ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 472 ศัตรูแห่งโชคชะตา (2)
เมื่อเห็นดวงตาอันแน่วแน่ของโรเอล นอร่าก็ยอมพยักหน้าเห็นด้วย
ในที่สุด เช่นเดียวกับที่โรเอลให้ความไว้วางใจเธอ เธอเองก็ตัดสินใจที่จะ
เชื่อมั่นในความสามารถของเขาเช่นกัน
“ถ้าข้าล้มเหลว การปะทุของพลังเวทจากราชาทูตสวรรค์จะทําให้
เจ้าตาย หากเจ้าล้มเหลว คมดาบลัทธิชั่วร้ายก็จะมาพรากชีวิตข้าไป ดู
เหมือนว่าพวกเราคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องคว้าชัยชนะให้ได้
กันทั้งคู่สินะ”
“อืม ดูเหมือนชะตากรรมของเราจะถูกผูกมัดไว้ด้วยกันซะแล้ว”
ทั้งสองยิ้มเพลิดเพลินไปกับพระอาทิตย์ตกดินด้วยกัน
หลังจากใช้เวลาร่วมกันอย่างอบอุ่นหัวใจ นอร่าก็เริ่มสร้างเกราะ
พลังเวทหลายชั้นรอบๆ ที่พัก โดยตั้งใจจะใช้ที่นี่เป็นฐานหลบภัย
ชั่วคราวหากเกิดข้อผิดพลาด
คาถาเวทป้องกันหลายร้อยคาถาที่อยู่รอบๆ บ้านหลังนี้ทําให้โรเอล
สบายใจ
ด้วยเหตุนี้วันสําคัญก็ได้มาถึงมนุษย์มักจะหันไปทําพิธีกรรมพื้นบ้าน เมื่อใดก็ตามที่มีเหตุการณ์
สําคัญเกิดขึ้นกับตัวเอง
ในอดีตชาติ เพื่อนร่วมชั้นของโรเอลเคยสวมชุดชั้นในสีแดงในการ
สอบ โดยยืนยันหนักแน่นว่ามันจะทําให้พวกเขาโชคดีที่และได้คะแนน
ตามที่ต้องการ ในทวีปเซียสิ่งนั้นคือการสวดอธิษฐานต่อเหล่าทวยเทพ
ทว่าโรเอลและนอร่ากลับเลือกที่จะไม่ทําอะไรเลยทั้งๆ ที่กําลัง
จะต้องเผชิญกับความยากลําบาก เพราะเวลาอันสงบสุขที่พวกเขาใช้
ร่วมกันก่อนการต่อสู้นี้ ถือเป็นรูปแบบการอธิษฐานของพวกเขานั่นเอง
ศัตรูของนอร่าคือพลังของบรรพบุรุษในโบราณกาล สัญชาตญาณ
ศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดมาจากราชาแห่งเผ่าพันธุ์ ส่วนศัตรูของโรเอลก็คือ
ร่างกายที่ขาดรุ่งริ่งของเขา และศัตรูตัวฉกาจแห่งชะตากรรม
ภารกิจของทั้งสองเต็มไปด้วยความยากลําบาก แต่พวกเขาก็เลือก
ที่จะไม่พูดถึงเรื่องนี้
เช้าวันนั้น โรเอลเพลิดเพลินกับทักษะการทําอาหารของนอร่ามา
โดยตลอด ในที่สุดก็ได้มีโอกาสแสดงทักษะการทําอาหารของตัวเอง
แล้ว และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นคนเตรียมอาหารในรอบหลายปี
“ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ ที่มันกินได้…อาหารบางจานอร่อยเสีย
ด้วยซ�า”นอร่ากล่าวด้วยความประหลาดใจหลังจากได้ลองเนื้อย่างของโร
เอล
เธอไม่เข้าใจว่าทําไมโรเอลถึงสามารถทําอาหารดีๆ แบบนี้ได้
สําหรับเธอแล้วความสามารถทําอาหารที่เธอมีนั้นมาจากการดูคนอื่น
ทําอาหาร ซึ่งเป็นนิสัยที่ได้มาจากการที่เธอรู้ว่าคนที่เธอรักหมกมุ่นกับ
อาหารดีๆ
เนื่องจากขุนนางมักจะดูถูกเหยียดหยามการทําอาหาร นอร่าจึงคิด
ว่าโรเอลนั้นไม่น่าจะมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ได้ และเธอก็ไม่คิดว่าผู้ที่
ทําอาหารเป็นครั้งแรกจะทํามันได้ดี ดังนั้นเด็กสาวจึงเตรียมใจสําหรับ
หายนะในมื้อเช้าเอาไว้แล้ว ทันทีที่เห็นโรเอลยกอาหารเข้ามา
“ช่างน่าแปลกเสียจริง เจ้าเรียนรู้วิธีทําอาหารพวกนี้ได้อย่างไร
กัน?”
“…ฉันชอบแวะไปที่ห้องครัวในคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ด นี่ก็แค่
การลอกเลียนแบบสิ่งที่พ่อครัวทําน่ะ”
“โกหกชัดๆ แอนนาไม่มีทางอนุญาตให้เจ้าเข้าไปในครัวแน่ เฮ้อ
ช่างมันเถอะ”
นอร่าไม่คิดที่จะทวงถามให้มากความไปกว่านี้ และโรเอลเองก็ไม่
คิดที่จะอธิบายอดีตชาติของตัวเองให้เธอฟัง พวกเขาจึงเปลี่ยนไปคุยกันอย่างสนุกสนานเกี่ยวกับอาหารเช้า ก่อนที่นอร่าจะเดินทางออกไป
เพื่อระบายพลังเวทของเธอเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อนอร่ากลับมา เธอก็ลากโรเอลไปที่ริมทะเลสาบพร้อมๆ กัน
เพื่อชะล้างเลือดบนตัวเธอ
ทะเลสาบต้นฤดูหนาวนั้นเย็นยะเยือก แต่ก็ไม่สามารถระงับความ
ร้อนอันลุกโชนที่เกิดจากพลังทางสายเลือดที่กําลังอาละวาดในตัวของ
นอร่าได้ ระดับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิดังกล่าวไม่สามารถส่งผล
ต่อผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงได้ เพราะแม้แต่ทะเลสาบน�าแข็งมน
ตราของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างก็ยังทําได้เพียงแค่จํากัดพลังทาง
สายเลือดของเธอ
นอร่าถอดเสื้อผ้าออกแล้วก้าวเข้าไปในทะเลสาบอันเย็นยะเยือก
โรเอลคิดว่ามันไม่เหมาะสมสําหรับเขาที่จะอยู่ที่นี่ด้วย แต่เขาก็ไม่
สามารถเดินออกไปได้ไกลมากนัก ด้วยแรงลากที่มาจากปลายอีกด้าน
ของโซ่ตรวน เด็กหนุ่มจึงทําได้เพียงหันกลับมามองท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
ตรงหน้าพลางหวังว่ามันจะทําให้จิตใจของเขาว่างเปล่า
มิฉะนั้น เสื้อผ้าที่อยู่ในมือของเขาและเสียงที่สาดกระเซ็น ซึ่งอยู่ไม่
ไกลนี้ จะต้องทําให้เกิดความคิดฟุ้งซ่านเป็นแน่สิ่งที่อยู่ในจินตนาการมักจะวิเศษกว่าที่เป็นอยู่บ่อยครั้ง เพียงแค่
ชําเลืองมองก็ทําให้จินตนาการจบลง
โรเอลเข้าใจตรรกะนี้ และนอร่าเองก็เข้าใจมันเช่นกัน นั่นจึงเป็น
เหตุผลที่เธอไม่ขอเสื้อผ้าคืนหลังจากก้าวขึ้นฝั่ ง แต่เดินไปที่ด้านหลัง
ของโรเอล และหยิบมันไปด้วยตัวเอง
“อย่าขยับล่ะ”
เธอสั่ง
นอร่าเอนตัวเข้าไปอย่างรวดเร็วแล้วคว้าเสื้อผ้าไป
โรเอลสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันนุ่มนวลที่หลัง พร้อมกลิ่นหอมสด
ชื่นเล็กน้อยที่ลอยอยู่ในอากาศ เสียงสวมเสื้อผ้าข้างหลังเขา ช่างกระตุ้น
หัวใจของเขาเหลือเกิน
นอร่ารู้สึกดีขึ้นมากหลังจากที่ได้อาบน�า เมื่อสวมเสื้อผ้าแล้วเธอก็
เดินขึ้นไปหาโรเอล กอดเด็กหนุ่มจากด้านหลัง และจูบเบาๆ ที่แก้มของ
เขาก่อนจะเอื้อมมือออกไปจับมือเขา จากนั้นทั้งสองก็มุ่งหน้ากลับ
บ้านพักชั่วคราวด้วยกัน
ด้านนอกหน้าต่าง เส้นขอบฟ้าเริ่มส่องแสงเป็นสีส้ม ทั้งสองพิงกัน
ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง พร้อมที่จะเผชิญทุกสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า“อีกเดี๋ยวฉันจะต้องออกไปจัดการกับปัญหาข้างนอก เธอเองก็ใกล้
ถึงเวลาแล้วใช่ไหม?”
โรเอลถามด้วยรอยยิ้ม
“อืม”
นอร่าตอบพร้อมพยักหน้า
ทั้งสองมองดูพระอาทิตย์อัสดงเงียบๆ
“…ระวังตัวด้วยล่ะ”
“อืม เธอเองก็เหมือนกัน ห้ามแพ้นะ”
“แน่นอน คิดว่าข้าเป็นใครกัน?”
นอร่าตอบด้วยน�าเสียงภาคภูมิใจ
ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่นอร่าจะหันกลับมากอดโรเอลแน่น
เธอเอนตัวเข้าไปที่หูของเขาและกระซิบ
“กลับมาเร็วๆ ล่ะ ข้ารอเจ้าอยู่”
“อืม”หลังจากการโอบกอดครั้งสุดท้าย ในที่สุดโรเอลก็เดินออกจาก
บ้านพักไปยังทางที่พระอาทิตย์กําลังตกดิน นอร่ามองดูเงาที่แยกจาก
กันของเขาในขณะที่แสงสีทองเริ่มปกคลุมร่างกายของเธอ ทั้งคู่ต่าง
แยกกันไปสู่สนามรบของตัวเอง
…
อาทิตย์อัสดงแดงก�าคล้ายกับลางบอกเหตุ
ณ ขอบฟ้าของหุบเขาในทิศทางที่โรเอลกําลังเดินไป มีชายผมสี
ทองยืนอย่างสงบนิ่ง รอบๆ ตัวเขามีกลุ่มของลัทธิชั่วร้ายที่ส่งกลิ่นเหม็น
โชยเลือดออกมา
ไบรอัน เอลริก
ชายคนนี้ควรจะเป็นตายไปแล้ว แต่ด้วยพลังของเขาและอิทธิพล
ของตระกูล เขาได้ไต่ขึ้นบันไดในสมาคมนักปราชญ์อย่างรวดเร็ว และ
ขึ้นสู่ตําแหน่งรองหัวหน้าสมาคมในเวลาหนึ่งร้อยปี เขาได้เข้ามาควบคุม
องค์กรขนาดใหญ่นี้และดํารงอยู่ภายใต้เงามืดของจักรวรรดิเซนต์เมซิท
ด้วยอํานาจของไบรอันในฐานะผู้นําของหนึ่งในห้าตระกูลขุนนาง
ชั้นสูง เขาได้ยืมมือของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างเพื่อกําจัดลัทธิชั่วร้ายที่
ต่อต้านจักรวรรดิเซนต์เมซิท และบังคับให้พวกที่เหลือรอดเข้าร่วม
สมาคมนักปราชญ์ ด้วยความพยายามอย่างไม่ลดละของเขาตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ไบรอันก็สามารถขยายสมาคมนักปราชญ์ให้
กลายเป็นลัทธิชั่วร้ายที่ใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิเซนต์เมซิทได้สําเร็จ
ไบรอันไม่ได้ศรัทธาในคําสอนอันบิดเบี้ยวของลัทธิชั่วร้าย หรือทํา
ไปเพียงเพื่อยืดอายุของตัวเอง
ที่เขาทําแบบนี้ก็เพราะว่าเขาเห็นคุณค่าอย่างแท้จริงของพลัง
มหาศาลที่ลัทธิชั่วร้ายมี
อํานาจมักจะมีรากฐานมาจากอํานาจทางการทหาร แต่ตระกูลเซ
ไซต์ได้กําหนดข้อจํากัดอันเข้มงวดเพื่อขัดขวางไม่ให้ตระกูลเอลริก
ขยายกําลังทางทหารของพวกเขาออกไปอีก นั่นจึงทําให้เขาต้องหา
เส้นทางอื่นเพื่อขยายอํานาจแทน
ซึ่งไบรอันก็ประสบความสําเร็จ
การลอบสังหาร ลักพาตัว และการข่มขู่ ไบรอันสามารถพึ่งพาลัทธิ
ชั่วร้ายเพื่อใช้แผนการอันน่ารังเกียจเหล่านี้ได้ นอกจากนี้คําสัญญาอัน
น่าอัศจรรย์ที่ลัทธิชั่วร้ายได้เสนอขึ้นมาก็เป็นสิ่งที่ล่อใจเป็นอย่างมากต่อ
คนชรา คนป่วย และคนอ่อนแอ
นี่เป็นผลให้ตระกูลเอลริกเติบโตอย่างรวดเร็วได้ในช่วงสองสาม
ทศวรรษที่ผ่านมา แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อนก็ได้เตือนฝ่ายตรงข้าม ถึงแผนการของเจ้าตัว ทําให้กุญแจสําคัญในแผนการของพวก
เขาพังทลาย
ต้นเหตุคือใครงั้นเหรอ? ก็ตระกูลแอสคาร์ดไงล่ะ
คนกลุ่มเดียวกันกับที่เคยทําให้พวกเขาพ่ายแพ้ในอดีต ทําให้พวก
เขาต้องทนอัปยศมานับร้อยปี มันไม่ง่ายเลยที่ตระกูลเอลริกจะฟื้ นฟู
ขึ้นมาอีกครั้ง แต่แล้วตระกูลอันน่าชิงชังนั้นก็กลับเข้ามาขวางทางพวก
เขาอีก
จากระยะไกล ไบรอัน เอลริกเห็นเงาของเด็กหนุ่มผมดําที่เปลี่ยน
คําทํานายและหยุดแผนการของเขาเอาไว้ ทั้งสองต่างสบตากัน ทว่า
กลับไม่มีความประหลาดใจในสายตาของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย มี
เพียงเจตจํานงอันแน่วแน่เท่านั้น
เมื่อท้องฟ้ามืดลง จิตสังหารก็แผ่กระจายไปทั่วหุบเขาทาร์ก