ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 473: สิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปอย่างไร (1)
ช่วงยามเย็น ณ หุบเขาทาร์ก เด็กหนุ่มผมดํากําลังสบตากับชายผม
สีทอง พร้อมจิตสังหารอันแรงกล้าที่แผ่ออกมาจากทั้งคู่
นี่เป็นโอกาสอันหาได้ยากสําหรับไบรอันที่จะกําจัดผู้สืบทอดของ
ตระกูลแอสคาร์ด แต่ใบหน้าของเขากลับยังคงเคร่งขรึม เขายังคงจําได้
ดีถึงวิธีที่โรเอลเปลี่ยนคําทํานายเมื่อหลายปีก่อน และนั่นก็เป็นเครื่อง
เตือนใจเขาว่าอย่าได้ลดความระมัดระวังลง
นอกจากนี้ประสบการณ์หลายปีในการต่อสู้กับตระกูลแอสคาร์ด ก็
ได้บอกเขาว่าอย่าได้ประมาทคนจากตระกูลนี้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพียง
แค่เด็กชายอายุสิบสี่ปี
ไบรอันรับรู้ได้จากสัญชาตญาณที่ฝึกฝนมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ
ว่านี่คือการต่อสู้ที่จะกําหนดวิถีแห่งโชคชะตา ซึ่งโรเอลเองก็มีความคิด
แบบเดียวกัน
“มาแล้วสินะ เคาต์ไบรอัน ไม่ได้เจอกันนานเลย ดูเหมือนว่าคุณไม่
คิดที่จะปกปิดตัวตนของตัวเองอีกต่อไปสินะ”
โรเอลกล่าวอย่างใจเย็นขณะที่มองไปยังเหล่าผู้นับถือลัทธิชั่วร้าย
ที่มากับไบรอัน“…”
ไบรอันยังคงนิ่งเงียบไม่แสดงท่าทางใดๆ
เขามาโดยไม่ปกปิดอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือพลังเวท
เขาไม่จําเป็นต้องทําอย่างนั้นเพราะนี่เป็นการเดิมพันแบบเบ็ดเสร็จ
สําหรับเขา
หากไบรอันชนะการต่อสู้ที่นี่ ทั้งโรเอลและนอร่าก็จะถูกกําจัด ที่นี่
ไม่มีพยานใดๆ จะมากล่าวฟ้องเขาได้ ในทางกลับกัน หากเขาแพ้การ
ต่อสู้ เขาเองก็คงจะเสียชีวิตด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะทางไหน เขาก็ไม่
จําเป็นจะต้องปกปิดตัวตนของตัวเอง
คําถามของโรเอลคือคําถามที่ไม่ต้องการคําตอบ
ไบรอันค่อนข้างประหลาดใจกับความสงบของโรเอล เขา
สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทั้งความเกลียดชังหรือความโกรธในสายตา
แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่มาเพื่อปลิดชีพเขา ทว่าโรเอลนั้นกลับมี
บรรยากาศแห่งความเศร้าโศกปกคลุมอยู่
“กาลเวลาช่างเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว แม้แต่นักปราชญ์ผู้เป็นที่
เคารพนับถือก็ยังสิ้นหวังต่อกระแสเวลาอันไม่หยุดยั้งและตกสู่ความเลว
ทราม อัศวินผู้หยิ่งผยองและจงรักภักดีได้สูญเสียตัวตนไปตามกาลเวลา
แม้แต่ประวัติศาสตร์ก็ถูกลดทอนให้เป็นนิทานอันบิดเบี้ยว ถูกฝังอยู่ใต้ฝุ่นธุลี กระนั้นความเกลียดชังกลับอยู่เหนือกาลเวลา และคงอยู่แม้จะ
ผ่านไปหลายร้อยปี”
“สิ่งที่ควรยึดไว้อย่างแน่วแน่กลับสลายไปอย่างง่ายดาย แต่สิ่งที่
ควรถูกทอดทิ้งกลับยังคงหลงเหลืออยู่ ความทะเยอทะยานเหมือนสัตว์
ประหลาดที่ไม่เคยหยุดโต นี่ก็ผ่านมาสองร้อยปีแล้ว มันคงจะเป็น
ช่วงเวลาอันยาวนานสําหรับคุณเลยสินะ เฟลเดอร์ เอลริก”
“!”
ดวงตาของไบรอันหรี่ลงทันทีที่ได้ยินชื่อเก่าของตัวเอง นี่เป็นครั้ง
แรกที่อารมณ์แสดงออกมาบนใบหน้าของเขา
เฟลเดอร์ เอลริก เป็นชื่อเก่าแก่ที่แม้แต่ตัวไบรอันเองก็ยังจําไม่ได้
แล้วว่านานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีใครเรียกเขาแบบนั้น สองร้อยปีผ่านไป
แม้กระทั่งผู้ที่มาจากรุ่นหลังก็ยังหลงลืมไปแล้ว
ในช่วงเวลาอันแสนยาวนาน ใบหน้าและตัวตนของเขาเปลี่ยนไป
หลายครั้ง
มันจึงไม่น่าเป็นไปได้ที่คนที่อายุน้อยอย่างโรเอล แอสคาร์ด จะ
ล่วงรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา
“เจ้ารู้จักชื่อนี้ได้อย่างไรกัน?”ไบรอันจ้องไปที่โรเอลอย่างขุ่นเคือง เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างไม่
อาจห้ามได้
“ตอนนี้ไม่มีประโยชน์แล้วที่จะถามถึงเรื่องนั้น แต่ฉันจะตอบ
คําถามของคุณให้ ฉันเคยพบเฟลเดอร์ เอลริกผ่านความสามารถทาง
สายเลือดของฉัน เขาเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลเอลริก อัศวินที่ดุดัน
และดุร้ายไม่แพ้เสือ ไม่ว่าถูกหรือผิด เขาจะไล่ตามอุดมคติที่ตนเองตั้ง
มั่นไว้เสมอ”
“ช่างน่าเสียดาย เมื่อหลายปีผ่านไปทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลง เสือที่
ดุร้ายคนนั้นไม่มีอีกต่อไป อัศวินผู้กล้าหาญในอดีตก็ได้กลายเป็นงูพิษไป
แล้ว”
โรเอลกล่าวอย่างเศร้าสร้อย
“…”
ไบรอันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ครู่ต่อมา ดวงตาของเขา
กลับมาเป็นปกติ แต่ยังคงเหลือรอยขมวดคิ้วเล็กน้อยบนหน้าผากของ
เขา
ไบรอันรู้ว่าโรเอลปลุกสายเลือดมาได้หลายปีแล้ว ซึ่งหมายความว่า
มีโอกาสที่ตัวตนที่แท้จริงของเขาอาจถูกเปิดเผยมาก่อนหน้านี้นานหลายปี ถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าตระกูลเซไซต์และตระกูลแอส
คาร์ดคงจะเตรียมการเพื่อจัดการกับเขาเอาไว้แล้วอย่างแน่นอน
ความกังวลเข้าครอบงําจิตใจของไบรอัน และสั่นคลอนความมุ่งมั่น
ของเขาไปชั่วขณะ เขารู้ว่าแผนการในอนาคตของเขาคงจะไม่ราบรื่น
อย่างที่คิด ตระกูลเซไซต์และตระกูลแอสคาร์ดจะขัดขวางแผนการของ
เขาในทุกขั้นตอนอย่างแน่นอน แต่ในขณะเดียวกันจิตสังหารของเขาก็
ยิ่งเข้มข้นขึ้น
สิ่งหนึ่งที่ไบรอันมั่นใจก็คือ ตระกูลเซไซต์และตระกูลแอสคาร์ด ไม่
อาจคาดการณ์ถึงภัยพิบัติที่ป้อมปราการทาร์กได้แน่ ตราบใดที่เขา
สามารถฆ่าทายาทของทั้งสองตระกูลได้ เขาก็จะสามารถกดดันขุนนาง
คนอื่นๆ ให้เข้าร่วมกับตัวเองได้สําเร็จ เพราะไม่มีใครอยากนั่งเรือที่
กําลังจม
นั่นคือแก่นสําคัญสําหรับไบรอันที่จะได้รับชัยชนะในสงครามนี้
ทุกอย่างยังปกติดี เรายังไม่แพ้
ไบรอันแสดงจิตสังหารอย่างเต็มที่ต่อโรเอล และพวกลัทธิชั่วร้ายที่
อยู่รอบข้างเขาเองก็เผยให้เห็นถึงแววตาดูถูกเหยียดหยาม พวกเขาไม่
คิดว่าโรเอลจะเป็นปัญหาเลยสักนิด“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะล่วงรู้ถึงตัวตนของข้าได้ แม้ว่าโชคชะตาจะ
ไม่ได้เข้าข้างเจ้า การปรากฏตัวของตัวตนจากโบราณกาลได้
เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง แผนของเจ้าจะต้องล้มเหลว เจ้าอาจเป็นหนึ่งในผู้มี
พลังเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่น แต่สงครามไม่ใช่การแข่งขัน
เจ้าไม่สามารถอยู่รอดได้เพียงลําพัง”
“…ลําพังงั้นเหรอ?”
โรเอลพึมพํา
ผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายคนอื่นๆ หัวเราะเยาะความไร้เดียงสาของโร
เอล
มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่งเหนือมนุษย์มากมายในทวีป
เซีย แต่การรับมือกับศัตรูหลายคนพร้อมกันก็ยังถือเป็นความท้าทาย
นอกจากนี้โรเอลเองก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรเป็นพิเศษในแง่ของ
ระดับแก่นแท้
แต่ที่ทําให้ไบรอันสับสนก็คือ โรเอลไม่ได้ดูกระวนกระวายอะไรกับ
คําพูดเหล่านั้นเลย ในทางกลับกันเขาเพียงแต่มองไปยังท้องฟ้ายามเย็น
ก่อนจะพูดด้วยน�าเสียงที่สงบ
“ฉันเห็นด้วยกับการตัดสินใจของคุณ นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันไม่ได้มา
คนเดียวในวันนี้”รอยยิ้มจางๆ ก่อตัวขึ้นบนใบหน้าของ โรเอล อย่างช้าๆ ทําให้ไบร
อันขมวดคิ้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนั้นทําให้ทุกคนต้องตกตะลึง
โรเอลเริ่มเปล่งพลังเวทสีแดงเข้มที่ย้อมทุกอย่างรอบตัวเขาเป็นสี
แดง มันเริ่มต้นจากการกระเพื่อมจางๆ แต่ในไม่ช้ามันก็เพิ่มขึ้นตาม
รอยเท้าของกองทัพที่ดังก้องกังวานไปทั่วทุ่งหญ้า และมาพร้อมกับ
เสียงกระทบกันของเกราะและโล่ที่เป็นโลหะ
ในไม่ช้าพวกเขาก็ปรากฏตัวขึ้น
โล่ของผู้นับถือลัทธิแห่งความแน่วแน่ถูกย้อมด้วยสีแดงเข้มพร้อม
กับดาบสั้นหนักที่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทั่วๆ ไปไม่มีทางจะได้
ครอบครอง โบกธงที่มีตราสัญลักษณ์ดวงตาแห่งเวลาสายัณห์ไปมา
ประกาศการมาถึงของกองทัพจากตระกูลแอสคาร์ด
แต่สิ่งที่สําคัญยิ่งกว่านั้นสําหรับไบรอันและพวกลัทธิชั่วร้ายก็คือธง
อีกใบที่โบกอยู่ข้างๆ
มันคือธงรูปค้อนแห่งความยุติธรรม ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ที่ใช้โดยอัครสาวกของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างเท่านั้น ธงขาวศักดิ์สิทธิ์ที่ดู
เป็นลางไม่ดีภายใต้พลังเวทสีแดงเข้ม ราวกับว่ามันถูกย้อมด้วยเลือดของคนบาป มีชายผมแดงผู้เงียบขรึมอยู่ใต้ธงนั้นมองมาที่พวกลัทธิชั่ว
ร้ายด้วยสายตาอันเยือกเย็น ราวกับกําลังมองศพ
กองทหารอัครสาวกเดินตามหลังเขามาอย่างเคร่งขรึม แม้จะยัง
ไม่ได้เคลื่อนไหว แต่รูปลักษณ์ของพวกเขาก็เพียงพอแล้วที่จะก่อความ
ครั่นคร้ามในใจของพวกลัทธิชั่วร้าย
ไม่มีผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายคนใดสามารถรักษาสีหน้าเยาะเย้ยบน
ใบหน้าได้อีกต่อไป พวกเขาตระหนักได้ว่าตนเองประเมินคู่ต่อสู้ต�า
เกินไปเพราะอีกฝ่ายนั้นอายุยังน้อย เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ศัตรูตรงหน้านี้
ไม่ใช่คนบ้าระห�าที่ไม่ได้คิดเตรียมการอะไรไว้ล่วงหน้า
เหตุผลที่โรเอลกล้ายืนหยัดต่อหน้าไบรอันและคนอื่นๆ อย่างกล้า
หาญนั้น เนื่องมาจากกําลังเสริมของกองทัพผู้นับถือลัทธินอกรีตและ
อัครสาวก ใครว่าเขาไม่ได้ไม่เตรียมการอะไรเลยในช่วงสองสามวันที่
ผ่านมากัน?
ตั้งแต่วินาทีที่โรเอลมั่นใจว่าตระกูลเอลริกจะเคลื่อนไหว เขาก็รู้ว่า
ตัวเองจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูมากกว่าหนึ่งคน สิ่งนี้ได้รับการยืนยัน
เพิ่มเติมโดยคําแถลงในภายหลังของอาร์เทเชีย เขาจึงสงบสติอารมณ์ได้
แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย เพราะเขายังมีไพ่เด็ดให้พึ่งพาอยู่ลัทธิคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกําเนิดความแข็งแกร่งและลัทธิ
คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกําเนิดความแน่วแน่ เป็นสองกองทัพอันทรงพลัง
ที่มาเข้าร่วมกับเขาภายใต้คําแนะนําของเทพเจ้าโบราณ ส่วนอัครสาวก
เองก็เป็นชนชั้นสูงของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างและเป็นความหายนะของ
ลัทธิชั่วร้าย
หลังจากการหายตัวไปของป้อมปราการทาร์ก โรเอลก็ได้เขียน
จดหมายส่งไปยังกองทัพนอกรีตและอัครสาวก เมื่อคืนที่ผ่านมาเขา
ได้รับการยืนยันว่าทั้งสามกองทัพอยู่ในบริเวณใกล้เคียงและพร้อมที่จะ
มาให้การสนับสนุน
เพื่อให้ไบรอันลดความระมัดระวังลง โรเอลได้บอกให้พวกเขาซ่อน
ตําแหน่งและรอเวลาของการประลองครั้งสุดท้าย เมื่อไบรอันแสดงตัว
แล้วจริงๆ โรเอลจึงส่งสัญญาณให้พวกเขาปรากฏตัว
การเสริมกําลังอย่างกะทันหันทําให้เกิดความเครียดในหมู่ผู้นับถือ
ลัทธิชั่วร้ายของสมาคมนักปราชญ์ แต่มันก็จุดประกายไฟในการต่อสู้
ของพวกเขาด้วยเช่นกัน เมื่อศัตรูคู่แค้นได้มาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา
สายตาของพวกลัทธิชั่วร้ายก็กลายเป็นสีแดงด้วยจิตสังหาร
อัครสาวกเองก็กําอาวุธแน่นเช่นกันทุกคนกําลังรวบรวมพลังเวท เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสําหรับการทํา
สงคราม จนสามารถสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดในอากาศ
ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างจากกันเพียงพันเมตร แต่ไบรอันก็ขมวดคิ้ว
อย่างฟุ้งซ่านเมื่อเห็นกองทัพนอกรีต ด้วยที่พบว่าพวกเขานั้นช่าง
คุ้นเคยอย่างยิ่ง