ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 462 ความหวังจางๆ (2)
โรเอล แอสคาร์ดไม่เคยหนักใจขนาดนี้มาก่อน
ในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ร่างกายของเขาได้ทะลุขีดจํากัด ของมนุษย์ธรรมดาไปไกลโข ทําให้อัตราการฟื้ นฟูของเขาอยู่ใน ระดับสูง พอๆ กับระดับการซึมซับพลังเวทที่เพิ่มมากขึ้น มันจึงเป็น เรื่องยากที่เขาจะทรมานกับบาดแผลหรือสภาพผิดปกติใดๆ แต่วันนี้นั้น เป็นข้อยกเว้น
โรเอลยังมีสติสัมปชัญญะอยู่ แต่เขากลับไม่สามารถที่จะตื่นขึ้นมา จากห้วงนิทราได้ แม้จะรับรู้ถึงสภาพแวดล้อม แต่มันก็เหมือนมีม่าน บางๆ ปิดกั้นเอาไว้ มีเพียงความรู้สึกเดียวที่โดดเด่นจนทําให้เขาทรมาน อย่างต่อเนื่อง
ความหนาวเย็น
โรเอลได้รับพลังอํานาจของหกภัยพิบัติที่น่าสะพรึงกลัวนี้มาเป็น เวลานานพอสมควรแล้ว และเขาก็ได้ใช้มันเป็นกําลังรบอย่างเต็ม รูปแบบในหลายโอกาส แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกหนาวจับใจถึงขนาด นี้ ซึ่งเด็กหนุ่มรู้เหตุผลที่ทําให้ตัวเองอยู่ในสภาพปัจจุบันดี มันเป็น เพราะเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้ก่อนหน้านี้
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กหนุ่มประสบผลข้างเคียงของสัมผัสแห่งธาร น�าแข็ง แต่เขาไม่เคยได้รับผลข้างเคียงของมันในสภาพที่ได้รับบาดเจ็บ สาหัสขนาดนี้มาก่อน โรเอลมักจะสามารถกําจัดศัตรูได้อย่างง่ายดาย ผ่านพลังของผู้สร้างธารน�าแข็ง ซึ่งส่วนหนึ่งของเหตุผลก็เป็นเพราะ ฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่ศัตรูที่เขาต้องออมมือ
นี่จึงเป็นครั้งแรกที่โรเอลบาดเจ็บสาหัส ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามของ เขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากเท่าไหร่
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้เสียใจกับการตัดสินใจนี้
โรเอลรู้สึกได้ถึงสัมผัสอันอ่อนโยนบนแก้ม เขาเปิดเปลือกตาอัน หนักอึ้งช้าๆ ก่อนจะพบกับทูตสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ผู้มีผมสีทองแลดู อ่อนโยน
สายตาที่มองมาของนอร่าทําให้โรเอลตกอยู่ในภวังค์เป็นช่วงเวลา สั้นๆ พร้อมความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในใจ
ช่างงดงามอะไรอย่างนี้
บรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ หูเปลือกหอยเล็กๆ ตา สีไพลินอันชัดเจนราวกับมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง ขนตางอนยาว จมูก เล็กๆ และริมฝีปากสีเชอร์รี่ที่เขาได้ลิ้มรสมาเมื่อไม่นานมานี้
ทุกอย่างที่เกี่ยวกับนอร่านั้นช่างสมบูรณ์แบบ ราวกับเป็นรูปสลักที่ ถูกแกะสลักขึ้นโดยเทพีเซีย แม้ว่าเขาจะภูมิคุ้มกันจากการได้รู้จักเธอมา นานหลายปี แต่มันก็ยังยากสําหรับโรเอลที่จะมองเธอตรงๆ ใน ระยะใกล้แบบนี้
หัวใจของเขาเต้นระรัวจนต้องหันหน้าหลบออกไป
“อย่ามาใกล้ฉันมากสิ ตัวฉันมันเย็นจะตาย”
โรเอลกล่าวอย่างเชื่องช้า
เนื่องจากผลข้างเคียงของสัมผัสธารน�าแข็ง ร่างกายของโรเอลจึง ปล่อยไอเย็นออกมาตลอดเวลา ทําให้คนที่อยู่ใกล้ๆ รู้สึกหนาวไปด้วย
เมื่อตระหนักว่าโรเอลตื่นขึ้นมาแล้ว นอร่าก็ก้มลงมองเขาด้วย รอยยิ้มที่มีเสน่ห์
“มันก็แค่น�าแข็งเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นแหละ”
นอร่ากล่าวก่อนจะคว้ามือของโรเอลและวางมันลงบนหน้าอกของ เธอ
“การอยู่ห่างจากเจ้าทําให้ข้าเจ็บปวดกว่านี้มาก”
“…เธอนี่มีโรคที่น่ากลัวจริงๆ เลยนะ”
“ใช่แล้ว เจ้านี่ช่างชั่วร้ายจริงๆ ที่ทําให้ข้าต้องเป็นโรคที่น่ากลัว แบบนี้”
นอร่าตอบ
เธอพยายามสุดกําลังที่จะรักษาโทนเสียงที่มั่นคงเอาไว้ แต่จมูก แดงๆ ก็แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวเพิ่งจะร้องไห้ไปได้ไม่นาน นอกจากนี้มือ ของเธอที่กําลังจับตัวโรเอลอยู่ก็กําลังสั่นด้วยเช่นกัน
โรเอลมองไปที่นอร่าแล้วถอนหายใจเบาๆ
“พอมาคิดๆ ดูแล้วนี่เป็นครั้งแรกเลยสินะ ที่ฉันเห็นเธอร้องไห้”
“ถ้าเป็นไปได้ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าเห็นอะไรแบบนี้มากนักหรอก นอกจากนี้เจ้าเองก็ใช้วิธีที่แย่มากๆ ในการดึงข้าออกมาจากสถานะ อวตารทูตสวรรค์…”
“ปกติเรื่องราวในนิทานก็จบแบบนี้ไม่ใช่รึไง? มันก็จริงอยู่ที่ฉัน ไม่ได้เป็นเจ้าชาย แต่ว่านะ…เธอเองก็เคยช่วยฉันด้วยวิธีเดียวกันนี้ใน ตอนที่เรายังเด็กไม่ใช่เหรอ?”
โรเอลเลิกคิ้วขึ้น พลางคิดเกี่ยวกับเรื่องในตอนที่เขาสูญเสียจูบแรก ไป ทําให้นอร่าเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ด้วยที่เธอไม่คิดว่า
เขาจะยกเรื่องนี้ขึ้นมา ความทรงจําในอดีตอันยาวนานนั้นทําให้เธอรู้สึก ราวกับว่ามันเป็นภาพเลือนอันแสนห่างไกล
“นั่นทําให้ข้านึกถึงวันเก่าๆ เลย”
นอร่ากล่าวพร้อมสายตาที่เต็มไปด้วยความโหยหา
หลังจากนั้นเธอก้มหน้าลงมองไปยังเด็กหนุ่มในอ้อมแขน
“ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ แม้แต่พ่อค้าที่หน้าเลือดที่สุดก็ยังต้องยอม จ่ายดอกเบี้ยเลยนะ…”
หลังจากที่พูดคําอันอ่อนโยนออกไป นอร่าก็โน้มตัวลงมาช้าๆ
โรเอลมองไปที่แก้มแดงก�าของอีกฝ่าย พลางคิดว่าตัวเองคงไม่ สามารถระงับความรู้สึกในใจได้อีกต่อไปแล้ว ริมฝีปากของพวกเขา ประกบกันอีกครั้ง ทําให้บรรยากาศโดยรอบร้อนรุ่มขึ้นด้วยสัมผัสของ ความหวาน
ผ่านไปสักพักหนึ่ง ทั้งสองคนถึงจะแยกออกจากกัน
ลมหายใจของโรเอลติดขัด ในขณะที่แก้มของนอร่าแดงระเรื่อขึ้น ไปอีก วินาทีที่ทั้งสองได้กอดกันแน่น พวกเขาก็ได้สัมผัสและเงี่ยหูฟัง จังหวะการเต้นของหัวใจซึ่งกันและกัน
หลังจากช่วงเวลาแห่งความสงบสุข โรเอลก็เริ่มตรวจสอบพื้นที่ บริเวณใกล้เคียง
พวกเขาไม่ได้อยู่ที่ใจกลางของหุบเขาทาร์กอีกต่อไป แต่เป็นบน เตียงภายในห้องๆ หนึ่ง ทิวทัศน์ภายนอกหน้าต่างยังเป็นสีดําสนิท แสดงให้เห็นว่ายังเป็นช่วงเวลาค�าคืน ทําให้โรเอลถอนหายใจด้วยความ โล่งอกที่รู้ว่าตนไม่ได้หลับไปนานเกินไป
“ที่นี่คือ…?”
“ที่นี่เป็นค่ายสังเกตการณ์ที่สร้างขึ้นในช่วงสงครามครั้งก่อนกับ พวกกลายพันธุ์”
นอร่าลูบผมของโรเอลพลางตอบคําถามของเขา
มนุษยชาติได้สร้างค่ายสังเกตการณ์หลายๆ แห่งทั่วหุบเขาทาร์ก เพื่อจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกกลายพันธุ์ตลอดหลายช่วงทศวรรษ ที่ผ่านมา ก่อนจะถูกทิ้งร้างหลังจากสงครามครั้งก่อน และนอร่าก็ได้ใช้ มันเป็นที่พักชั่วคราวในช่วงเดือนที่ผ่านมา
โรเอลพยักหน้า เขาเริ่มคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ตัวเองเผชิญอยู่ ก่อนจะจบลงด้วยความวิตก
การที่เขาสามาถดึงความเป็นมนุษย์ของนอร่ากลับมาได้นั้นถือเป็น สิ่งที่ดี แต่มันก็ยังเร็วเกินไปที่จะนิ่งนอนใจ อาการทางจิตใจของนอร่า ไม่ใช่ปัญหาที่จะสามารถแก้ไขในได้ทันที เมื่อคืนสิ่งที่โรเอลทําเป็นเพียง การหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด และให้โอกาสครั้งที่สองกับเธอ
จากข้อมูลขององค์ชายเคน นอร่ากําลังอยู่ในช่วงเวลาที่สําคัญของ การปลุกพลังทางสายเลือด สภาพของเธอจะแย่ลงไปเรื่อยๆ เมื่อเวลา ผ่านไป ช่วงเวลานี้สิ่งที่สําคัญที่สุดจึงเป็นการรักษาสภาพจิตใจและให้ ความมั่นคงทางอารมณ์ของเธอเริ่มเสถียร
การหายตัวไปอย่างฉับพลันของป้อมปราการทาร์กได้ปั่ นป่วน จิตใจของนอร่า จนถึงจุดที่เธอเกือบจะยอมจํานนต่อราชาทูตสวรรค์ แม้ว่าโรเอลจะสามารถกอบกู้สถานการณ์ได้ทันเวลา แต่เขาก็ยังกังวล เกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
การหายตัวไปอย่างฉับพลันขององค์ชายเคนนั้นส่งผลต่อนอร่าเป็น อย่างมาก และได้สร้างหลุมดําในหัวใจของเธอ แม้ว่าจะมีโรเอลคอย ประคับประคองในตอนนี้ แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะสามารถเผชิญ อุปสรรคที่กําลังจะมาถึงได้หรือไม่ เธออาจจะมีสภาพที่ดีในขณะนี้ แต่ ชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับบิดาของเธอจะยังคงหลอกหลอนเธอต่อไปอย่าง ช้าๆ ตอกย�าเธอด้วยการปฏิเสธและความสิ้นหวัง
โรเอลรู้ว่าตนจะต้องเติมเต็มหลุมในหัวใจของนอร่า ดังนั้นเขาจึงใช้ เวลารวบรวมความคิดก่อนจะพูดออกมา
“นอร่า ฉันว่าพวกเราต้องพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องป้อมปราการ ทาร์ก”
“!”
โรเอลรู้สึกได้เลยว่าร่างกายของนอร่าแข็งทื่อไปในทันทีที่เขาพูดถึง คําว่า ‘ป้อมปราการทาร์ก’ มันทําให้เด็กหนุ่มเจ็บปวดเมื่อต้องคิดถึง ความปวดร้าวที่เธอต้องแบกรับ แต่เขาก็พยายามที่จะสุขุมเยือกเย็น ต่อไป
“ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้มีอารมณ์จะพูดถึงมัน แต่มีบางสิ่งที่เธอต้องได้รู้ สัตว์ประหลาดที่เธอเห็นในวันนั้นคือหนึ่งในหกภัยพิบัติที่มีชื่อว่าม่าน หมอกมรณะ หนึ่งในตัวแทนของมารดาแห่งเทพธิดา แต่ที่สําคัญกว่า นั้นก็คือฉันคิดว่าอาจจะมีความหวังเหลืออยู่ สําหรับคนที่อยู่ในป้อม ปราการทาร์ก “
“ความหวัง? เจ้าหมายความว่า…”
นอร่าเงยหน้าของเธอจ้องมองเข้าไปในดวงตาของโรเอลถามหา การยืนยัน ซึ่งเด็กหนุ่มก็พยักหน้าเป็นการตอบ
หกภัยพิบัติเป็นสัตว์ประหลาดโบราณที่น่าสะพรึงกลัวเหนือสามัญ สํานึก แต่พวกมันล้วนมีข้อจํากัดของตัวเอง
ผู้สร้างธารน�าแข็งต้องการจะห่อหุ้มโลกด้วยน�าแข็งนิรันดร์ ผู้เรียก พายุจะเปลี่ยนทุกอย่างให้กลายเป็นฝุ่น บิดาแห่งความมืดจะปลดปล่อย ไฟโลกันตร์และขี้เถ้าเพื่อทําลายอารยธรรม
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกมันทรงพลังมาก แต่พวกมันก็ถูกจํากัดด้วย คุณสมบัติของตัวเอง และม่านหมอกมรณะเองก็คงไม่ต่างกัน
โรเอลใช้เวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาคิดว่ามีความเป็นไปได้ว่า ความสามารถของม่านหมอกมรณะคือการใช้หมอกกลืนกินทุกอย่างไป ยังอีกมิติ ถ้าหากมันเป็นเช่นนั้น ก็เป็นไปได้ว่าผู้ที่ถูกกลืนกินจะยังคงมี ชีวิตอยู่
แน่นอนว่าโอกาสนั้นริบหรี่ แต่ถ้าสมมติฐานนี้เป็นจริง พวกเขาก็ อาจจะสามารถแก้ไขอะไรบางอย่างได้ และโรเอลเองก็มีพลังของหกภัย พิบัติอยู่ในกํามือ
“เราอาจจะแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่มันยังไม่จบ”
โรเอลมองไปที่นอร่าที่กําลังเบิกตากว้างหลังจากการฟังการ วิเคราะห์ของเขา ก่อนจะลูบแก้มเธอเบาๆ และมองตรงเข้าไปในดวงตา สีไพลิน
“มันก็เหมือนกับที่ฉันยึดมั่นในความหวัง ที่เธอจะสามารถเอาชนะ ราชาทูตสวรรค์ได้นั่นแหละ ฉันอยู่เคียงข้างเธอเสมอนะนอร่า”