วันนี้จะต้องถูกจารึกลงไปในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอนว่าเป็นจุด เปลี่ยนของชะตากรรมของมนุษยชาติ มันเป็นวันที่ชายแดนตะวันออก ยอมจํานนต่อความหกภัยพิบัติ เป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งความ หวาดกลัวและความทุกข์ทรมาน
แค่คิดถึงผลที่ตามมาจากสถานการณ์นี้ ก็ทําให้โรเอลรู้สึกราวกับว่า มีคนจุดไฟในใจของเขาให้ลุกโชน สิ่งเดียวที่ทําให้เขาทนได้ก็คือคํา อธิษฐานอย่างแรงกล้าของตัวเอง ที่หวังให้นอร่าไม่ได้อยู่ในป้อม ปราการทาร์ก
นอร่าไม่ควรอยู่ที่นั่น
นั่นคือการคาดเดาของเด็กหนุ่มจากปัจจัยทั้งหมดที่รวบรวมมาได้
องค์ชายเคนระบุในจดหมายว่าอาการของนอร่าดีขึ้นหลังจากที่ได้ อ่านจดหมายของโรเอลที่เขียนเมื่อสองเดือนก่อน เรื่องที่เด็กหนุ่มได้รับ ชัยชนะในศึกชิงถ้วย เขาไม่ได้เขียนอะไรอีกหลังจากจดหมายฉบับนั้น และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทําไมเขาถึงรีบมาที่ป้อมปราการทาร์ก
ในทางทฤษฎี ถ้าจดหมายของโรเอลไม่เพียงพอที่จะยับยั้งสถานะ อวตารทูตสวรรค์ของนอร่า เธอก็คงจะมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของป้อม ปราการทาร์ก เพื่อไล่ล่าพวกกลายพันธุ์และระบายความก้าวร้าว ยิ่งไป กว่านั้น เขายังมีหลักฐานที่แน่ชัดว่านอร่ายังมีชีวิตอยู่
ด้วยมือที่สั่นเทา เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปที่ดาบสั้นสีขาวราวกับปีกของ ทูตสวรรค์ที่ห้อยอยู่ที่เอว สัมผัสคําจารึกที่เบาบางของมันอย่างแผ่วเบา ทําให้ได้สติกลับมา
เอสเซนด์วิงเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่โรเอลและนอร่าเปิดใช้งานด้วย พลังสายเลือดของทั้งคู่ พวกเขาจึงสามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของกัน และกัน แม้พลังเวทของเธอจะเบาบาง แต่โรเอลก็มั่นใจว่านอร่ายังอยู่ แถวๆ นี้
“เธอยังอยู่ที่นี่ เธอยังอยู่ที่นี่…”
โรเอลพึมพํากับตัวเองในขณะที่เขาสงบลมหายใจอันเร่งรีบ พยายามบังคับตัวเองให้สงบลง หลังจากรอดจากอันตรายต่างๆ มากมาย เด็กหนุ่มก็ได้รู้ถึงความสําคัญในการรักษาความสงบ เมื่ออยู่ใน สถานการณ์วิกฤต ตอนนี้นอร่าตกอยู่ในอันตรายและต้องการความ ช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ดังนั้นเขาจึงต้องฟื้ นตัวอย่างรวดเร็วและรีบไป อยู่เคียงข้างเธอ
เมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว โรเอลก็ปล่อยพลังเวทสีแดงเข้ม เรียก โครงกระดูกมหึมาขึ้นมา การปรากฏตัวอย่างฉับพลันของกรันด้าได้ กดดันเหล่าอัศวินจนหายใจไม่ออก ดึงความสนใจของพวกเขา
“พวกนายได้สติกันรึยัง!”
โรเอลหันไปหาอัศวินและตะโกนใส่พวกเขาอย่างรุนแรง ดวงตาสี ทองอันเฉียบคมของเด็กหนุ่มเปล่งประกายด้วยอํานาจ กระตุ้นให้อัศวิน
เงียบและสั่นสะท้านต่อหน้าเขา เมื่อความสงบเรียบร้อยกลับคืนมา เด็ก หนุ่มก็ค่อยๆ จ้องมองไปที่เหล่าอัศวินและเริ่มสาธยาย
“ป้อมปราการทาร์กสูญสิ้นไปแล้ว มันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับ ความจริงข้อนี้ แต่พวกนายไม่ควรลืมจุดมุ่งหมายว่าทําไมพวกเราถึงมา ที่นี่”
“ดูชุดเกราะที่ตัวเองสวมอยู่และดาบในฝักซะ พวกนายทุกคนคือ อัศวินแห่งจักรวรรดิเซนต์เมซิท! เมื่อวานฉันไม่ได้ปกป้องพวกนายเพื่อ จะมานั่งดูพวกนายแสดงความโกรธเคืองและละสายตาจากความเป็น จริง ตอนนี้อาณาจักรของเรากําลังตกอยู่ในอันตราย! ยืนขึ้นและพิสูจน์ คุณค่าของตัวเองซะ อย่าได้ยอมจํานนต่อความเศร้านี้!”
โรเอลต่อว่าเหล่าอัศวินอย่างโกรธเกรี้ยวจัดถึงความอ่อนแอของ พวกเขา
การตําหนิของเด็กหนุ่มนําสติและความภาคภูมิกลับมาสู่เหล่า อัศวิน บรรดาผู้ที่บ่นพึมพํากับตัวเองต่างก็หุบปากและมองขึ้นไปที่โร เอล ผู้ที่ตกอยู่ในสภาวะตื่นตกใจเองก็ได้สติกลับมา
โรเอลหยุดครู่หนึ่งเพื่อให้ข้อความของเขาฝังลึกลงในใจเหล่าอัศวิน ก่อนจะพูดต่อ
“พวกนายคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับป้อมปราการทาร์กกัน? การลง ทัณฑ์ของเทพเจ้างั้นเหรอ? ความโกรธของเทพีเซีย? หึ! ฉันสามารถ บอกพวกนายได้อย่างมั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เป็นการโจมตีจาก ศัตรูของเหล่าทวยเทพแห่งยุคโบราณ มันเป็นแผนการโจมตี ประสานกันที่ถูกจัดฉากขึ้นโดยลัทธิชั่วร้าย นี่เป็นการยั่วยุโบสถ์แห่ง เทพีผู้สร้าง เป็นการหมิ่นประมาทต่อเทพีเซีย!”
“พวกนายทุกคนคือนักรบของเทพีเซีย ผู้ศรัทธาที่เคร่งครัดที่สุด ของท่าน! พวกนายต้องยืนหยัดต่อสู้กับศัตรูของเหล่าทวยเทพ เพื่อ ปกป้องเกียรติของเทพีเซียสิ มนุษยชาติทั้งหมดอยู่เบื้องหลังพวกเรา มี หลายชีวิตวางอยู่บนบ่าของเรา! ป้อมปราการทาร์กอาจหายไป แต่พวก เราก็ยังมีโอกาสที่จะสามารถนํามันกลับมาได้”
“สิ่งที่พวกนายต้องทําในตอนนี้คือตั้งสติซะ!”
เมื่อเห็นเหล่าอัศวินเริ่มหมดศรัทธาในสถานการณ์อันสิ้นหวังนี้ โร เอลจึงพยายามปลูกฝังแรงจูงใจใหม่ลงในตัวพวกเขา โดยชี้ให้เห็นศัตรู ที่ชัดเจนและหว่านเมล็ดแห่งความหวังลงในตัวเหล่าอัศวิน
มันไม่ใช่เรื่องผิดที่จะเรียกหกภัยพิบัติว่าศัตรูของเหล่าทวยเทพ องค์กรที่บูชาพวกมันคือภาคีแห่งนักบุญ ซึ่งเป็นลัทธิที่ชั่วร้ายมาโดย ตลอด และความพยายามใดๆ ที่จะทําลายโลกนี้และอารยธรรมต่างๆ ล้วนถือเป็นการลบหลู่เทพีเซียและเหล่าเทพเจ้าที่เธอสร้างขึ้น
เหล่าอัศวินต้องเข้าใจถึงสาเหตุของสถานการณ์อันไร้เหตุผลนี้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็จะไม่สามารถฟื้ นขวัญกําลังใจกลับมาได้
ส่วนคํากล่าวอ้างของโรเอลเกี่ยวกับการนําป้อมปราการทาร์กกลับ มา ไม่มีอะไรมากไปกว่าการโกหก แต่นี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่จะทําให้ เหล่าอัศวินตั้งสติได้