ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 475: ร่ายคาถา (1)
แสงศักดิ์สิทธิ์ผสมกับห่าฝนโลหิตบนท้องฟ้าและกลิ่นฉุนของ
แมกม่าที่อบอวลไปในอากาศนั้นดูราวกับว่าได้มีคนนํานรกขึ้นมาบนพื้น
โลก
ทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้เพื่ออนาคตที่ตนเองต้องการ ไม่มีการ
ประนีประนอมระหว่างกัน นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาจะต้องต่อสู้กันจน
ตัวตาย
อัครสาวกและพวกนอกรีตกําลังต่อสู้เพื่อพาโรเอลและนอร่า
กลับมา พวกเขารู้ว่าตระกูลเซไซต์มีความสําคัญต่อความมั่นคงของโลก
เพียงใด หลังจากการหายตัวไปของป้อมปราการทาร์ก มนุษยชาตินั้น
จําเป็นจะต้องร่วมมือกันเพื่อเอาชีวิตรอดจากการทดสอบครั้งนี้
ในทางกลับกัน พวกลัทธิชั่วร้ายเองก็พยายามทําให้โลกเข้าสู่ความ
โกลาหล นั่นคือสภาพแวดล้อมที่พวกเขาเจริญเติบโต หากปราศจาก
โบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างที่จะตามล่าพวกเขา พวกเขาจะสามารถทําตามที่
ตนเองต้องการได้โดยไม่ต้องกังวลกับผลที่จะตามมา
ทว่าในขณะที่กองทัพทั้งสองกําลังเข่นฆ่ากันอย่างเลือดเย็น ผู้นํา
ของพวกเขานั้นยังคงยืนนิ่ง ไม่ได้เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อยมีคํากล่าวอดีตชาติของโรเอลว่า ‘ราชาต่อราชา นายพลต่อนาย
พล’ แต่ความจริงก็คือตรรกะดังกล่าวถูกจํากัดไว้เพียงแค่กระดานหมาก
รุก
ในฐานะผู้บัญชาการกองทัพ ความปลอดภัยของโรเอล และไบร
อันไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไป อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับพวกเขาจะ
ส่งผลกระทบต่อขวัญกําลังใจของกองทัพ หากความแข็งแกร่งของ
ผู้บังคับบัญชาทั้งสองมีช่องโหว่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่การต่อสู้ระหว่าง
พวกเขาจะไม่เกิดขึ้นเลย
แน่นอน มันคงจะเป็นการดีที่สุดหากพวกเขาสามารถจัดการผู้
บัญชาการของศัตรูได้ แต่การรักษาขวัญกําลังใจของกองทัพนั้นสําคัญ
กว่ามาก
ไม่น่าแปลกใจเลยถ้าโรเอลเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า
กับไบรอันโดยพิจารณาจากสภาพร่างกายของเขา และช่องว่างใน
ระดับแก่นแท้ นั่นคือเหตุผลที่ผู้บัญชาการของหน่วยอัครสาวก แฮงค์
เลือกที่จะอยู่เคียงข้างโรเอลทันทีที่การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น เขาพร้อมที่จะ
เผชิญหน้ากับไบรอันหากอีกฝ่ายเข้าหาพวกเขา
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือโรเอลเลือกที่จะก้าวไปข้างหน้าแทนที่
จะถอยกลับ“เคาต์แฮงค์ ให้ผมจัดการเขาเถอะ”
โรเอลพูดอย่างใจเย็น
แฮงค์มองเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ เขาคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่
ไม่ฉลาด ทั้งในแง่ของความแข็งแกร่ง ตัวตน หรือความรับผิดชอบ เขา
ไม่สามารถยอมรับคําแนะนําของโรเอลได้
“ภารกิจที่ผมได้รับมอบหมายก็คือการรับรองความปลอดภัยของ
คุณ มันเป็นความรับผิดชอบของผมในฐานะผู้บัญชาการของโถงแห่ง
อัครสาวก เพื่อกําจัดลัทธิชั่วร้าย คุณ…จะตายที่นี่ไม่ได้”
แฮงค์พูดด้วยน�าเสียงอันลุ่มลึกและหนักแน่น
โรเอลเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตระกูลแอสคาร์ด หนึ่งในห้า
ตระกูลขุนนางชั้นสูง ผลที่ตามมาจากการตายของเขาไม่น่าจะมีผลมาก
เท่ากับของนอร่า แต่มันก็จะทําให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่ในฉากการเมือง
ของจักรวรรดิเซนต์เมซิท โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงศักดิ์ศรี
ของเขาในฐานะผู้ชนะศึกชิงถ้วย
เมื่อตระหนักได้ถึงความกังขาของแฮงค์ โรเอลก็อธิบายจุดยืนของ
ตัวเอง“นี่ไม่ใช่แค่การต่อสู้เพื่อกําหนดอนาคตของจักรวรรดิเซนต์เมซิท
แต่ยังเป็นบทตัดสินของเหตุการณ์การเดินขบวนแห่งความวุ่นวายเมื่อ
สองศตวรรษก่อน ชะตากรรมของตระกูลแอสคาร์ดและตระกูลเอลริก
เกี่ยวพันกันมาตั้งแต่นั้น มันถึงเวลาที่เราจะตัดสินผลกันแล้ว และผม
เป็นคนเดียวที่จะทํามันได้”
“สิ่งที่เราต้องการตอนนี้คือการชนะการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ใช่จัดการ
ความแค้นที่มีมานานหลายศตวรรษของคุณ”
แฮงค์เตือน
“นั่นเป็นเหตุผลที่ผมต้องก้าวออกไป เราต้องใช้เทพเจ้าในการ
เอาชนะเทพเจ้า”
ดวงตาสีทองของโรเอลจ้องมองไปที่ไบรอันอย่างเข้มข้น ราวกับว่า
เขากําลังมองเห็นบางสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น
ตอนนั้นเองที่เศษสีเทาคล้ายกับควันหรือกลุ่มฝุ่นเล็กๆ เริ่มลอย
ออกจากร่างของไบรอัน เงามัวเริ่มแผ่ขยายเบื้องหลังไบรอันพร้อมเสียง
คร�าครวญจากท้องฟ้าอันมืดมิดและห่างไกล
ม่านหมอกสีเทาเข้าปกคลุมร่างกายของไบรอัน สร้างความ
หวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ได้ในหัวใจผู้ที่อยู่ใกล้เคียง ฝูงชนต่างหยุดการ
ต่อสู้โดยสัญชาตญาณและรีบถอยห่างจากเขา ไม่ว่าจะเป็นพวกนอกรีตอัครสาวก หรือผู้นับถือลัทธิชั่วร้าย ถึงกระนั้นแรงกดดันอันหนักหน่วงที่
กระทบต่อสภาพแวดล้อมก็ยังทําให้ทุกคนหายใจลําบาก…
…จนกระทั่งเกิดแสงสีแดงเข้มขึ้นสาดส่องขึ้นมา
ราวกับดวงอาทิตย์ยามเย็นเคลื่อนลงมาใต้ขอบฟ้า แสงสีแดงเข้ม
ได้เข้ามาแทนที่ส่งม่านหมอกแห่งอํานาจ ซึ่งทําให้จิตใจว้าวุ่นให้กระจาย
หายไป ราวกับมืออันทรงพลังได้ยื่นเข้ามาบรรเทาความกลัวของพวก
เขา
เงาขนาดมหึมายืนอยู่กลางแสงสีแดงเข้มพร้อมกับโรเอล แอส
คาร์ด
ดวงตาสีทองของเขาเปล่งประกายกว่าที่เคยในขณะที่เขาสบตากับ
ชายผมทองที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของสนามรบ แม้จะแสดงออกอย่าง
สงบ แต่จิตสังหารอย่างท่วมท้นก็ปรากฏในแววตาของพวกเขาอย่าง
เงียบๆ ทําให้เจตนาของพวกเขาไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด
แสงสีแดงเข้มยังคงแผ่ออกไปด้านนอก บรรเทาแรงกดดันจากม่าน
หมอกสีเทา ฝูงชนถอนหายใจด้วยความโล่งอกและหยุดล่าถอย เหล่าผู้
นับถือลัทธิชั่วร้ายชูอาวุธของพวกเขาและปล่อยเสียงสงครามเพื่อเพิ่ม
ขวัญกําลังใจ ในขณะที่อัครสาวกควบคุมพลังเวทอย่างรวดเร็วและ
เตรียมที่จะเปิดตัวคลื่นการโจมตีระลอกใหม่เมื่อมาถึงจุดนี้ ท้องฟ้ายามค�าคืนก็ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนอย่าง
ชัดเจน หนึ่งส่วนสีเทาและอีกหนึ่งส่วนสีแดงเข้ม
ขณะที่แฮงค์กําลังมองดูพลังอํานาจทั้งสองปะทะกัน ใบหน้าของ
เขาก็ค่อยๆ ซีดเซียว พลังเหล่านั้นอยู่เหนือสิ่งที่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ
ระดับแก่นแท้ 2 อย่างเขาจะเข้าไปเกี่ยวข้องได้ ไม่ต้องสงสัยเลยพลังที่
ไบรอัน เอลริกแสดงออกมาเองก็น่าจะมาจากเทพเจ้าเช่นกัน
เช่นเดียวกับที่โรเอลพูดไว้ ต้องใช้เทพเจ้าในการเอาชนะเทพเจ้า
มันเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีใครสามารถแทรกแซงได้
เมื่อมาถึงการตระหนักรู้นี้ พวกนอกรีตและอัครสาวกก็ไม่มี
ทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องรักษาระยะห่างจากโรเอลและไบรอัน แฮ
งค์มองดูโรเอลอย่างลังเลก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่กลุ่มผู้นับถือลัทธิชั่วร้าย
เขาตั้งใจที่จะกําจัดลัทธิชั่วร้ายทั้งหมดอย่างรวดเร็วก่อนจะกลับมาช่วย
โรเอล
ช่องว่างที่น่าอึดอัดใจได้ถูกสร้างขึ้นท่ามกลางสนามรบอันตึง
เครียด มันเป็นสังเวียนที่สงวนไว้สําหรับโรเอลและไบรอันเท่านั้น
จากนั้นในไม่ช้าทั้งสองก็เคลื่อนไหว
ม่านหมอกสีเทาเติบโตในอัตราที่น่ากลัว ในไม่ช้าก็เต็มท้องฟ้า มัน
ส่งพลังเวทแห่งความตายออกมาอย่างมหาศาลจนแม้แต่พวกลัทธิชั่วร้ายก็ยังหวาดกลัว ลัทธิชั่วร้ายที่ได้รับบาดเจ็บซึ่งนอนอยู่ไม่ไกลจากไบร
อันบนพื้นดินม้วนตัวออกไปด้วยความตกใจ แต่หมอกสีเทาก็ได้เข้ามา
ห่อหุ้มเขาไว้ก่อนที่เขาจะสามารถหนีพ้นไปได้
เกิดภาพอันน่าพรั่นพรึงขึ้น
ท่ามกลางเสียงร้องแห่งความทุกข์ทรมาน ร่างกายของผู้นับถือ
ลัทธิชั่วร้ายเริ่มละลาย ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีร่างกายของพวกเขาก็ได้
สลายไปในควัน
นี่เป็นภาพที่สร้างความสยดสยองให้แก่เหล่าทหารผ่านศึกอย่าง
อัครสาวก ทว่าโรเอลนั้นไม่คิดจะถอยกลับเพียงเพราะเหตุนี้
เงาของมนุษย์เริ่มปรากฏขึ้นเบื้องหลังโรเอล ท่ามกลางแสงวาบ
ของสายฟ้าสีแดงเข้ม กระดูกสีขาวก่อตัวขึ้นท่ามกลางชั้นหมอก ตั้งแต่
ซี่โครงและคอไปจนถึงศีรษะ ช่วงเวลาที่กรันด้าลงมายังโลกอย่างเต็มที่
เขาก็ได้ปล่อยบรรยากาศอันน่าเกรงขาม ซึ่งทําให้ศัตรูทั้งหมดสั่น
สะท้านไปด้วยความกลัว
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กและไม่มีค่า เมื่อจ้อง
มองไปที่โครงกระดูกยักษ์ขนาดมหึมา แม้แต่การจ้องมองไปชั่วขณะก็
ยังทําให้เกิดความเจ็บปวดในดวงตา ไม่จําเป็นต้องจะมีคําพูดใด พวก
เขาล้วนรู้ตัวดีว่าตนเองกําลังยืนอยู่ต่อหน้าตัวตนที่สูงส่งกว่าหลังจากการระเบิดพลัง พลังเวทสีเทาและพลังเวทสีแดงเข้มก็ได้
ปะทะกันท่ามกลางเสียงดัง ราวกับว่าภูตผีนับไม่ถ้วนกําลังพยายาม
แหกกําแพงแห่งเปลวเพลิง ในเวลาเดียวกันโรเอลและไบรอันก็เริ่มก้าว
เข้าหากัน
เมื่อถึงจุดนี้ พวกเขาก็ได้ตระหนักว่าวิธีเดียวสําหรับพวกเขาที่จะ
ยุติสงครามอย่างมีประสิทธิภาพก็คือการเอาชนะอีกฝ่าย
เมื่อมองไปที่โรเอล ไบรอันก็นึกถึงคําแนะนําที่ตนได้รับและหรี่ตา
ลง
ส่วนทางด้านโรเอล เขาก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าการต่อสู้นี้จะไม่เป็น
ผลดีต่อตัวเอง
ไม่ว่าจะในด้านความสามารถหรือสภาพร่างกาย เขาอยู่ในสภาพที่
อ่อนแอที่สุดเท่าที่เคยมีมานับตั้งแต่เขามาถึงระดับแก่นแท้ 4 หากศัตรู
ของเขาคือ เฟลเดอร์ เอลริก คนเดียวกันจากเหตุการณ์การเดินขบวน
แห่งความวุ่นวายในอดีต เขาอาจจะมีโอกาสชนะ แต่ในกรณีนี้ก็คงไม่
แน่เสมอไป
นับตั้งแต่วินาทีที่โรเอลเห็นไบรอัน เขาก็สังเกตเห็นตัวตนอันชั่ว
ร้ายที่บังอีกฝ่ายอยู่ คนอื่นอาจเห็นว่ามันเป็นการแสดงตัวของม่าน
หมอกสีเทา แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มเห็นคือวิญญาณที่กระจัดกระจายกันจํานวนนับไม่ถ้วน ผสมผสานกับแขนขาอันบิดเบี้ยว อวัยวะภายใน และ
ส่วนต่างๆ ของร่างกาย
มันเป็นภาพที่ชวนสั่นไหวได้ แม้กระทั่งผู้ที่มีจิตวิญญาณกล้าหาญ
ที่สุด
โรเอลคงจะโกหกถ้าเขาบอกว่าตัวเองไม่ได้ตื่นกลัวเลยแม้แต่น้อย
แต่เขานั้นสามารถสงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว เพราะเขารู้ว่าไบรอัน
กําลังปกปิดความลับบางอย่างอยู