ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 465 มีเพียงเราสอง
ขณะที่ชายชราผมสีขาวในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์กําลังครุ่นคิด
เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสําคัญที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน
เด็กหนุ่มคนหนึ่งในหุบเขาทาร์กที่อยู่ห่างไกลออกไปเองก็กําลัง
ใคร่ครวญถึงสิ่งเดียวกันในห้องที่มีแสงสลัวจากแสงอาทิตย์อัสดง
ไม่นานหลังจากดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า นอร่าก็กลับมาที่ห้องพร้อม
กับอาหารอันโอชะสองสามอย่างตามที่เธอสัญญาไว้
เห็นได้ชัดว่าเธอใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อสิ่งนี้
ในฐานะที่เป็นคนเสนอความคิด โรเอลต้องการทําอาหารบางอย่าง
ด้วยตนเองจากวัตถุดิบที่รวบรวมมา แต่ข้อเสนอของเขาก็ถูกปฏิเสธ
อย่างหนักแน่น
นี่ทําให้โรเอลได้รับเกียรติในการชิมอาหารจานแรกที่จัดเตรียมโดย
องค์หญิงผู้มีชื่อเสียงแห่งจักรวรรดิเซนต์เมซิท มันคงเป็นเรื่องโกหกถ้า
จะบอกว่าเขาไม่ได้กังวล เพราะคนที่แข็งแกร่งนั้น มักจะไม่มี
ความสามารถในการทําอาหาร หรืออย่างน้อยๆ นั่นก็เป็นสิ่งที่มักจะ
ปรากฏในนวนิยายที่เขาเคยอ่าน
อย่างไรก็ตามโรเอลนั้นไม่สามารถพูดอะไรได้ หลังจากที่ได้เห็นสี
หน้าจริงจังของนอร่าแม้ว่าจะกังวลแต่เขาก็ทําอะไรไม่ได้ เด็กหนุ่มจึงทําได้เพียง
พยายามเบี่ยงเบนความสนใจไปที่อื่นเพื่อบรรเทาความกังวล ตอน
นั้นเองที่เรื่องเกี่ยวกับมารดาแห่งเทพธิดาได้ผุดขึ้นมาในใจของโรเอล
เนื่องด้วยมันเป็นหนึ่งในภัยคุกคามสําคัญที่เขากําลังเผชิญอยู่
แตกต่างจากพระสังฆราชจอห์น ที่ต้องพึ่งพาการอนุมานเพื่อทํา
ความเข้าใจกระแสสถานการณ์ของยุคปัจจุบัน โรเอลเคยติดต่อกับสิ่ง
เหล่านั้นโดยตรง โดยเฉพาะมารดาแห่งเทพธิดา ซึ่งถึงขั้นที่ฝันถึงเธอ
เสียด้วยซ�า
โรเอลสามารถยืดอกมั่นใจได้เลยว่าไม่มีใครในทวีปเซียที่จะกระตุ้น
ความสนใจของมารดาแห่งเทพธิดาไปมากกว่าเขา แม้แต่บาทหลวงที่
โด่งดังที่สุดในภาคีแห่งนักบุญก็ยังต้องก้มหน้าด้วยความอับอายหาก
เทียบกับเขา
เขาเคยเป็นทูตศักดิ์สิทธิ์ของภาคีแห่งนักบุญมาแล้วด้วยซ�า แม้จะ
เป็นในสถานะผู้เฝ้ามองก็ตาม จะว่ายังไงดีล่ะ จะบอกว่าเขาค่อนข้าง
‘โชคดี’ ก็คงไม่ผิด
ทว่าการได้รับความสนใจจากมารดาแห่งเทพธิดานั้นน่ากลัวกว่าที่
โรเอลเคยได้ยินมามาก เรียกได้ว่าเขาได้รับความบอบช�าทางจิตใจใน
ระดับหนึ่งมาจากมันเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทําให้เขาเข้าใจถึง
บางสิ่งประสบการณ์ก่อนหน้านี้ของเขาที่เมืองบาร์ก ในตอนที่เขารู้สึก
เหมือนได้พบกับมารดาแห่งเทพธิดา โรเอลไม่รู้สึกถึงแรงกดดันอัน
รุนแรงเหมือนกับตอนที่ถูกเธอจ้องมอง ทําให้เขาพอจะสรุปได้ว่ามัน
อาจเป็นภาพลวงตาที่เสกขึ้นโดยม่านหมอกมรณะ
จากข้อมูลดังกล่าว แสดงว่ามารดาแห่งเทพธิดากําลังอยู่ในโหมด
จําศีล ซึ่งหมายความว่าโศกนาฏกรรมที่ป้อมปราการทาร์กไม่ได้มาจาก
คําสั่งของเธอ แต่เป็นการกระทําอันก้าวร้าวที่เกิดขึ้นจากตัวหกภัยพิบัติ
เอง
นี่เป็นข่าวดีสําหรับโรเอล
ผู้ปลุกพลังสายเลือดตระกูลแอสคาร์ดสามารถใช้พลังของตนเพื่อ
จัดการกับหกภัยพิบัติได้ ตราบใดที่พวกมันยังไม่ได้เติบโตเต็มที่
นอกจากนี้บรรพบุรุษของเขาอย่างวินสเตอร์ก็เคยไล่ล่า บิดาแห่งความ
มืดอยู่ช่วงเวลาหนึ่งอีกด้วย แต่หากมารดาแห่งเทพธิดามีส่วนร่วมใน
เรื่องนี้ล่ะก็…
…โรเอลไม่มีทางรับมือพวกมันได้แน่ อย่างน้อยๆ ก็ยังไม่ใช่ตอนนี้
สิ่งนี้ทําให้เขาเข้าใจความสําคัญของความแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งทํา
ให้เขาสนใจกับข่าวดีอีกด้าน นั่นก็คือการเติบโตด้านพลังสามารถเหนือ
ธรรมชาติที่หยุดนิ่งมาระยะหนึ่งของเขา คอขวดของมันได้คลายลงมาหลังจากการต่อสู้กับนอร่า และสภาพจิตใจของเขาเองก็ได้รับการ
พัฒนาจนเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่างเช่นกัน
แฮงค์เคยบอกว่าสถานการณ์เสี่ยงชีวิตระหว่างความเป็นและความ
ตาย สามารถทําให้ผู้คนรับรู้ถึงแก่นแห่งความเชื่อของพวกเขาได้มาก
ขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสําคัญในการเลื่อนระดับไปสู่ ระดับแก่นแท้ 3
ในตอนนี้โรเอลพอจะมีความคิดที่คลุมเครือเกี่ยวกับสิ่งนั้น แต่เขา
ยังต้องการเวลามากกว่านี้เพื่อทําความเข้าใจมันให้ได้อย่างเต็มที่
เพราะกําลังอยู่ในภวังค์ความคิด เด็กหนุ่มจึงไม่ทันสังเกตเห็นว่า
เด็กสาวอีกคนกําลังเรียกหาเขาอยู่
“…โรเอล โรเอล โรเอล?”
“หืม! อืม?”
“เจ้ากําลังคิดอะไรอยู่กันน่ะ? ทําไมถึงไม่ตอบข้าเลย ข้าคิดว่า
เจ้า…”
หลังจากที่ได้สติ โรเอลก็เงยหน้าขึ้นและพบว่านอร่ากําลังยืน
หงุดหงิดอยู่ข้างหน้าเขา ดูเหมือนว่าเธอจะรีบวิ่งจากห้องครัวมาตรงนี้
ทําให้เขาสับสนชั่วขณะว่าเธอเอะอะเรื่องอะไร แต่ไม่นานนักเขาก็
เข้าใจสถานการณ์อย่างรวดเร็วและรีบกล่าวขอโทษ”ขอโทษด้วย ฉันเหนื่อยนิดหน่อยเลยไม่ได้ยินที่เธอพูดน่ะ”
“…”
นอร่าจ้องไปที่โรเอลผู้กําลังขอโทษอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่ลมหายใจ
ของเธอค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ แต่ด้วยความกังวลอยู่ เธอจึงเดินไป
ตรวจร่างกายของเขาอีกครั้ง
“เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าเจ้าสบายดี? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
“แน่นอน เธอรักษาอาการบาดเจ็บของฉันไปแล้วนี่ และฉันเองก็
ย้ายจุดตายออกไปก่อนแล้วด้วย ฉันไม่เป็นอะไรหรอกน่า”
“เข้าใจแล้ว”
นอร่าได้รักษาให้โรเอลเป็นการส่วนตัว รวมถึงตรวจดูอาการ
บาดเจ็บหลายต่อหลายครั้งหลังจากนั้น แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังรู้สึกไม่
สบายใจแม้ว่าโรเอลจะมีท่าทางที่มั่นใจก็ตาม เธอใช้เวลาครู่หนึ่งก่อน
จะพยักหน้าช้าๆ เป็นการยอมรับ
อย่างไรก็ตามใบหน้าที่ยิ้มแย้มของโรเอล ทําให้นอร่าสัมผัสได้ถึง
สิ่งผิดปกติบางอย่าง
ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับนิสัยของโรเอล และ
สัญชาตญาณอันเฉียบแหลมของนอร่า มันเกือบจะเหมือนกับว่าเธอมีเครื่องจับเท็จสําหรับเขาในตัว เด็กสาวสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกําลังปิดบัง
บางสิ่งจากเธอ และเลือกที่จะเปิดเผยความจริงเพียงครึ่งเดียว
“ฉันสบายดี ฉันแค่คิดฟุ้งซ่านมาไปหน่อยเกี่ยวกับเรื่องของมารดา
แห่งเทพธิดา”
“…เข้าใจแล้ว”
นอร่าถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากได้ยินคําตอบที่
ตรงไปตรงมาของโรเอล เธอเอามือคล้องคอของเขาแล้ววางศีรษะไว้บน
ไหล่
“ถ้ามีบางอย่างผิดปกติ เจ้าต้องบอกข้าทันทีนะ”
เธอพูดเบาๆ
“นั่นเป็นคําสั่งงั้นเหรอ?”
“ใช่ มันเป็นคําสั่ง”
“ความปรารถนาของท่านเป็นคําสั่งสําหรับข้า ฝ่าบาท”
โรเอลตอบด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
นอร่าพยักหน้าอย่างมีความสุข ก่อนจะคว้าผ้าห่มข้างตัวมาห่มโอบ
รอบตัวเขา“ที่นี่มีอากาศหนาวในตอนกลางคืน ร่างกายของเจ้าในตอนนี้
อ่อนแอมาก ดังนั้นเจ้าควรระมัดระวังเป็นพิเศษ”
“อืม อากาศเริ่มเย็นลงแล้วจริงๆ”
ตอนนี้ดวงอาทิตย์เริ่มลับฟ้า โรเอลจึงห่มผ้าห่มให้แน่นขึ้น เขาหัน
ไปเพื่อจะบอกให้นอร่าหาอะไรมาคลุมตัวเองเช่นกัน แต่จู่ๆ เขาก็ได้
กลิ่นอะไรบางอย่าง
“เดี๋ยวก่อน กลิ่นนี่มัน…”
โรเอลขมวดคิ้ว
นอร่ากะพริบตาด้วยความสับสนครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตื่นตระหนก
โดยคิดว่าเขาน่าจะได้กลิ่นเหม็นเลือดจากการสังหารหมู่พวกกลายพันธุ์
ก่อนหน้านี้ของเธอ
แต่เราเพิ่งอาบน�ามานี่นา ยังมีกลิ่นอยู่ได้ยังไง?
“ม…มีอะไรงั้นเหรอ? เจ้าได้กลิ่นเลือดใช่ไหม? มันอาจจะมาจากที่
ข้าทําอาหารก่อนหน้านี้ เดี๋ยวนะ…อาหาร!”
ระหว่างที่นอร่ากําลังอธิบาย เธอก็เริ่มรู้สึกตัวและรีบวิ่งไปที่
ห้องครัวในทันที กลิ่นไหม้เกรียมจางๆ ลอยมาในอากาศ ทําให้โรเอล
ส่ายหัวด้วยรอยยิ้มที่ทําอะไรไม่ถูกดูเหมือนว่าประสบการณ์การทําอาหารครั้งแรกของนอร่าจะไม่
เป็นไปด้วยดีสักเท่าไหร่
…
ครึ่งชั่วโมงต่อมา โรเอลและนอร่าได้มานั่งตรงข้ามกันบนโต๊ะ โดย
มีไก่ย่างอยู่บนจานพร้อมกับผักย่างอื่นๆ ในสภาพที่ไหม้เกรียม
โรเอลมองอย่างระมัดระวังไปยังเด็กสาวผู้มีใบหน้าขมขื่น ซึ่งเงียบ
มาตั้งแต่ตอนที่พวกเขานั่งลงบนโต๊ะนี้ พลางหัวเราะในใจ
นอร่ารักษาภาพลักษณ์อันไร้ที่ติในฐานะองค์หญิงมาโดยตลอด ไม่
ว่าจะเป็นกิริยาท่าทางของเธอเมื่อต้องรับมือกับกลุ่มขุนนางหรือ
คุณธรรม เธอเชี่ยวชาญทั้งด้านศิลปะ การดนตรี และสาขาอื่นๆ อีก
มากมาย ทําให้เธอเปล่งประกายอยู่เสมอๆ
เธอโดดเด่นแม้กระทั่งตอนที่อยู่ในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า
สถานที่ซึ่งอัจฉริยะชั้นนําของทวีปเซียได้มารวมตัวกัน
ราวกับว่ามีใครบางคนวางรหัสความสมบูรณ์แบบไว้ในยีนของนอ
ร่า นิสัยชื่นชอบการแข่งขันของเธอผลักดันให้เธอมุ่งมั่นไปสู่จุดที่สูงขึ้น
ไปอีกอย่างต่อเนื่อง โดยแทบจะไม่ได้ลิ้มรสความล้มเหลวเลย แต่ใครจะ
ไปคิดล่ะว่าเด็กสาวคนนี้จะมาเจอความล้มเหลวซ�าแล้วซ�าเล่าที่นอก
เขตแดนของมนุษยชาติโรเอลมองนอร่าด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นประกายในดวงตา
สีทองของตน
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นด้านนี้ของเธอ ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่ได้แปลกใจ
เลยสักนิด อย่างน้อยๆ ในทวีปเซีย มันก็ถือเป็นเรื่องน่าขัน หากองค์
หญิงจะต้องเตรียมอาหารด้วยตัวเอง
แม้ว่ามันจะเป็นประเพณีที่ผู้หญิงต้องเตรียมอาหารในครัวเรือน
ทั่วไป แต่การปฏิบัติดังกล่าวไม่ได้ครอบคลุมถึงชนชั้นขุนนาง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่พวกอนุรักษ์นิยม พวกเขาเชื่อว่าการสัมผัส
สัตว์ที่ตายแล้วและการสัมผัสกับเลือดของพวกมันนั้นสกปรกและไม่
เป็นมงคล
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทําไมถึงมีจิตรกรผู้สูงศักดิ์ นักดนตรีผู้สูงศักดิ์
และแม้แต่ชาวสวนผู้สูงศักดิ์ แต่ไม่มีพ่อครัวผู้สูงศักดิ์
นอกจากจักรวรรดิออสทีนที่มีสังคมแบบอนุรักษ์นิยมแล้ว แม้แต่
สตรีชนชั้นสูงที่มีหัวก้าวหน้ามากกว่า ในเมืองโรซ่าที่เป็นเสรีนิยมก็ยัง
เลี่ยงที่จะเข้าไปในครัว ข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียวสําหรับกฎนี้ก็คือ
อาณาจักรแห่งการศึกษาโบรลเนล ซึ่งมีสตรีชั้นสูงจํานวนมากสนใจใน
การทําขนมหวานแต่นั่นก็เป็นเพราะโดยพื้นฐานแล้วโบรลเนลเป็นอาณาจักรที่ก่อตั้ง
โดยนักวิชาการพลเรือน ส่งผลให้มีวัฒนธรรมที่แตกต่างจากอาณาจักร
อื่นๆ
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ การทําอาหารจึงเป็นทักษะที่สตรีผู้สูงศักดิ์ไม่
น่าจะมีได้ โดยเฉพาะกับองค์หญิงแห่งจักรวรรดิเซนต์เมซิท และนั่นก็
เป็นสาเหตุที่ทําให้โรเอลกังวล เมื่อได้ยินว่านอร่าตั้งใจจะทําอาหาร
อย่างไรก็ตามอาหารที่เตรียมไว้กลับดูดีกว่าที่คาด
แม้ว่าผิวหนังบางส่วนจะดูไหม้เกรียม แต่โดยรวมก็ยังดูดี
โรเอลหั่นไก่ชิ้นหนึ่งแล้วจิ้มเข้าปาก ทําให้นอร่าต้องประหลาดใจ
“เดี๋ยวสิ! คายออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ มันไหม้ไปแล้ว!”
“งั้นเหรอ? ฉันคิดว่ามันรสชาติไม่เลวเลยนะ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอ
ทําอาหารใช่ไหมล่ะ? ฉันไม่อยากพลาดมันหรอก”
โรเอลเพิกเฉยต่อการประท้วงของนอร่า และยังคงยัดไก่เข้าปาก
ของเขาต่อไป ทําให้ในไม่ช้าเธอก็หมดคําพูดที่จะพูด
ในฐานะนายน้อยของตระกูลขุนนาง โรเอลเติบโตขึ้นมาพร้อมกับ
การรับประทานอาหารที่อร่อยที่สุด เมื่อรู้อย่างนั้น นอร่าก็แทบไม่เชื่อคําชมใดๆ ที่เขากล่าว แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ทําให้เธอมีความสุขที่ได้เห็น
โรเอลกลืนอาหารที่เธอทําอย่างตะกละตะกลาม
นอร่าวางศีรษะลงบนแขนและมองดูโรเอลอย่างเงียบๆ ในช่วง
เวลาแห่งความงุนงง เธอรู้สึกว่าเวลานี้พวกเขาไม่ใช่องค์หญิงของ
จักรวรรดิหรือทายาทของตระกูลขุนนางผู้มีอิทธิพลอีกต่อไปแล้ว แต่
เป็นคู่สามีภรรยาธรรมดาๆ
ทุกเช้าทั้งสองจะตื่นไปทํางานของตัวเอง และเมื่อพระอาทิตย์ตก
ดิน พวกเขาจะรวมตัวกันที่โต๊ะอาหารเพื่อทานอาหาร แบ่งปันสิ่งที่พวก
เขาทําในระหว่างวัน พิงกันและกันขณะพูดคุยกันจนหลับไปอย่างช้าๆ
มันเป็นชีวิตที่ธรรมดาและอ่อนโยน ไม่มีอะไรให้พวกเขาต้องกังวล
หรือระวัง การเมืองอยู่ห่างจากพวกเขาไปไกล เช่นเดียวกับการต่อสู้
และอันตราย ทุกสิ่งที่พวกเขามีก็เพื่อแบ่งปันให้กับอีกคนเท่านั้น
จู่ๆ ชีวิตที่น่าเบื่อเช่นนี้ก็ฟังดูน่าดึงดูดใจสําหรับนอร่าขึ้นมา ทําให้
เธอเงียบไปนานก่อนจะพูดขึ้น
“โรเอล…เจ้าคิดอย่างไรกับการตัดสินใจของวิกตอเรียและพอน
เต้