ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 480: ก้าวข้ามความตาย (2)
ร่างกายของโรเอลยังคงเลือนรางอยู่ในบางส่วน เป็นสัญญาณว่า
เขายังไม่ได้ฟื้ นขึ้นมาอย่างเต็มที่ แม้ว่าเขาจะสามารถชิงการควบคุมใน
พลังของตัวเองกลับมาได้อีกครั้ง และก้าวขึ้นสู่ระดับแก่นแท้ 3 แต่นั่นก็
ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่า เขากําลังอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ
ถ้าไบรอันต้องการกําจัดโรเอล ตอนนี้คือโอกาสที่ดีที่สุดสําหรับเขา
“เจ้าฟื้ นกลับมาได้ยังไงกัน? ร่างกายของเจ้าควรจะหายไปแล้วนี่
นา มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาคนนั้นจะล้มเหลว”
ไบรอันถามพลางจ้องไปที่โรเอลด้วยดวงตาอันเต็มไปด้วยจิต
สังหาร
ม่านหมอกสีเทาเริ่มมารวมตัวกันรอบๆ ตัวเขาอีกครั้ง
กลับกันรอบ โรเอลนั้นมีเพียงบรรยากาศแห่งความสงบ ราวกับว่า
เพิ่งผ่านการเดินทางอันยาวนานมา
“แผนของพวกนายสมบูรณ์แบบ ฉันอยู่ในสภาพที่แย่ที่สุดเท่าที่จะ
เป็นไปได้ เพราะการต่อสู้กับนอร่าก่อนหน้านี้ และชายในเงามืดคนนั้นก็
มีพลังในการแทรกแซงพลังทางสายเลือด และคุณสมบัติแก่นแท้ต้น
กําเนิดของฉันก็ทําให้พลังของฉันถูกผนึกเอาไว้ แต่ก็อย่างที่นายพูดนั่นแหละ โชคชะตาไม่ได้เป็นไปตามที่เราคิดเสมอไป คราวก่อนมันเป็น
กรณีของฉัน ดังนั้นคราวนี้เป็นตานายบ้างแล้ว”
“ก่อนหน้านี้นายพูดถึงเรื่องคําพยากรณ์สินะไบรอัน โชคชะตาอาจ
นําพานายมาถึงการลอบสังหารอันซับซ้อนนี้ แต่เสียใจด้วยนะ ฉันไม่ใช่
คนที่จะยอมก้มหัวให้กับโชคชะตาหรอก ฉันต่อสู้กับมันมาโดยตลอด
ในช่วงเวลาวิกฤตแบบนี้นี่แหละ ที่แก่นแห่งความเชื่อของฉันส่องสว่าง
ที่สุด”
“นายทําให้ฉันสามารถปลุกพลังสายเลือดขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์
แล้ว พวกนายอาจจะสามารถหยุดฉันเอาไว้ได้ชั่วขณะก็จริง แต่มีคนอื่น
อีกนับไม่ถ้วนที่คอยจุดประกายเส้นทางให้กับฉัน และด้วยการสนับสนุน
ของพวกเขา ฉันจะต้องบรรลุเป้าหมายของตัวเองให้ได้”
บรรพบุรุษผู้ให้คําแนะนําแก่โรเอลต่างปรากฏขึ้นมาทีละคน
ร่างกายของพวกเขาเลือนรางและโปร่งแสง ราวกับว่าจิตวิญญาณของ
พวกเขาปรากฏขึ้นและกําลังจะสลายไป
นี่ทําให้พลังเวทของโรเอลแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ตัวตนจากสถานะผู้
เฝ้ามองที่เขาประสบได้หล่อเลี้ยงส่งเสริมการเติบโต และซึมเข้าไปใน
สายเลือดจนกลายมาเป็นความแข็งแกร่งของเขา
สีหน้าของไบรอันในตอนนี้ดูแย่ลงมากสื่อที่เชื่อมโยงเขากับนักสะสมได้ถูกทําลายลงไปแล้ว ซึ่ง
หมายความว่าเขาจะไม่สามารถเรียกอีกฝ่ายออกมาได้ อีกทั้งแผนของ
พวกเขายังถูกทําลายอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามการต่อสู้ก็ยังไม่ได้รู้ผล
แพ้ชนะ
“ในเมื่อเขาคนนั้นล้มเหลว ดูท่าข้าคงจะต้องกําจัดเจ้าด้วยมือ
ตัวเองแทนซะแล้ว”
เสียงของไบรอันเคร่งขรึมขึ้นมาก
การปะทุของพลังเวทกระจายเป็นระลอกไปทั่วหุบเขา ชักนําให้
ม่านหมอกสีเทากลายเป็นลูกคลื่นปกคลุมท้องฟ้า เมื่อไม่มีแผนการที่จะ
ถอยกลับ ไบรอันจึงตัดสินใจเปิดเผยความสามารถที่แท้จริงของเขา
ออกมา
พลังอันยิ่งใหญ่ที่เขาครอบครอง พลังของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ
ระดับ 2 พลังอันน่าสะพรึงกลัว
พลังเวทที่เป็นดั่งลางร้ายที่ไบรอันใช้ทําให้เกิดคลื่นกระแทก
กระจายออกไป บังคับให้ซินเทียยกโล่ว่าวของเธอขึ้นแม้จะยืนอยู่ห่าง
ออกไปไกล วู้ด ร็อดนีย์ และพวกลัทธินอกรีตคนอื่นๆ ล้วนต้องถอยห่าง
ออกไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ส่วนแฮงค์เองก็ปกคลุมตัวเองด้วยชั้นของ
แสงศักดิ์สิทธิ์ พลางมองดูสถานการณ์ด้วยใบหน้าที่ขมวดคิ้วความรู้สึกขนลุกที่เกิดจากม่านหมอกสีเทาอันน่าสะพรึงกลัวก็เป็น
สาเหตุหนึ่ง แต่เหตุผลหลักที่แท้จริงคือที่ทําให้ทุกคนต้องกลัวก็คือ
วิญญาณที่ถูกบดขยี้จนกระจัดกระจายในหมอกนั้นได้ปรากฏขึ้นมาต่อ
หน้าฝูงชนแล้ว
“นั่นมัน หรือว่า…!”
“ว…วิญญาณมนุษย์!”
เสียงตะโกนตกใจดังก้องมาจากบริเวณโดยรอบ แต่ไบรอันก็ไม่ได้
สนใจอะไร
ยูโทเปียคือชื่อของเทพปีศาจที่สิงสู่อยู่ในร่างกายของเขา
เช่นเดียวกับความลับเบื้องหลังความสามารถในการฝืนความตาย ผู้ที่
ถูกไบรอันฆ่าจะถูกหลอมรวมเข้ามาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในความแข็งแกร่ง
ของเขา และแน่นอนว่าตลอดสองร้อยปีที่ผ่านมาเขาก็ไม่ได้ปล่อยมันไป
เปล่าๆ
จิตสํานึกของไบรอันได้หลอมรวมเข้ากับเทพเจ้าแห่งความชั่วร้าย
มันคงเป็นเรื่องโง่ หากจะประเมินพลังของเขา ด้วยแนวคิดของ
ระดับแก่นแท้ทั่วๆ ไปเสียงคร�าครวญของวิญญาณดังก้องไปทั่วสนามรบ ไบรอันรวมร่าง
เขาไว้ในกํามือ และก่อตัวเป็นดาบที่มีพลังไร้ขอบเขต เรียกได้ว่าตอนนี้
เขาอยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งที่สุด
อีกด้านหนึ่ง โรเอลก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นไปแตะเศษกระดูกที่แตกหัก
รอบๆ ตัว ความจริงก็คือร่างกายของเขานั้นอยู่ในสภาพที่ย�าแย่มาก จะ
บอกว่าเขากําลังยืนอยู่ข้างหน้าประตูนรกก็คงไม่ผิด เด็กหนุ่มแทบจะ
ไม่ได้ยินเสียงคร�าครวญของวิญญาณในม่านหมอกสีเทารอบๆ ตัวด้วย
ซ�า ร่างกายของเขายังคงเลือนราง ราวกับว่าพร้อมที่จะสลายลงไปใน
สัมผัสเดียว
แต่ถึงกระนั้นโรเอลในตอนนี้เองก็อยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งที่สุด
เช่นกัน
และสิ่งแรกที่เขาต้องทําก็พาเพื่อนของเขากลับมา
เมื่อโรเอลสัมผัสกับเศษกระดูกสีขาว ทิวทัศน์ตรงหน้าเขาก็
เปลี่ยนไป หุบเขายามค�าคืนกลายเป็นที่ราบพระอาทิตย์ตก ร่างกายอัน
ใหญ่โตของกรันด้าสั่นเล็กน้อย จากนั้นดวงตาของเขาก็ค่อยๆ กลับมา
เรืองแสงราวกับตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลร่างของราชายักษ์โบราณถูกย้อมด้วยพลังเวทสีทองไปแล้ว
ครึ่งหนึ่ง เพราะใกล้ที่จะหลอมรวมเข้ากับพลังเวทของราชาทูตสวรรค์
เต็มที
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะเหลือเวลาไม่มากซะแล้วสิ”
โรเอลพูดพร้อมกับถอนหายใจ แต่ไม่นานนักรอยยิ้มก็กลับมาที่
ใบหน้าของเขา ก่อนจะหันไปถามกรันด้า
“พอไหวไหม?”
“ข้าไม่เป็นไร ”
โครงกระดูกยักษ์ตอบกลับเพียงแค่คําตอบสั้นๆ
“โอเค”
โรเอลพยักหน้าและเลือกที่จะไม่พูดอะไรอีก คําพูดเหล่านั้นมาก
เกินพอที่จะทําให้พวกเขาเข้าใจเจตจํานงของกันและกัน
ครู่ต่อมาสภาพแวดล้อมโดยรอบก็กลับมาเป็นปกติ โครงกระดูกสี
ขาวซีดเริ่มเปล่งแสงสีแดงเข้มเจิดจ้า ส่องแสงสว่างราวกับดวงอาทิตย์
เต็มไปด้วยพลังเวทและจิตสังหารอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนวิญญาณในม่านหมอกสีเทาส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความกลัว
ขณะที่เทพปีศาจมองศัตรูตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนก โครงกระดูก
ยักษ์ลุกขึ้นมาท่ามกลางชั้นหมอก เผยให้เห็นร่างอันสูงตระหง่านข่มขู่ผู้
ที่ต�ากว่า และแสงในดวงตาที่ดูเหมือนจะสามารถมองผ่านคําปดและ
เปลือกนอกทั้งมวลได้
นี่เป็นครั้งแรกที่โรเอลเรียกกรันด้าออกมา ในตอนที่เขาเป็นผู้มี
พลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 จริงๆ ด้วยพลังเวทที่เพิ่มขึ้นอย่าง
มหาศาล ราชายักษ์โบราณจึงสามารถกลับคืนสู่สถานะสมบูรณ์ได้อย่าง
รวดเร็ว
อย่างไรก็ตามโรเอลยังไม่พอใจแค่นี้ เขาอดทนต่อความเจ็บปวดทั่ว
ร่างกายของตน รีดเร้นพลังเวทออกมาด้วยความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะการ
ต่อสู้ครั้งนี้ พร้อมเปิดใช้งานความสามารถใหม่ที่เขาได้มา ก้าวข้าม
ความตาย
ท้องฟ้าก็เริ่มเต็มไปด้วยเมฆดํา เสียงฟ้าร้องดังก้องไปทั่ว ฟังดู
เหมือนเสียงกรีดร้องของผู้คนนับพัน สายฟ้าสีแดงเข้มเริ่มผ่าลงมาและ
กระจายไป มอบอํานาจให้กับเหล่านักรบแห่งความยุติธรรม
เมื่อปกคลุมไปด้วยสายฟ้าสีแดงเข้ม พวกลัทธินอกรีตและเหล่า
อัครสาวกก็หลุดออกจากความตื่นกลัว และสงบสติอารมณ์ได้อีกครั้ง
พลังเวทของพวกเขาที่ใกล้จะหมดลง ก่อนหน้านี้ก็ถูกเติมเต็มและเสริมขึ้นไปอีกระดับ ความโกรธที่อธิบายไม่ได้ก่อตัวขึ้นในใจของพวกเขา
กระตุ้นให้พวกเขากวัดแกว่งอาวุธใส่ศัตรู
“เป็นไปไม่ได้! เจ้ามีคาถาเวทนั้นได้ยังไงกัน!”
ทันทีที่ได้เห็นสายฟ้าสีแดงเข้มบนท้องฟ้า ไบรอันก็ร้องออกมาด้วย
ความตกตะลึง มันทําให้เขาหวนกลับไปในความทรงจําของตน นึกถึง
ใบหน้าที่ห่างเหินไปนาน
คาถาเวท เสียงคํารามแห่งอัสนีสีชาด เป็นคาถาเวทเสริมกองทัพที่
เป็นของชายที่เฟลเดอร์ เอลริกยื่นคํามั่นว่าจะจงรักภักดีด้วยชีวิต มัน
เป็นปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้ายในการต่อสู้ของเขา ซึ่งควรจะหายไปพร้อม
กับการตายของชายผู้นั้น
ไบรอันไม่เคยคิดว่าคาถาเวทแบบเดียวกันนี้จะปรากฏขึ้นมาอีก
ครั้ง ในอีกหลายศตวรรษต่อมา ภาพที่ไม่คาดคิดนี้สั่นคลอนการ
ตัดสินใจของเขา ทําให้เขาตกอยู่ในความลังเล
โรเอลเองก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องในอดีตเช่นกัน ทว่าเขากลับจบ
ลงด้วยการถอนหายใจเบาๆ
“เจ้า!”ไบรอันตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล ถึงกระนั้นเขาก็ไม่
สามารถคิดถึงเหตุผลเบื้องหลังการตะโกนของตัวเองได้
ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ด้วยที่รู้ว่าตอนนี้มันเป็น
เพียงสิ่งที่ไร้ความหมาย ไบรอันยกดาบขึ้นสูงรวบรวมม่านหมอกสีเทา
ทั้งหมดไว้บนใบดาบของเขา ทําให้มันเปล่งเสียงอันโกรธเกรี้ยวออกมา
ด้วยพลังเวทมหาศาลและพลังของเทพปีศาจบนใบดาบ ดาบเล่มนี้
จึงกลายเป็นหายนะที่ไม่มีทางหยุดได้
อีกด้านหนึ่ง โรเอล และโครงกระดูกยักษ์ก็ได้รวบรวมพลังของพวก
เขาและปลดปล่อยการโจมตีครั้งสุดท้ายออกมาเช่นกัน
เมื่อนึกถึงการต่อสู้ของตัวเองกับโร แอสคาร์ด โรเอลก็ได้ส่งพลัง
เวทของตนไปยังคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกําเนิดมงกุฎ เพื่อสร้างเสาแสงสี
ทองอันเจิดจ้าลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และทําให้มันควบแน่นอย่าง
รวดเร็วกลายเป็นชิ้นส่วนสีทองหลอมรวมเข้ากับร่างกายอันใหญ่โตของ
กรันด้า
หลังจากผ่านไปหลายปี ตอนนี้จักรพรรดิโบราณก็ได้กลับมาสวม
มงกุฎของตนอีกครั้งที่ราบพระอาทิตย์ตกเริ่มซ้อนทับกับโลกแห่งความเป็นจริง เสียงโห่
ร้องของเหล่านักรบยักษ์ดังก้องกังวาน ยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องของสายฟ้าสี
แดงเข้ม
ขณะที่กรันด้าเหวี่ยงหมัดออกไป พระอาทิตย์สีแดงเข้มก็โผล่ขึ้นมา
ข้างหลังของราชายักษ์ กลายเป็นหนึ่งเดียวกับการโจมตีของเขา พลัง
ของดวงอาทิตย์อัสดงปะทะเข้ากับดาบแห่งม่านหมอกสีเทา ทําให้เกิด
เสียงอันร้อนแรงพร้อมกับเสียงร้องโอดครวญของวิญญาณในม่าน
หมอก
ราวกับว่าโลกสองใบได้ชนกัน เพื่อวัดกันว่าฝั่ งไหนจะเหนือกว่า
หลังจากหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ดาบม่านหมอกสีเทาก็เริ่มลดขนาดลง
และแล้วแสงสีแดงเข้มก็แผ่กระจายออกไปครอบงําการมองเห็นของทุก
คนๆ ในสนามรบ
ตูม!
และแล้วสงครามในหุบเขาทาร์กก็จบล