ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 476: ร่ายคาถา (2)
สองศตวรรษเป็นเวลานาน แม้กระทั่งในมุมของผู้มีพลังเหนือ
ธรรมชาติระดับสูง มันเป็นไปได้ในทางทฤษฎีที่จะบรรลุอายุขัยนั้น แต่
การพูดนั้นง่ายกว่าลงมือทํา
หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตอาจนําไปสู่การเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
และเฟลเดอร์ เอลริกก็ได้เสียชีวิตลงไปแล้วหลังจากเหตุการณ์การ
เดินขบวนแห่งความวุ่นวาย ไม่มีทางที่ตระกูลเซไซต์และตระกูลแอส
คาร์ดจะพลาดไปได้แน่
คําอธิบายเดียวที่เป็นไปได้ก็คือไบรอันได้ฟื้ นคืนชีพขึ้นมา แต่นั่น
เป็นความสามารถที่เหนือกว่าแม้กระทั่งวิชาของลัทธิชั่วร้าย คนเดียวที่
น่าจะมีพลังในการทําแบบนั้นก็คือเทพเจ้า
โรเอลพยายามกดข่มอาการคลื่นไส้เอาไว้ พร้อมจับตาดูซากศพที่
ลอยอยู่ตรงหน้าเขาอย่างแน่วแน่ ชั่วขณะหนึ่ง เขาพลันมองเห็นใบหน้า
อันคุ้นเคย
บรอน เอลริก
นั่นคือชื่อของเด็กหนุ่มผู้สูญเสียชีวิตไปจากการเปลี่ยนแปลงในวิถี
แห่งโชคชะตาเมื่อหลายปีก่อน เขาเคยเป็นหนึ่งในตัวแทนทายาทขุนนางรุ่นเยาว์ของจักรวรรดิเซนต์เมซิท เป็นถึงผู้นํากลุ่มเยาวชนตระกูลเอ
ลริก อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในลูกๆ หลายคนของไบรอัน
โรเอลเห็นการตายของบรอนด้วยตาของเขาเอง ไบรอันได้ปลิดชี
พบรอน เพื่อเอาใจกลุ่มคนที่กําลังแค้นเคือง
การปรากฏตัวของวิญญาณบรอนในม่านหมอกสีเทาอันน่า
ขยะแขยงนี้หมายถึงอะไรกัน?
โรเอลคิดว่าวิญญาณที่กระจัดกระจายเหล่านี้มาจากผู้ที่เสียชีวิต
ด้วยมือของไบรอัน พวกเขาอาจเป็นสาเหตุที่ทําให้ไบรอันสามารถฟื้ น
คืนชีพและมีชีวิตอยู่ได้หลายสิบปีหลังจากนั้น
การต่อสู้ระหว่างผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเป็นมากกว่าการปะทะกัน
ของอํานาจ มันเป็นการต่อสู้ของปัญญา ถ้าเขาสามารถสรุป
ความสามารถของคู่ต่อสู้ได้ เขาก็อาจจะสามารถคิดหาวิธีการป้องกันได้
ก่อนด้วยเช่นกัน
ทันทีที่โรเอลตระหนักว่าความสามารถที่แท้จริงของไบรอันคือ
อะไร เขาก็รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์อันรุนแรง บางทีอีกฝ่ายเองก็น่าจะรู้สึก
ถึงบางอย่าง ไบรอันจึงเคลื่อนไหวทันทีหลังจากนั้นเขาชักดาบออกมาและเพ่งความสนใจไปที่ส่วนปลายของมัน เปิด
ใช้งานพลังสายเลือดของเขาและดูดซับพลังเวทจากร่างกาย เนื้อและ
เลือดของเขาทําให้มันมีพลังการปะทุที่ไม่ธรรมดา
ตระกูลเอลริกเป็นตระกูลนักรบที่ทรงพลัง และเป็นที่รู้จักกันใน
ด้านพลังทางสายเลือดที่สามารถเสริมความแข็งแกร่งทางร่างกายได้ โร
เอลเคยสัมผัสสิ่งนี้ด้วยตัวเองในช่วงการเดินขบวนแห่งความวุ่นวายเมื่อ
สองศตวรรษก่อน แต่มันคงไร้เดียงสาเกินไปที่จะคิดว่าไบรอันยังคงอยู่
ในระดับเดิมเหมือนในอดีต
ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
ไบรอันพุ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับการ
โจมตีนี้คือความรวดเร็วของเขาและการที่เขาไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
เมื่อเร่งความเร็ว ทําให้แทบจะไม่สามารถป้องกันได้ ดาบของเขาพุ่งตรง
ไปที่หัวใจของโรเอล พยายามยุติการต่อสู้ลงด้วยการโจมตีเพียงครั้ง
เดียว
โรเอลใช้พลังเวทของตนอย่างรวดเร็ว สายฟ้าสีแดงเข้มโปรยลงมา
รอบตัวเขา พลังทําลายล้างของสายฟ้าสีแดงเข้มทําให้ไบรอันต้องหลบ
ไปรอบๆ เพื่อหลีกเลี่ยงพวกมัน ในที่สุดมันก็ทําให้ชายหนุ่มล่าช้า และ
ต้องใช้เวลาชั่วครู่พุ่งผ่านควันฝุ่นที่เกิดจากสายฟ้าสีแดงเข้ม เพื่อไปหา
โรเอลแต่สิ่งที่ไบรอันต้องเผชิญกลับไม่ใช่เด็กหนุ่มผมดํา แต่เป็นกําปั้ น
ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยแรงมหาศาลราวกับจะถล่มแผ่นดิน
ตูม!
หมัดโครงกระดูกของกรันด้ากระแทกลงไปด้วยความเร็วที่เร็วกว่า
เสียง บดขยี้ชายที่อยู่ด้านล่างแทบจะในทันที แรงกระแทกจากการ
โจมตีทําให้เกิดคลื่นกระแทกอันทรงพลังที่ระเบิดพื้นผิวของผืนดิน
เศษดินและหินปกคลุมพื้นที่โดยรอบทําให้มองไม่เห็น รอยแตกนับ
ไม่ถ้วนคืบคลานออกไปทุกทิศทุกทาง พวกนอกรีต อัครสาวก และผู้นับ
ถือลัทธิชั่วร้ายส่วนใหญ่ต่างถูกผลักไปด้วยคลื่นกระแทก บังคับให้พวก
เขาต้องหยุดการต่อสู้ชั่วคราว พวกเขาหันไปมองยังศูนย์กลางของ
สนามรบโดยไม่รู้ตัว สงสัยว่ามันจบลงแล้วหรือยัง
ท่ามกลางความตกใจของผู้คน ไบรอันไม่ได้ถูกทําให้เหลือเพียง
เศษซากโดยตัวตนอันสูงส่ง แต่เขาก็ไม่ได้เดินออกมาโดยไม่ได้รับ
อันตรายเช่นกัน เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตี และดาบของเขา
ก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทว่าเขาก็ยังคงยืนอยู่
ไบรอันยกมือขึ้น จากนั้นม่านหมอกสีเทาก็เข้ามารวมตัวกันอย่าง
รวดเร็วเพื่อสร้างดาบสีเทาที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย รอยหยักสีเทาที่ประกอบกันเป็นใบมีดอันบิดเบี้ยวดิ้นไปมา ราวกับว่ามันมีชีวิต มันพุ่ง
เข้าหาเจ้าของพร้อมเสียงคร�าครวญอันน่าสมเพชดังก้องอยู่ในอากาศ
ครู่ต่อมา อาการบาดเจ็บของไบรอันก็เริ่มฟื้ นตัว และในไม่ช้าการ
หายใจของเขาก็กลับมาเป็นปกติ
ดวงตาของโรเอลหรี่ลงเมื่อเห็นภาพนั้น เขาสบถอย่างหยาบคาย
ผิดหวังกับลางสังหรณ์ของเขาที่เป็นจริง
ไบรอันเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติประเภทปรับตัวตามสนามรบ
ซึ่งเป็นประเภทที่แย่ที่สุดสําหรับโรเอลในตอนนี้ พลังเวทของราชาทูต
สวรรค์กําลังอาละวาดในร่างกายของโรเอล ทําให้เขาอ่อนแอลงในทุกๆ
วินาที อีกทั้งเขายังเสียเปรียบในแง่ของระดับแก่นแท้เสียด้วย
การต่อสู้ครั้งนี้จะต้องถูกยื้อออกไปแน่ และมันก็แทบจะเป็นไป
ไม่ได้เลยที่โรเอลจะยืนหยัดได้นานกว่าไบรอัน
โรเอลมองดูม่านหมอกสีเทาที่หมุนวนแล้วถอนหายใจอย่าง
หงุดหงิด เขารู้ดีว่าโอกาสที่ตนจะได้รับชัยชนะนั้นแทบจะเป็นศูนย์ แต่
ถึงกระนั้น เขาก็ไม่มีแผนการที่จะถอย เพราะมีใครบางคนที่เขาต้อง
ปกป้องให้ได้ไม่ว่ายังไงก็ตาม
ทั้งหมดที่เขาทําได้ในตอนนี้ก็คือพยายามอย่างเต็มที่ให้ถึงที่สุดโรเอลมุ่งมั่นที่จะปกป้องคนที่เขารักให้ได้ เขาจึงเริ่มส่งพลังเวทไป
ยังศิลาแห่งมงกุฎ เพื่อให้มันสว่างขึ้น พลังเวทน�าแข็งเริ่มหลั่งไหล
ออกมาจากร่างกายของเขา จากนั้นภัยพิบัติโบราณก็ปรากฏขึ้นพร้อม
กับเสียงคํารามอันโกรธเกรี้ยว
พลังเวทน�าแข็งหนาแน่นเริ่มพุ่งออกมาในอัตราที่น่าตกใจ ก่อตัว
เป็นโดมรอบๆ ไบรอันเพื่อขังเขาไว้ ดวงจันทร์และดวงดาวหายไปจาก
สายตา ท้องฟ้ายามค�าคืนถูกบังด้วยโดมน�าแข็ง อุณหภูมิโดยรอบลดลง
อย่างรวดเร็ว ทําให้เกิดน�าค้างแข็งขาวบนอาวุธและชุดเกราะของไบร
อัน แม้แต่เลือดสดๆ ที่ไหลบนพื้นก็ยังแข็งตัวในทันที
เสียงกรีดร้องอันตื่นตระหนกสะท้อนไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
ตอบสนองต่อภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ม่านหมอกสีเทารีบถอย
หนีด้วยความกลัว และใบหน้าของไบรอันก็เริ่มซีดเซียว
โรเอลจะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปแน่ หกภัยพิบัติและโครง
กระดูกยักษ์ซึ่งเป็นเทพเจ้าโบราณได้ปล่อยคลื่นลูกใหม่ในการโจมตี
ออกไปทันที เพื่อกีดกันไบรอันไม่ให้มีโอกาสฟื้ นตัว
กรันด้าดึงแขนกลับเพื่อรวบรวมพละกําลัง พลังเวทสีแดงเข้ม
รวมตัวกันอย่างรวดเร็วในกําปั้ นของตน เสียงแตกดังสนั่นด้วยพลัง
ทําลายล้าง เฉกเช่นเทพปีศาจที่กําลังจะทําลายล้างโลก เขาชกหมัดลง
ด้วยกําลังที่หนักเท่าภูเขานี่คือการโจมตีสุดแรงของกรันด้า
มันดูอ่อนน้อมถ่อมตนเมื่อเทียบกับหมัดปกติของเขา ไม่มีแม้แต่
คลื่นระเบิดความเร็วเสียง แต่หมัดนั้นเปี่ ยมด้วยความสว่างเทียบได้กับ
ดาวตก คุณสมบัติต้นกําเนิดแห่งความแข็งแกร่งคํารามตามจังหวะของ
มงกุฎ ทําให้ยักษ์โครงกระดูกมีพลังเหนือกว่า สิ่งที่เขาควรจะทําได้ใน
ระดับแก่นแท้ปัจจุบันของโรเอล
การจู่โจมแบบผสมผสานของกรันด้าและพลังเวทน�าแข็งทําให้ไบร
อันตื่นตระหนก เขาส่งเสียงโวยวายออกมา ควบแน่นม่านหมอกสีเทา
ทั้งหมดที่เขาควบคุมได้ลงในฝ่ามืออันชั่วร้ายอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุก
ขึ้นมาต่อต้านการโจมตีของยักษ์ แต่ความพยายามในการต่อต้านนี้
ไม่ได้ทําให้กรันด้าผิดหวังแม้แต่น้อย
ตูม!
วิญญาณจํานวนนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาจากม่านหมอกสีเทา แต่
ทั้งหมดนั้นก็ไร้ประโยชน์เมื่อต้องเผชิญแรงกดทับจากหมัดของโครง
กระดูกยักษ์ ม่านหมอกสีเทากระจายไปราวกับลูกโป่งแตกท่ามกลาง
เสียงคร�าครวญด้วยความทุกข์ทรมาน กําปั้ นของกรันด้าทะลุผ่านไปได้
จนในที่สุดมันก็ชนกับดาบม่านหมอกสีเทา ซึ่งแตกออกอย่างรวดเร็ว
โดยปราศจากการต่อต้าน และไบรอันก็กระเด็นไปในเงามืดอันห่างไกล“ฉันยังไม่จบหรอกนะ!”
โรเอลคําราม
ดวงตาสีทองแวววาวของเด็กหนุ่มจับจ้องไปที่ไบรอันอย่างแน่วแน่
เขายกมือขึ้นเปลี่ยนพลังเวทน�าแข็งที่อยู่รอบๆ ให้กลายเป็นคลื่น
ในทันที และพุ่งเข้าใส่ไบรอัน
ตูม!
ไบรอันที่ปกคลุมไปด้วยความเย็นจัดกระแทกกับพื้นอย่างหนัก ทํา
ให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายที่แช่แข็งตัวแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โรเอลพุ่ง
ไปหาไบรอันผู้ล่วงลับโดยไม่ลังเลใดๆ ตั้งใจจะยุติเรื่องทั้งหมด
เหล่าผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายต่างตกอยู่ในความโกลาหล ในขณะที่พวก
นอกรีตและอัครสาวกยกอาวุธและโห่ร้องเสียงดัง ทุกอย่างกําลังจะจบ
ลงในไม่ช้า…
…หรือจะเป็นอย่างนั้นถ้าไม่ใช่เพราะชายผมทองที่กําลังจะตายได้
ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เผยให้เห็นแววตาการจ้องมองอันสงบเงียบ
“เจ้าทําได้ดีมาก”
คําชมเชยอย่างกะทันหันนี้ทําให้โรเอลหยุดเดินไปหาศัตรูบทที่ 477: มือในเงามืด
ภายในโดมน�าแข็งขนาดใหญ่ โรเอลพุ่งเข้าหาศัตรูที่กําลังบาดเจ็บ
สาหัสอยู่บนพื้น เมื่อเห็นว่าชัยชนะอยู่ในเอื้อมมือพวกลัทธินอกรีตก็เริ่ม
ส่งเสียงเชียร์ ขณะที่บรรดาอัครสาวกเองก็รู้สึกมีขวัญกําลังใจเพิ่มขึ้นมา
อย่างมาก
ไม่มีใครคาดคิดว่าโรเอลจะสามารถเอาชนะเคาต์ไบรอันซึ่งเป็นผู้มี
พลังเหนือธรรมชาติที่มีชื่อเสียงของจักรวรรดิเซนต์เมซิทได้ภายใน
ระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้
ตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็ร่ายคาถาเวทที่เหนือ
จินตนาการของเหล่าผู้คนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความ
แข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัวของกรันด้าที่ได้ประทับลงไปในจิตใจของ
ทุกๆ คนในสนามรบ
ทว่าโรเอลนั้นไม่ได้มองโลกในแง่ดีเลย แม้กระทั่งในขณะที่เขา
กําลังวิ่งไปหาไบรอัน ก็ยังมีรอยร่องความกังวลที่หน้าผากหลงเหลืออยู่
เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ไบรอัน เอลริก ไม่สิ เฟลเดอร์ เอลริก เป็นศัตรูที่อ่อนแอขนาดนี้
จริงๆ งั้นเหรอ?ตระกูลเอลริกสืบเชื้อสายมาจากตระกูลอัศวิน ซึ่งเป็นศัตรูประเภท
ที่กรันด้ารับมือได้ดี แต่โรเอลไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือทั้งหมดที่ไบร
อัน เอลริก สามารถทําได้ เขาเคยสู้กับเฟลเดอร์ เอลริกในอดีตมาก่อน
ตอนที่อยู่ในสถานะผู้เฝ้ามอง เขาจึงรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นคนดื้อด้านแค่ไหน
โรเอลรู้สึกว่ามันดูง่ายเกินไปที่การโจมตีของเขาสามารถจัดการอีก
ฝ่ายได้อย่างง่ายดายแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาอยู่ในระดับแก่น
แท้ 4 ส่วนไบรอันนั้นเป็นถึงระดับแก่นแท้ 2
ก็จริงอยู่ที่ว่าแม้แต่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 2 ก็ยังไม่
สามารถรับมือการโจมตีซึ่งๆ หน้าของกรันด้าได้ง่ายๆ และมันก็แทบจะ
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถป้องกันพลังของผู้สร้างธารน�าแข็ง แต่ผู้มี
พลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 2 ก็น่าจะพอหาทางเอาตัวรอดได้
บ้าง ยิ่งเป็นคนระดับไบรอันแล้วด้วย
ต่างจากคนอื่นๆ ที่รู้จักไบรอันเพียงแค่ในฐานะผู้มีพลังเหนือ
ธรรมชาติที่แข็งแกร่งของจักรวรรดิเซนต์เมซิท โรเอลนั้นรู้ว่าอีกฝ่ายได้
ซึมซับศาสตร์มืดมามากมายเป็นเวลากว่าหนึ่งศตวรรษ จนถึงขั้นที่เขา
ประสบความสําเร็จในการยืมพลังจากเทพเจ้าของลัทธิชั่วร้าย
นอกจากนี้ที่สําคัญที่สุด โรเอลมีความรู้สึกแปลกๆ เกี่ยวกับการที่
ไบรอันพยายามสะสมพลังเวทของเขาตลอดการต่อสู้ด้วยความสงสัยทั้งหมดนี้ โรเอลจึงไม่กล้าที่จะประมาทศัตรู
ตรงหน้า
เขาหยุดฝีเท้าและยกมือขึ้นใช้สัมผัสแห่งธารน�าแข็งจนถึงขีดจํากัด
ปล่อยพลังเวทน�าแข็งออกมาในระดับสูงสุดให้กลืนกินไบรอันไปทั้งตัว
โรเอลตัดสินใจที่จะจบศึกนี้ด้วยการโจมตีระยะไกล เพื่อความ
ปลอดภัย หกภัยพิบัติเป็นตัวตนอันชั่วร้ายที่ทําลายอารยธรรมมาแล้ว
นับไม่ถ้วน แม้แต่เทพเจ้าก็ยังไม่อาจรอดพ้นจากพวกมัน และไบรอัน
เองก็คงทําอะไรไม่ได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังของผู้สร้างธารน�าแข็ง
ทว่าเขาคิดผิด
“เจ้าทําได้ดีมาก”
เสียงที่สามดังก้องขึ้นมาท่ามกลางหุบเขา
ม่านหมอกสีเทามาบรรจบกันข้างๆ ไบรอัน ก่อตัวขึ้นเป็นร่างร่าง
หนึ่งในชุดเสื้อคลุม
ในมือของไบรอันนั้นมีหินสีแดงเข้มเรืองแสงอยู่ซึ่งดูดซับพลังเวท
ระหว่างการต่อสู้กับโรเอล จนในที่สุดก็มีพลังเวทมากพอที่จะเปิดใช้งาน
มัน หินสีแดงเข้มนี้เป็นสื่อกลางที่ร่างในชุดเสื้อคลุมใช้เดินทางข้ามมิติ
มานั่นเองนักสะสม…
ในสมาคมนักปราชญ์ นามแฝงนั้นสงวนไว้ให้เฉพาะผู้นําของพวก
เขา ไม่มีใครรู้ถึงตัวตนที่แท้จริง หรือ เคยเห็นใบหน้าของเขามาก่อน แม้
แต่ไบรอันก็เคยได้พบเขาแค่เพียงในห้องมืดห้องนั้นมาตลอดศตวรรษที่
ผ่านมา
ผู้รอบรู้ทุกสรรพสิ่ง น่าจะเป็นคําที่เหมาะสมในการอธิบายตัวตน
ของเขาคนนั้น นักสะสมเลือกที่จะปกปิดตัวตนแฝงอยู่ภายในเงามืดของ
จักรวรรดิเซนต์เมซิท ราวกับว่ากําลังซ่อนตัวจากบางสิ่ง
ทว่าในวันนี้เขาได้ก้าวออกมาจากเงามืดนั้น เผยตัวออกมาต่อ
สายตาผู้คน
เป้าหมายของเขาคืออะไรงั้นเหรอ?
เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ปลุกพลังสายเลือดของตระกูลแอสคาร์ดตายลง
ที่นี่
“!”
ร่างในชุดคลุมที่ก่อตัวขึ้นจากม่านหมอกหันไปทางโรเอล เผยให้
เห็นใบหน้าอันเลือนรางของเจ้าตัวทันใดนั้น โรเอลก็รู้สึกได้ถึงอันตรายที่กําลังจะเกิดขึ้น หัวใจรู้สึก
เหมือนถูกฟาดด้วยค้อนขนาดใหญ่ ทั้งพลังทางสายเลือดและพลังเวท
ของเขาต่างร้อนรุ่มขึ้นมา คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกําเนิดมงกุฎสั่นสะเทือน
อย่างรุนแรงในตอนนี้การตอบสนองตามสัญชาตญาณได้เข้ามาแทนที่
การคิดเชิงเหตุผลทั้งปวงของโรเอล มันกระตุ้นให้เขาปลดปล่อยการ
โจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาทันที
ศิลาแห่งมงกุฎเปล่งแสงสว่างจ้าเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวตน
ของภัยพิบัติโบราณแห่งหิมะนิรันดร์ ผู้สร้างธารน�าแข็งได้ปรากฏตัวขึ้น
ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นดวงแสงส่องประกายไปทั่วท้องฟ้ายามค�าคืน
ปลดปล่อยพลังเวทน�าแข็งที่มอบความตายอันเท่าเทียมให้กับสิ่งมีชีวิต
ทั้งมวล
พลังเวทน�าแข็งที่หลั่งไหลออกมากลายเป็นหมอกน�าแข็งบดบัง
ดวงดาวและดวงจันทร์ปกคลุมทั่วแผ่นดิน
การปรากฏตัวชั่วขณะของผู้สร้างธารน�าแข็งทําให้ผู้คนต่างร้อง
ออกมาด้วยความหวาดกลัวและถอยหนีไปตามสัญชาตญาณ
ราวกับว่าไม่มีอะไรจะสามารถหยุดพลังเวทน�าแข็งนี้ได้ รวมถึงการ
ต่อสู้ก็ควรจะจบลงตรงนี้ ทว่าโรเอลกลับต้องประหลาดใจ เมื่อร่างในชุด
คลุมไม่มีความคิดที่จะหลีกเลี่ยงพลังเวทน�าแข็ง แต่กลับเริ่มเดินเข้าไป
หามันแทนปฏิกิริยาที่เข้าใจได้ยากนี้เริ่มทําให้โรเอลงุนงง และสิ่งที่คาดไม่ถึงก็
เกิดขึ้นหลังจากนั้น
สัมผัสแห่งธารน�าแข็งของโรเอลไม่เคยทําให้เขาผิดหวังมาก่อน ไม่
ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติหรือเทพเจ้าก็ตาม ทว่าการ
โจมตีอย่างสิ้นหวังของเขากลับไม่สามารถหยุดศัตรูผู้นี้ได้ พลังเวท
น�าแข็งได้ทะลุผ่านร่างในชุดคลุมนั้นไปเสียดื้อๆ
ขณะเดียวกัน ภายในห้องมืดที่อยู่ห่างไกลออกไป ร่างในชุดคลุมได้
ยกมือขึ้นเหยียดไปทางภาพของเด็กหนุ่มผมดํา การเคลื่อนไหวของเขา
กระตุ้นให้ม่านหมอกสีเทากระเพื่อมไหวมาบรรจบกันกลายเป็นกลุ่ม
ก้อน เมื่อเขาโบกมืออีกครั้ง กลุ่มก้อนสีเทานั่นก็กลายเป็นลําแสงมรณะ
ที่พุ่งยิงออกไปหาตัวโรเอล
เด็กหนุ่มรีบจัดการตอบโต้ในทันที
กรันด้ายกกําปั้ นขึ้นเพื่อทุบลําแสงมรณะจากม่านหมอกสีเทา และ
พลังเวทน�าแข็งเองก็รวมตัวกันสร้างเป็นเกราะป้องกัน
ทว่าก่อนที่พลังเวททั้งสองจะได้สัมผัสกัน แรงสั่นสะเทือนอัน
รุนแรงของคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกําเนิดของมงกุฎก็หยุดลง ซึ่งการ
เปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลันนี้ก็ทําให้โรเอลต้องตกตะลึง เด็กหนุ่มเริ่ม
สัมผัสได้ถึงความรู้สึกลึกลับบางอย่างเข้ามาปกคลุมตัวเขาชั่วขณะหนึ่ง จิตสํานึกของโรเอลเหมือนจะแล่นข้ามผ่านกาลเวลา
เด็กหนุ่มเห็นความรุ่งเรืองและการล่มสลายของอารยธรรม รวม
เรื่องราวความรุ่งโรจน์และการกระทําอันกล้าหาญของผู้คนในอดีต
แต่แล้วทุกอย่างก็ค่อยๆ เรือนลางจนในที่สุดเด็กหนุ่มก็พบว่า
ตัวเองกําลังยืนอยู่ในห้องมืดที่มีเทียนเพียงเล่มเดียว
ฉันจําที่นี่ได้!
ในความทรงจําที่ลึกที่สุดของโรเอล เด็กหนุ่มจําได้ว่าพื้นที่นี้เป็น
หนึ่งในภาพหลอนที่เขาเคยเห็นในตอนที่เขาเข้าสู่สถานะผู้เฝ้ามองครั้ง
แรก และปลุกพลังทางสายเลือดของเขา
ทว่าตอนนี้กลับต่างจากตอนนั้นตรงที่น่าสยดสยองกว่าเดิมมาก
แสงเทียนสว่างไสวในความมืด จากนั้นก็มีมือจากความมืดยื่นเข้า
มาใกล้ๆ
มันเพิ่งปรากฏขึ้นที่นั่นหรือไม่? หรืออยู่ที่นั่นมาตลอด?
การปรากฏขึ้นของมือในความมืดนั้นทําให้โรเอลรู้สึกไม่สบายใจ
ต้องหยุดมันความคิดนี้ผุดขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ แต่ร่างกายของเขากลับไม่
สามารถขยับตัวได้ มันบอกเขาว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรนอกจากพยานใน
พื้นที่มืดนี้
มือที่รุกล�าเข้ามาโอบรอบแสงเทียน ทําให้สภาพแวดล้อมโดยรอบ
มืดลง ทันใดนั้นโรเอลก็รู้สึกหนาวไปถึงแก่นกระดูก ราวกับว่าทันทีที่
แสงเทียนสลัวลงความอบอุ่นทั้งหมดก็หายไปจากตัวเขา
ความโล่งใจเพียงอย่างเดียวคือมือนั้นไม่สามารถดับแสงเทียนให้
หมดไปได้ในทันที แต่ถึงกระนั้นทั้งห้องก็มืดลงเรื่อยๆ
ในที่สุดทุกอย่างก็ดับลง และจิตสํานึกของโรเอลก็กลับคืนสู่ร่างกาย
ของตัวเอง
สิ่งแรกที่โรเอลสังเกตเห็นคือพลังสายเลือดแห่งผู้แสวงหาราชา
หยุดนิ่ง ไม่ยอมตอบสนองต่อเขาไม่ว่าเขาจะพยายามเท่าไหร่ จากนั้น
แสงในคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกําเนิดมงกุฎก็ดับลง และศิลาแห่งมงกุฎเอง
ก็เงียบลงไปตามๆ กัน
นี่มันเป็นไปได้ยังไงกันเนี่ย!
โรเอลเบิกตากว้างด้วยความกลัว เขาไม่เข้าใจว่าสถานการณ์เช่นนี้
เกิดขึ้นได้อย่างไร เด็กหนุ่มพยายามอย่างยิ่งที่จะควานหาพลังที่
เหลืออยู่ของตน แต่ทุกอย่างก็ไหลผ่านนิ้วมือไปทันทีที่คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกําเนิดมงกุฎดับลง ร่างกายของกรันด้า
ก็หยุดนิ่งอยู่กับที่นัยน์ตาของเขาหรี่แสงลง แสดงให้เห็นว่าเหลือเพียง
แค่เปลือกอันว่างเปล่า ในขณะเดียวกันพลังเวทน�าแข็งเองก็กระจาย
หายไปจากที่เดิม
เมื่อการป้องกันของโรเอลสลายลง ลําแสงมรณะจากม่านหมอกสี
เทาจึงพุ่งทะลุผ่านร่างกายของเขาอย่างรวดเร็วจนทําให้รู้สึกมึนงง
ทั้งจิตใจและร่างกายของโรเอลพร่าเลือน ราวกับมีใครบางคน
กําลังค่อยๆ ลบล้างการมีอยู่ของเขาออกไป ทุกอย่างก็ค่อยๆ เลือนราง
จนเขาไม่ได้ยินแม้แต่เสียงตะโกนอันตื่นตระหนกที่มาจากข้างหลัง
กลับกันไบรอันนั้นฟื้ นตัวอย่างรวดเร็วโดยการดูดซับม่านหมอกสี
เทาเข้าไป เขาใช้เวลาไม่นานในการฟื้ นตัว ก่อนจะเดินไปที่โครงกระดูก
อันสูงตระหง่านอย่างสงบ พลางจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มผมดําที่ยืนอย่าง
เหนื่อยอ่อนอยู่ข้างใต้มัน
“โรเอล แอสคาร์ด ตัวตนของเจ้าคือสิ่งผิดปกติ ข้าต้องเปลี่ยนแผน
มาไม่รู้ตั้งเท่าไรก็เพราะเจ้า โชคชะตาเปลี่ยนไปตั้งแต่ที่เจ้าปลุกพลัง
สายเลือดตระกูลแอสคาร์ดขึ้นมา แต่ก็ใช่ว่าทั้งหมดจะเป็นไปตามที่เจ้า
ต้องการ”“เจ้าอาจจะคิดว่าเป้าหมายของพวกเราคือการกําจัดองค์หญิงนอ
ร่า ใช่แล้ว เรื่องนั้นเจ้าคิดไม่ผิดหรอก แต่ว่าเจ้าเองก็เป็นเป้าหมายของ
พวกเราด้วยเหมือนกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าออกมาผจญภัยในดินแดนที่
ห่างไกลออก ตลอดในช่วงหลายปีหลังจากที่เจ้าปลุกพลังขึ้นมา มันคือ
โอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนสําหรับพวกเรา ช่างเหมือนกับในคําทํานาย
จริงๆ ”
“นี่คือจุดจบของเจ้า โรเอล แอสคาร์ด ไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยส่ง
องค์หญิงที่เจ้ารักนักรักหนาตามไปทีหลัง ในที่สุดความแค้นระหว่าง
ตระกูลของพวกเราก็มาถึงจุดจบเสียที ลาก่อน”
ไบรอันพึมพําอําลาเด็กหนุ่มผมดําที่กําลังสลายกลายเป็นฝุ่น
ขณะเดียวกันภายในห้องมืดอันไกลโพ้น ร่างในชุดคลุมก็กําลังจ้องมอง
อย่างเงียบๆ ไปที่รูปปั้ นอันน่าสยดสยองของทูตสวรรค์ที่ยืนอยู่เหนือ
ซากศพนับไม่ถ้วน สื่อเวทที่ส่องแสงสีแดงเข้ม เมื่อสักครู่นี้ได้กลายเป็น
หินธรรมดาๆ เหมือนกับเจ้าของพลังเวทของมัน
ทุกอย่างจบลงแล้ว