ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 460 เพื่อเธอ
เลือดสาดทั่วใบหน้าของนอร่าพร้อมกับรอยยิ้มที่ริมฝีปาก ราวกับ กําลังเยาะเย้ยความอ่อนแอของมนุษย์ อย่างไรก็ตามวินาทีต่อมา สายตาของเธอก็จ้องมองไปที่หน้าอกของโรเอล ด้วยคิ้วที่ขมวดอย่าง สับสน
“งงล่ะสิว่าทําไมเธอถึงหาหัวใจของฉันไม่เจอ?”
โรเอลกล่าวอย่างใจเย็น
ราชาทูตสวรรค์เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยความประหลาดใจ มองไปยังโรเอลด้วยสายตาที่เปล่งประกาย ซึ่งเด็กหนุ่มก็ยอมเปิดเผย คําตอบอย่างสงบ
“ฉันย้ายหัวใจของตัวเองออกไปแล้ว ตอนนี้ร่างกายของฉันคือโซ่ ห่วงสุดท้ายที่จะจับเธอยังไงล่ะ “
หลังจากที่คําเหล่านั้นถูกกล่าวออกมา เลือดและน�าแข็งก็เริ่มแผ่ไป ทางมือที่ยื่นออกมาของราชาทูตสวรรค์ ผนึกพวกเขาเข้าด้วยกัน และ แล้วในที่สุดแผนของโรเอลก็เสร็จสมบูรณ์
0 เมตร ในที่สุดเราก็เข้าไปใกล้พอซะที
ใต้ท้องฟ้ายามค�าคืนที่ดูสดใส ภายใต้แสงสีขาวและสีทอง โรเอ ลลูบหน้าของนอร่า ก่อนจะถลาไปข้างหน้า ปิดผนึกริมฝีปากของเธอ เชื่อมั่นในความหวังสุดท้าย
เลือดของแม่มด
มันเป็นไปไม่ได้สําหรับโรเอลที่จะเอาชนะนอร่าในสถานะอวตาร ทูตสวรรค์ ด้วยคําพูดเพียงอย่างเดียว และโรเอลก็ไม่ได้ว่าไร้เดียงสา พอที่จะเดิมพันสุ่มสี่สุ่มห้ากับความหวังริบหรี่ เขารู้ว่าตัวเองต้องการ สื่อกลางในการเชื่อมต่อกับนอร่าเพื่อดึงความเป็นมนุษย์ของเธอกลับมา
เลือดของแม่มด เป็นหนึ่งสื่อเวทที่มีศักยภาพและหาได้ยากที่สุดใน ยุคโบราณ และแน่นอนว่าเลือดของราชินีแม่มดยิ่งมีประสิทธิภาพมาก ขึ้นไปอีก มันเป็นหนึ่งในสื่อเวทที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก และเป็นสิ่งเดียว ที่โรเอลสามารถพึ่งพาได้ในตอนนี้
ขณะที่ริมฝีปากของพวกเขาเชื่อมต่อกันหยดเลือดที่โรเอลอมไว้ใน ปากก็กระจายเข้าไปในตัวนอร่า ส่งกระแสการเผาไหม้ของพลังเวทเข้า ไปในร่างกายอย่างรวดเร็ว
โรเอลรู้สึกราวกับว่ามีใครบางคนได้เผาอวัยวะภายในของเขา แต่ ความเจ็บปวดระทมทุกข์นั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว จิตสํานึกของเขา ไหลผ่านเส้นเลือดเข้าไปในจิตวิญญาณของนอร่า
นอร่า เซไซต์พบว่าตัวเองยืนอยู่คนเดียวในโลกสีขาวสว่างที่ดู เหมือนจะกว้างออกไปไม่มีที่สิ้นสุดชั่วนิรันดร์
มันเป็นโลกที่น่าเบื่อ เต็มไปด้วยแสงจ้าและความว่างเปล่า นอร่า แทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย จิตใจของเธอถูกทําให้ว่างเปล่าราวกับว่าถูก หลอมรวมเข้ามาในพื้นที่นี้
ทําไม … เราถึงอยู่ที่นี่ได้กัน?
คําถามนี้ผุดขึ้นมาในหัวของนอร่าขณะที่พยายามรวบรวม ความคิดพลางขมวดคิ้ว เธอใช้เวลานานกว่าจะคิดคําตอบออก
มันเป็นเพราะพลังทางสายเลือดของเราสินะ
นอร่าจําได้อย่างคลุมเครือว่านี่เป็นพื้นที่ที่สร้างขึ้นโดยพลังทาง สายเลือดของเธอ ตระกูลเซไซต์เป็นผู้สืบทอดของสายเลือดแห่งทูต สวรรค์ การปลุกพลังสายเลือดขึ้นมาก็คือการเปิดเผยความทรงจําของ ต้นกําเนิดสายเลือดของพวกเขา ใช้มันเปรียบเทียบจําลองรูปแบบที่จะ เลียนแบบ
คล้ายกับสายเลือดของตระกูลแอสคาร์ด พลังทางสายเลือดของ ตระกูลเซไซต์ไม่ต้องการคําแนะนําและไม่มีความเสี่ยงที่จะสูญเสีย วิธีการในการปลุกพลังสายเลือดของพวกเขา พวกเขาสามารถทําได้ทุก
อย่างได้ด้วยตัวเอง โดยสิ่งเดียวที่พวกเขาจะต้องใส่ใจก็คือการกําหนด ขอบเขตของตัวเอง
คล้ายกับการลอกเลียนแบบสิ่งต่างๆ การลอกเลียนแบบที่สมจริง เกินไปอาจก่อให้เกิดความสับสนได้ ยิ่งระดับการตื่นของพลังทาง สายเลือดสูงขึ้นมากเท่าไหร่ พลังทางสายเลือดแห่งทูตสวรรค์ของพวก เขาก็ยิ่งมีอํานาจมากขึ้น โดยทั่วไปแล้วมันเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ไม่เสมอไป
ตระกูลเซไซต์เป็นผู้สืบทอดสายเลือดแห่งทูตสวรรค์ก็จริง แต่พวก เขาไม่ใช่ทูตสวรรค์จริงๆ หากพลังทางสายเลือดของพวกเขาแข็งแกร่ง เกินไป สัญชาตญาณอันศักดิ์สิทธิ์ในสายเลือดแห่งทูตสวรรค์ของพวก เขาก็จะเข้าควบคุมและครอบครองร่างกายของพวกเขา จนกระทั่ง กําจัดความเป็นมนุษย์ในตัวของพวกเขาทิ้งไป
นั่นคือสิ่งที่นอร่ากําลังพยายามต่อสู้มาโดยตลอด
ในความเป็นจริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเข้าสู่มิตินี้ แต่ครั้งนี้มัน แตกต่างกันออกไป
นอร่าหลงลืมเรื่องต่างๆ มากกว่าครั้งก่อนๆ แม้จะจําได้อย่าง คลุมเครือว่า เธอมักจะโหยหาใครบางคน ที่เพียงแค่พูดชื่อของเขาก็ สามารถเติมเต็มหัวใจของเธอด้วยความอบอุ่นและทลายพื้นที่สีขาวนี้ ลง พาจิตสํานึกของเธอกลับสู่ร่างกาย
ครั้งนี้เด็กสาวรู้สึกถึงชื่ออันคุ้นเคยนั้นที่ปลายลิ้น แต่เธอกลับไม่ สามารถพูดมันออกมาได้
แม้จะทุกอย่างจะยังคงว่างเปล่า แต่นอร่าก็สามารถรู้สึกได้ถึงสิ่งที่ ในหัวใจของเธอ ความกลัว
นอร่าไม่เข้าใจว่าทําไมเธอถึงกลัวที่จะต้องออกจากสถานที่นี้ไป ราวกับว่ามีบางอย่างที่น่ากลัวรอเธออยู่นอกพื้นที่สีขาวนี้ และวิธีเดียวที่ เธอจะหนีจากมันได้ก็คือการซ่อนตัวอยู่ที่นี่และลืมทุกอย่างทิ้งไป
แต่ยิ่งเธออยู่ในพื้นที่สีขาวนี้นานเท่าไหร่ มันก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้น สภาพแวดล้อมเริ่มเปล่งประกายด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ จนดูเหมือนเป็น เพียงเรื่องของเวลา ก่อนที่เธอจะหลอมรวมเข้าไปในเป็นส่วนหนึ่งของ มัน
ทว่าจังหวะที่นอร่ากําลังจะปล่อยตัวให้ล่องลอยไป ผืนแผ่นดินก็ สั่นไหวขึ้นมา
เธอเหมือนจะได้ยินเสียงสะท้อนออกมาจากระยะไกล แต่มันก็ หายไปเป็นเพียงสายลม พื้นที่สีขาวนั้นยังคงสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง ทําให้ใบหน้าที่ปราศจากอารมณ์ของเธอเริ่มเปลี่ยนไป
มีคนกําลังตามหาเราอยู่งั้นเหรอ?
ทําไมล่ะ? เขาควรจะยอมแพ้ไปแล้วไม่ใช่เหรอ?
ข้อสงสัยดังกล่าวผุดขึ้นมาในใจของนอร่าทําให้หัวใจของเธอ เจ็บปวด ไม่มีใครในโลกนี้รู้เรื่องสัญชาตญาณศักดิ์สิทธิ์ดีไปกว่าเธอ ใคร ก็ตามที่เป็นศัตรูกับมันจะต้องสูญเสียมหาศาล แต่ถึงกระนั้นแผ่นดินก็ ยังสั่นไหวไม่หยุด
เมื่อต้องเผชิญกับคําอ้อนวอนอันสิ้นหวัง นอร่าก็ค่อยๆ ยกศีรษะ ของเธอขึ้น ความคิดที่จะออกจากมิตินี้ได้กลับมาสู่จิตใจของเธอ แต่ แล้วความกลัวก็กลับมาอย่างรวดเร็ว ปฏิเสธความแข็งแกร่งของเธอที่ จะปลดปล่อยตัวเองทิ้งไป
ทําไมกัน …เรากําลังกลัวงั้นเหรอ?
นอร่าจับหน้าผากของตนและพยายามตั้งสติ ในไม่ช้ารูปภาพก็เริ่ม ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเธอ
ป้อมปราการสูงตระหง่านปรากฏขึ้น กําแพงของมันนั้นดูสูงส่ง เต็ม ไปด้วยการป้องกันและอาวุธยุทโธปกรณ์มากมาย มีทหารนับไม่ถ้วน ลาดตระเวนบริเวณไปมาอย่างขยันขันแข็ง พร้อมกับเหล่านักบวชที่ใจดี และสุภาพ
ชายผมสีทองกําลังหมกหมุ่นอยู่กับงานของเขา ในขณะที่อธิการใน ชุดสีขาวกําลังยุ่งอยู่กับการวิจัย
ทุกอย่างสงบลง ทันทีที่หมอกสีเงินเข้ามาล้อมรอบป้อมปราการ จากนั้นภาพเงาขนาดยักษ์ก็เปิดปากออกและกลืนกินทุกอย่างเข้าไป
นอร่าเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อในที่สุดเธอก็จําทุกอย่างได้ นั่น เป็นภาพอันไม่น่าเชื่อที่เธอได้เห็นขณะกําลังเดินทางกลับไปที่ป้อม ปราการ
สัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างเป็นหมอกกลืนกินคนนับแสนที่อาศัยอยู่ ในป้อมปราการทาร์ก ลบการดํารงอยู่ของพวกเขาให้หายไปจากแผนที่ โลก เหลือไว้เพียงพื้นที่ว่างระหว่างภูเขาทั้งสอง
การสูญเสียบิดา เพื่อนพ้อง และสหายที่นับไม่ถ้วนอย่างไม่มี เหตุผล เป็นฝันร้ายที่นอร่าไม่สามารถทําใจตื่นขึ้นมารับความจริงได้ ภาพอันน่าตกใจนั้นทําให้หัวใจของเธอแย่ลง และยอมจํานนต่อ สัญชาตญาณศักดิ์สิทธิ์ในที่สุด ก่อนจะเดินอย่างไร้สติลึกลงไปในหุบเขา ทาร์ก
นอร่าส่ายหัวด้วยความไม่เชื่อ ก่อนจะก้าวถอยหลังด้วยใบหน้าที่ ซีดเซียว ราวกับพยายามปฏิเสธความเป็นจริงอันน่าสะพรึงกลัวนี้ แต่ แล้วก็มีเสียงหนึ่งดังก้องมาจากข้างหลังของเธอ
“นั่นคือเหตุผลที่ว่าทําไมเธอถึงตกอยู่ในสภาพนี้สินะ?”
“!”
เสียงอันคุ้นเคยทําให้นอร่าหันไปรอบๆ ความประหลาดใจ เด็ก หนุ่มคนหนึ่งได้มาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเธอ จากนั้นเขาก็มองไปยังภาพ ตรงหน้าด้วยความเสียใจ
“เจ้าคือ!”
ทันทีที่ตาสีไพลินของนอร่าจ้องมองไปที่เด็กหนุ่ม หัวใจของเธอก็ เต้นระรัว น�าตาเริ่มไหลอาบสองแก้ม ทว่าเธอกลับไม่สามารถเรียกชื่อ ของเขาออกมาได้
โรเอลสังเกตเห็นความผิดปกตินั้น แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เด็ก หนุ่มลากร่างที่เหนื่อยล้าของตนเข้าไปหาเธออย่างช้าๆ
“ฉันขอโทษนะนอร่า ฉันมาสายเกินไปในเวลาที่เธอต้องการฉันมาก ที่สุด ฉันควรจะอยู่เคียงข้างเธอ ในตอนที่เธอต้องเผชิญเรื่องทั้งหมดนี้ ฉันไม่ควรทิ้งเธอเอาไว้คนเดียวเป็นเวลานานเลย เธอคงจะเจ็บปวดมาก สินะ แต่นอร่า เซไซต์ เธอไม่ใช่คนที่จะพ่ายแพ้เพราะสิ่งนี้ “
โรเอลเดินเข้าไปหานอร่าและเช็ดน�าตาของเธอเบาๆ พร้อมกล่าว ขอโทษ
“บางครั้งที่สิ่งต่างๆ ก็ยากเกินจะรับ ทําให้เราต้องหยุดพัก ฉัน เข้าใจดี ไม่ต้องกังวลไป ไม่ว่าฉันจะอยู่ห่างจากเธอแค่ไหน ฉันก็จะรีบมา อยู่ข้างเธอทันทีที่เธอต้องการฉัน”
“องค์หญิงนอร่า ถึงเวลาที่เธอจะต้องตื่นจากความฝันได้แล้ว”
ด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน โรเอลโน้มกายลงไปอีกครั้งเพื่อจุมพิตนอ ร่า
พื้นที่สีขาวเริ่มพังทลายลง เลือดของแม่มดอันร้อนระอุได้นําทาง ทั้งสองกลับมาสู่ความเป็นจริง ประกายแสงในดวงตาของนอร่าเริ่ม สลายไป แสดงให้เห็นถึงการเสื่อมสลายของสถานะอวตารทูตสวรรค์