ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 461 ความหวังจางๆ (1)
เด็กหนุ่มผมดําและเด็กสาวผมสีทองยืนอยู่ตรงกลางหุบเขาทาร์ก ในสภาพที่ริมฝีปากประกบกันพร้อมการไหลเวียนของพลังเวทอัน หนาแน่น และในไม่ช้าเด็กสาวผมสีทองก็เริ่มได้สติ
เมื่อนอร่ากลับมาสู่ความเป็นจริง เธอก็จําทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ ราว กับว่าเพิ่งตื่นจากความฝัน ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับกรันด้า ผีเสื้อสีดํา ของอาร์เทเชีย หรือเนตรแห่งศิลาของเปตรา รายละเอียดเหล่านั้น ปรากฏขึ้นในหัว ก่อนที่จะหยุดลงที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มผมดําในตอนที่ เธอเสียบมือเข้าไปในหน้าอกของอีกฝ่าย
“!”
ความทรงจําของสิ่งที่เธอทําลงไปในสถานะอวตารทูตสวรรค์ ทํา ให้นอร่าหายใจไม่ออก เธอค่อยๆ ก้มหน้าลง ตัวสั่นไปทั้งตัว พลางจ้อง มองไปที่แผลตรงหน้าอกของโรเอล
“โรเอล ข…ข้า… “
“เธอเพิ่งกลับมา อย่าเพิ่งมองไปรอบๆ พักใจให้สงบก่อน “
โรเอลสังเกตเห็นความแปรปรวนรุนแรงในใจของนอร่า และปิดตา ของอีกฝ่ายลงอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้โรเอลอยู่ในสภาพที่ย�าแย่ พลังเวทของเขาหมดเกลี้ยง ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและผลข้างเคียงของศิลามงกุฎก็ กําลังจะเริ่มขึ้น แต่เด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าตัวเองจะต้องไม่ล้มลงโดยเด็ดขาด
นอร่ายอมจํานนต่อสัญชาตญาณศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง เนื่องจาก เห็นเหตุการณ์ที่ม่านหมอกมรณะกลืนกินป้อมปราการทาร์ก ทําให้พ่อ ของเธอและคนอื่นๆ อีกมากมายต้องหายสาบสูญ หากโรเอลล้มลงไป อีกในตอนนี้ สภาพจิตใจของนอร่าก็จะอ่อนแอลง จนถูกสัญชาตญาณ ศักดิ์สิทธิ์เข้าครอบงําได้อีกครั้ง และจะทําให้ความพยายามก่อนหน้านี้ ของเขาไร้ประโยชน์
“ข้าขอโทษ…ข้าขอโทษ… “
น�าตาหยดลงบนมือของโรเอลพร้อมเสียงแหบแห้งที่กล่าวคําขอ โทษจากนอร่า พวกเขารู้จักกันมาหลายปีแล้วก็จริง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ เธอหลั่งน�าตาต่อหน้าเขา การต้องมาเห็นเธอในสภาพเช่นนี้ทําให้เขา เจ็บปวดใจเหลือเกิน
“เธอไม่จําเป็นต้องขอโทษฉันหรอก มันไม่ใช่ความผิดเธอเลย “
โรเอลตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
เนื่องจากความเสียหายที่เขาได้รับ ความคิดของเขาจึงว่างเปล่า เหลืออยู่เพียงอารมณ์ที่โหมกระหน�าภายในตัว เด็กหนุ่มได้ละทิ้งตรรกะ
ทั้งหมดไป และเชื่อฟังสัญชาตญาณของตนเอง ก่อนจะโน้มไปประทับ จูบที่ริมฝีปากของเด็กสาวตรงหน้า
สิ่งที่แตกต่างกันในเวลานี้คือนอร่าได้รับความเชื่อมั่นกลับมาจาก การกระทําของโรเอล
ราวกับกลัวว่าโรเอลจะหายไปอีกคน ทันใดนั้นการตอบสนองของ นอร่าก็รุนแรงขึ้นมา จูบที่เต็มไปด้วยความหลงใหลผสมเข้ากับความ เค็มของน�าตา ความรู้สึกระหว่างพวกเขาที่มีมานานหลายปีถูกถาโถม ออกมาใส่กัน
ราวกับว่าเวลาได้ผ่านไปนานแสนนาน แต่ในที่สุดน�าตาของนอร่าก็ หยุดลง เธอค่อยๆ ฟื้ นคืนสภาพและสงบสติอารมณ์ลง ทําให้ใบหน้า ของเธอก็เริ่มขึ้นสีเลือดฝาดแสดงให้ถึงความสดใส และคลี่ยิ้มให้เห็น
พลังเวทสีทองกระจายหายไปจนหมดสิ้น คืนสภาพแวดล้อมกลับสู่ ปกติอีกครั้ง
โรเอลเองก็เริ่มคลายพลังเวทน�าแข็งรอบๆ กายของนอร่า ในขณะ ที่นอร่าเองก็กําลังทําให้มันกลายเป็นพลังเวทของเธอด้วยพลังการดูด ซึม หากเปตราไม่ได้อยู่ใกล้ๆ และร่ายเนตรแห่งศิลาละก็ นอร่าใน สถานะอวตารทูตสวรรค์ก็คงจะใช้วิธีนี้ทวงคืนความคล่องตัวของเธอ กลับมา
นอร่าหันมาหาโรเอลพลางมองไปที่แผลของอีกฝ่าย ซึ่งเด็กหนุ่มก็ พยักหน้าแสดงการยินยอม ทําให้น�าตาเอ่อท่วมดวงตาของเธออีกครั้ง ในขณะที่เธอดึงมือออกจากแผลที่หน้าอกของเขา
แม้จะลงมือฆ่าพวกกลายพันธุ์ไปหลายหมื่นตัวจนสร้างภูเขา ซากศพขึ้นสามกอง แต่นอร่าก็รู้สึกคลื่นไส้เมื่อต้องเห็นเลือดของโรเอ ลสาดกระเซ็น มันทําให้เธอรู้สึกเหมือนบางสิ่งบางอย่างกําลังบดขยี้ จิตใจ
นอร่าเอื้อมมือไปหาโรเอล พยายามใช้คาถาเวทรักษาอย่างรวดเร็ว เพื่อทําการรักษาฉุกเฉินสําหรับเขา ซึ่งโรเอลก็เริ่มอ่อนแรงจากความ เหนื่อยล้าสะสมเต็มที
“เจ้าจะต้องไม่เป็นไร ของแค่นี้ทําอะไรเจ้าไม่ได้หรอก… “
นอร่าร่ายคาถาเวทรักษาด้วยมือที่สั่นเทาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อ รักษาโรเอล ซึ่งเด็กหนุ่มก็เริ่มรู้สึกมั่นใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มกลับมา เป็นปกติ
“ฉันจะ… งีบสักพัก”
“ด… เดี๋ยวสิ ไม่ได้นะโรเอล เจ้าต้องอดทนไว้นะ! โรเอล… “
ด้วยความกังวลว่าโรเอลจะไม่ตื่นจากการนอนหลับอีก นอร่าจึง เรียกชื่อของเขาซ�าไปซ�ามา แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ ตั้งแต่วินาทีที่เขา มั่นใจได้ว่านอร่าจะไม่เป็นไร เขารู้สึกเหนื่อยล้าแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้แต่เจตจํานงก็ไม่ช่วยให้เขาตื่นได้ ทําให้ในที่สุดโรเอลก็หลับลงไปสู่ ความมืด
ไม่นานนักฝูงชนก็ทยอยเดินทางเข้ามายังอดีตที่ตั้งของป้อม ปราการทาร์ก คบเพลิงหลายร้อยดวงส่องสว่างในความมืดมิดยามค�า คืน เผยให้เห็นทหารมากมายที่กําลังสร้างแนวป้องกันอย่างขยันขันแข็ง
หลักจากที่โรเอลควบม้าออกไป หน่วยอัศวินที่สามของจักรวรรดิ เซนต์เมซิทก็ทําตามคําสั่งของเขาและส่งทูตไปยังฐานที่มั่นของ อาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์และสมาคมพ่อค้าโรซ่า แต่ระยะทาง ที่ยาวไกลทําให้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะขอกําลังเสริมมาในทันที
ฉะนั้นแล้วผู้คนที่กําลังตั้งค่ายในตอนนี้ จึงมีเพียงหน่วยขนส่ง เสบียงจากเมืองบาร์ก
คนเหล่านี้สวามิภักดิ์ต่อโรเอลให้เป็นผู้นําของพวกเขา หลังจากที่ เด็กหนุ่มก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อปกป้องพวกเขาในคืนก่อนหน้านี้ โดย ได้รับการสนับสนุนจากนายกเทศมนตรีของเมืองบาร์กอย่างคาร์เมน เพื่อสร้างแนวป้องกันขึ้นใหม่ที่หุบเขาทาร์ก
การหายตัวไปของป้อมปราการทาร์กคือความหายนะสําหรับ มนุษยชาติ แต่คําพูดของโรเอลก็ทําให้พวกเขากลับมามีความหวังอีก ครั้ง แม้ว่ามันจะริบหรี่มากก็ตาม พวกเขาเชื่อว่านี่คืออุบายของเหล่า ลัทธิชั่วร้ายและมุ่งมั่นที่จะยืนหยัดอีกครั้งเพื่อปกป้องเกียรติของเทพี เซีย ปกป้องมนุษยชาติ ครอบครัว และอาณาจักรของตัวเอง
คําพูดของโรเอลได้แสดงให้เห็นถึงศัตรูร่วมกันของพวกตน ทําให้ เหล่าอัศวินตั้งสติขึ้นมาได้ โดยที่ไม่รู้เลยว่าคําพูดของเด็กหนุ่มได้ แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดทุกคนก็เชื่อว่ามันเป็น ความจริง
ภายในมุมมืดของภูเขา ไบรอัน เอลริกมองไปที่ภูเขาหุบเขาอัน สว่างไสวด้วยคิ้วขมวด ดวงตาของเขาหรี่ลงพลางมองไปยังเหล่าผู้นับ ถือลัทธิความชั่วร้ายที่กําลังรอคอยสัญญาณอยู่ที่หลังเขา
ซึ่งพวกนั้นแตกต่างจากอาชญากรทั่วๆ ไป ไบรอันเคยประจําการ อยู่ที่ป้อมปราการทาร์กมาหลายครั้ง ตลอดช่วงอายุที่ยาวนานของตน เขามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับป้อมปราการนี้ และนั่นคือเหตุผลที่ ทําให้เขาแทบจะไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน ทันทีที่ได้ยินเกี่ยวกับชะตากรรมของ มันมาจากนักสะสม
ไบรอันแทบจะไม่สามารถปกปิดความตกตะลึงของตนเองได้ ใน ตอนที่เห็นว่าป้อมปราการขนาดใหญ่ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยจริงๆ
แต่ที่ทําให้เขาตกใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือปฏิกิริยาที่รวดเร็วของเหล่ากอง ทหารอัศวิน
จากประสบการณ์ของไบรอัน เขารู้ดีว่าทหารจะต้องตื่นกลัว จน เกิดความวุ่นวายแน่ หลังจากที่ต้องสูญเสียหัวผู้บังคับบัญชาไป ไม่น่าจะ มีใครตั้งสติในสถานการณ์เช่นนี้ได้แน่ๆ ทว่าความเป็นจริงกลับแตกต่าง ออกไปจากสิ่งที่เขาคาดไว้
ทหารมากมายทยอยเดินทางเข้ามาที่นี่ สีหน้าของพวกเขาต่าง เปี่ ยมไปด้วยความมุ่งมั่น แสดงให้เห็นว่าพวกเขาพร้อมที่จะสู้กับ อุปสรรคทั้งมวลและพร้อมที่จะสละชีวิตเพื่อปกป้องแนวชายแดนแห่งนี้ เอาไว้
และนั่นคือเหตุผลที่ทําให้ไบรอันขมวดคิ้ว
สถานการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ได้ทําลายแผนของไบรอัน และเป็น อุปสรรคสําหรับการบุกโจมตีเข้าไปในหุบเขาทาร์ก โชคดีที่ในกองทหาร มากมายเหล่านี้มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงไม่มาก อีกทั้งพวกเขา ยังวุ่นอยู่กับการสร้างแนวป้องกัน ทําให้พวกเขาไม่น่าจะสามารถ ขัดขวางไบรอันได้
นอกจากนี้ไบรอันเองก็เตรียมแผนสํารองเอาไว้แล้ว
เขาประเมินความแข็งแรงของกองทหารที่กําลังตั้งค่ายในหุบเขา จากนั้นก็หยิบนาฬิกาพกพาของตนออกมาจากเสื้อ มันเป็นอุปกรณ์เวท ที่วิจิตรสวยงามซึ่งสลักลวดลายของทูตสวรรค์ เข็มนาฬิกาบนนั้นขยับ ด้วยความเร็วที่ช้าจนผิดปกติเมื่อเทียบกับนาฬิกาทั่วๆ ไป เนื่องจากมัน ขยับตามระดับของการกระตุ้นและความเข้มข้นของพลังทางสายเลือด แห่งทูตสวรรค์ของสมาชิกตระกูลเซไซต์
ทันใดนั้นเมื่อลวดลายของทูตสวรรค์ปิดตาลง ประกายแสงก็ ปรากฏขึ้นในแววตาของไบรอัน ก่อนจะหันมาสนใจที่เข็มนาฬิกาและ คํานวณอย่างรอบคอบ
ประมาณสามวันสินะ
นาฬิกานี้จะนับถอยหลังการตื่นของพลังทางสายเลือดในตัวนอร่า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสําหรับไบรอันที่จะลอบสังหารเธอ ตราบใดที่เขาสามารถสังหารเธอได้สําเร็จในช่วงเวลานี้ หรือผลักดันให้ เธอตกอยู่ในสถานะอวตารทูตสวรรค์อย่างสมบูรณ์ได้ มันก็จะเป็นชัย ชนะของเขา
สิ่งเดียวที่ขัดขวางไบรอันในเหตุการณ์การเดินขบวนแห่งความ วุ่นวายก็คือเชื้อสายตระกูลเซไซต์ มันจึงเป็นอุปสรรคแรกที่เขาจะต้อง กําจัด เพื่อที่ตระกูลเอลริกจะได้ฟื้ นคืนกลับมา นอกจากนี้นี่ยังเป็น
โอกาสที่เขาจะได้กําจัดตระกูลอื่นๆ ที่เขาเกลียดอีกด้วย เรียกได้ว่ายิง ปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
ไบรอันคิดถึงคําพูดของนักสะสม จากนั้นดวงตาของเขาก็ค่อยๆ หรี่ลง การปรากฏตัวของผู้ปลุกพลังสายเลือดตระกูลแอสคาร์ดได้ เปลี่ยนชะตากรรมมามากมาย แต่อีกฝ่ายก็ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ ห่างไกลจากความเป็นอมตะ และเขาก็น่าจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้
เขาเก็บนาฬิกาลงไปในกระเป๋าอีกครั้ง ก่อนจะจ้องมองออกไปยัง หุบเขาด้วยแววตาอันเยือกเย็นซึ่งฉาบไปด้วยจิตสังหาร
“ไปกันเถอะ”
ทันทีที่ไบรอันออกคําสั่งกลุ่มผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายก็เดินออกมา มุ่ง ตรงไปยังหุบเขาที่อยู่ห่างออกไ