ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 482: ฉันไม่ใช่เขา (2)
ความแค้นระหว่างตระกูลแอสคาร์ดและตระกูลเอลริกที่มีมา
ยาวนานหลายศตวรรษได้สิ้นสุดลงแล้ว ผู้ทรงอํานาจในอดีตได้พ่ายแพ้
และขีดเส้นจุดสิ้นสุดของยุคสมัย
การได้เห็นความตายของศัตรูต่อหน้าในครั้งนี้ ทําให้โรเอลรู้สึก
หม่นหมองอย่างบอกไม่ถูก
ไบรอัน เอลริกเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติและนักรบที่มีเกียรติ แต่
ก็เป็นคนบาปที่ชั่วร้ายเช่นกัน เขาได้ปราบศัตรูมามากมายเพื่อ
จักรวรรดิเซนต์เมซิท ปกป้องมนุษยชาติจากพวกกลายพันธุ์หลายต่อ
หลายครั้ง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็พยายามที่จะใช้อํานาจของตน
ครอบงําแวดวงขุนนางปลูกฝังความโกลาหลภายในอาณาจักรเพื่อก่อ
กบฏ
ถ้าเวตรอดชีวิตมาได้และประสบความสําเร็จในการปฏิวัติแล้วละก็
ไบรอันอาจได้รับการยกย่องในฐานะหนึ่งในบรรพบุรุษผู้นํายุคใหม่มาสู่
จักรวรรดิเซนต์เมซิท
อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่เรื่องที่โรเอลต้องเอามาใส่ใจ และเขาไม่มี
ความคิดที่จะมองในมุมของไบรอัน เอลริก สิ่งเดียวที่สําคัญสําหรับเด็ก
หนุ่มก็คือ ไบรอันถือเป็นศัตรูที่เขาต้องโค่นลงให้ได้“นี่คงเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสําหรับนาย เพราะในที่สุดนายก็จะได้
กลับไปอยู่เคียงข้างเขา ลาก่อน”
โรเอลหันหลังกลับและเดินออกจากทะเลทรายด้วยเสียงพึมพํา
เงียบๆ
การต่อสู้ของโรเอลและไบรอัน รวมถึงผลลัพธ์ของมัน ทําให้ฝูงชน
ที่มองดูอยู่ต่างตกใจ
มันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายที่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ
ระดับแก่นแท้ 2 ผู้มีประสบการณ์ และได้รับการคุ้มครองจากเทพปีศาจ
อันชั่วร้ายจะพ่ายแพ้
การต่อสู้ครั้งนี้มีผลเป็นวงกว้างต่อจักรวรรดิเซนต์เมซิท แผนกบฏ
ที่อาจจะทําลายจักรวรรดิเซนต์เมซิทจากภายในได้ถูกทําลายลงไปแล้ว
นับจากนี้ตระกูลเซไซต์จะยังคงสามารถรักษาอํานาจอิทธิพลของพวก
เขาต่อไปได้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือชัยชนะครั้งใหญ่สําหรับโรเอลและ
พันธมิตรของเขา
แม้ว่าจะมีผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายบางส่วนรอดชีวิตจากการโจมตีครั้ง
สุดท้ายของโรเอล แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นพลังอันน่าสะพรึงกลัวของ
กรันด้า และการเสียชีวิตของไบรอัน พวกเขาก็เข้าสู่ภาวะตื่นตระหนกพวกที่พยายามหลบหนีต่างก็ถูกผู้นับถือลัทธินอกรีตและเหล่าอัคร
สาวกกําจัดอย่างไร้ความปรานี ดังนั้นพวกเขาส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะ
ยอมจํานนแทน
มันเป็นเรื่องยากสําหรับผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายที่จะยอมจํานนต่ออัคร
สาวก เนื่องจากพวกเขารู้ตัวดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง หากตกอยู่ใน
เงื้อมมือของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง แต่ก็ไม่มีใครแปลกใจกับเรื่องนี้
เพราะการต่อสู้ที่พวกเขาได้เห็นนั้นน่าตกใจยิ่งกว่า
การปรากฏตัวชั่วขณะของเทพีเซีย ไปจนถึงพลังอันน่าเกรงขาม
ของกรันด้า สิ่งเหล่านี้ได้บดขยี้ขวัญกําลังใจของผู้นับถือลัทธิชั่วร้าย
และปล้นความตั้งใจในการต่อสู้ของพวกเขาไปจนหมด แค่สายตา
ชําเลืองมองของโรเอลก็เพียงพอที่จะทําให้ขาของพวกเขาสั่นคลอน
จนถึงขั้นที่บางคนถึงกับล้มลงไป
ด้วยเหตุนี้ การเก็บกวาดจึงเร็วกว่าที่คาดไว้มาก หลังจากการ
สังหารและการนองเลือดมากมาย ในที่สุดความสงบสุขก็กลับมาที่หุบ
เขาทาร์ก
แฮงค์เผยรอยยิ้มที่หาได้ยาก ในขณะที่เขาเฝ้าดูโรเอลกลับมาอย่าง
ปลอดภัย เหล่าอัครสาวกที่เคร่งครัดต่างโค้งคํานับเขาด้วยความเคารพ
ด้วยที่พวกเขาไม่ลืมว่าเทพีเซียมองมาที่โรเอลอย่างไรในช่วงการพัฒนาไปสู่ระดับแก่นแท้ 3 ของเขาก่อนหน้านี้ นั่นทําให้พวกเขาต่างเคารพ
เด็กหนุ่มคนนี้
นอกจากนี้ โรเอลก็ได้พิสูจน์ตัวเองผ่านการกระทําและความสําเร็จ
แล้วด้วย
เหล่าผู้นับถือลัทธินอกรีตของลัทธิความแข็งแกร่งแทบจะไม่
สามารถระงับความตื่นเต้นของพวกเขาได้อีก หลังจากที่พวกเขาได้เห็น
ปาฏิหาริย์ที่เทพเจ้าของพวกเขาสร้างขึ้น นี่ทําให้โรเอลดูน่านับถือมาก
ขึ้นไปอีกสําหรับพวกเขา
ส่วนพวกลัทธิความแน่วแน่เองก็ยิ่งมั่นใจว่าโรเอลจะนําพวกเขา
ไปสู่อนาคตที่สดใสได้อย่างแน่นอน
“ดูเหมือนว่าคุณจะพบแก่นแห่งความเชื่อของตัวเองแล้วสินะ”
แฮงค์เดินไปหาโรเอล เขาสังเกตเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนใน
พลังเวทของเด็กหนุ่ม ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยอย่างใจเย็น โรเอลโค้ง
คํานับแฮงค์อย่างสุดซึ้งและแสดงความขอบคุณ
“คําแนะนําของคุณทําให้ผมมีทิศทางที่ชัดเจนในการคิดเกี่ยวกับ
มัน และทําให้ผมสามารถบรรลุการเลื่อนระดับแก่นแท้ได้ ต้อง
ขอขอบคุณคุณจริงๆ ”“ไม่หรอก คําแนะนําของผมก็แค่ทําให้คุณไปได้ไกลขึ้นเท่านั้น ตัว
คุณเองต่างหากที่เข้าใจถึงมันได้ด้วยตัวเอง นี่คือความสําเร็จของตัวคุณ
เอง โรเอล แอสคาร์ด”
มันเป็นเรื่องแปลกที่คนที่มีบุคลิกสุขุมอดทนอย่างแฮงค์จะปฏิเสธ
คําขอบคุณของโรเอล นี่ทําให้เด็กหนุ่มหัวเราะออกมา หลังจากพูดคุย
กันสั้นๆ โรเอลก็หันความสนใจไปที่ส่วนลึกของหุบเขา และแฮงค์เองก็
เงียบลงเช่นกัน
พวกเขาต่างรู้ดีว่ามันยังไม่จบ
มันเป็นเรื่องที่ดีที่พวกเขาสามารถปราบกองทัพกบฏของตระกูลเอ
ลริกได้ แต่วิกฤตครั้งนี้มันยังไม่จบ สิ่งที่พวกเขาทําได้จนถึงตอนนี้ก็คือ
การจัดหาสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและมั่นคง เพื่อให้นอร่าปลุกพลัง
สายเลือดของเธอให้สําเร็จ หากเธอล้มเหลวในการก้าวข้ามขีดจํากัด
และยอมจํานนต่อสัญชาตญาณศักดิ์สิทธิ์ล่ะก็ ความโกลาหลก็จะเกิด
ขึ้นกับจักรวรรดิเซนต์เมซิทไม่ต่างจากเดิมอยู่ดี
แน่นอนว่าโรเอลจะไม่ยอมให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นแน่ และเขาก็ได้
เตรียมการสําหรับสิ่งนั้นเอาไว้แล้ว
“ผมฝากที่นี่ให้คุณจัดการต่อได้ไหม?”“ไม่ต้องห่วง กิจการที่เกี่ยวข้องกับลัทธิชั่วร้ายเป็นหน้าที่ของพวก
ผมอยู่แล้ว”
ด้วยคําตอบอย่างมั่นใจของแฮงค์ โรเอลจึงบอกลาเขาและรีบวิ่งไป
ยังที่ที่นอร่าอยู่
…
อีกด้านหนึ่ง ภายในบ้านพัก นอร่าถูกล้อมรอบด้วยแสงสีทองโดย
สมบูรณ์
ทว่าครั้งนี้เธอไม่ได้ถูกพาเข้าไปในพื้นที่ว่างเปล่าเหมือนกับครั้ง
ก่อนๆ แต่เป็นป้อมปราการศักดิ์สิทธิ์ที่ลอยอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ พลัง
เวทศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องออกมาจากแสงแดดอันอบอุ่นสะท้อนกับกําแพงสี
ขาวบริสุทธิ์ของมัน ทําให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่อันเต็มไปด้วยความอบอุ่น
และความสงบ
แม้แต่นอร่าก็ยังต้องตกตะลึงกับความยิ่งใหญ่ของป้อมปราการนี้
ทันใดนั้นชื่อหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิดของเธอ… ‘อังค์ทาห์’
อังค์ทาห์เป็นที่รู้จักในฐานะนครแห่งทูตสวรรค์ เป็นป้อมปราการ
อันยิ่งใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพโบราณกาล มันลอยอย่างสง่า
งามท่ามกลางหมู่เมฆ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอํานาจและอิทธิพลที่พวก
เขาได้รับในฐานะทูตของเทพีเซียแม้ว่าจะถูกขนานนามว่าเป็นนคร แต่อังค์ทาห์ก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่
ย่านที่อยู่อาศัยธรรมดาๆ ลักษณะของมันใกล้เคียงกับวิหาร จึงมีเพียง
ทูตสวรรค์ที่มีตําแหน่งสูงสุดเท่านั้นที่มีคุณสมบัติได้จะอาศัยอยู่ที่นี่
ประตูที่นําไปสู่เมืองอังค์ทาห์เปิดออก โดยมีทูตสวรรค์ยืนอยู่หน้า
ทางเข้าสองแถวเพื่อต้อนรับเธอ จากนั้นร่างของนอร่าก็เริ่มเดินไป
ข้างหน้าอย่างควบคุมไม่ได้
เพลงทํานองโอ่อ่าเริ่มบรรเลง เมื่อนอร่าเข้าไปในเมือง ผู้คนที่เดิน
ผ่านไปมาหยุดฝีเท้าและโค้งคํานับเธอด้วยรอยยิ้มที่เคารพ เธอยังคง
เดินหน้าต่อไปจนในที่สุดเธอก็เข้าไปในปราสาทขนาดใหญ่ ผ่านประตู
หลายต่อหลายบาน
เมื่อเดินเข้าไปจนสุดทางเดินยาวภายใน นอร่าก็พบว่าตัวเองกําลัง
ก้าวเข้าไปในห้องประชุมที่มีบัลลังก์โบราณเจ็ดตัว เธอหยุดครู่หนึ่งที่
ทางเข้า เหลือบมองทูตสวรรค์เจ็ดองค์ที่กําลังส่องแสงจางๆ นั่งอยู่บน
บัลลังก์เหล่านั้น
ทูตสวรรค์ทั้งเจ็ดสังเกตเห็นการปรากฏตัวของนอร่าอย่างรวดเร็ว
และลุกขึ้นยืน เสื้อคลุมสีขาวของพวกเขาไหลลงสู่พื้นอย่างสง่างาม ผู้
คุมที่คุ้มกันนอร่าก้มศีรษะลง และถอยห่างออกไปในขณะที่ทูตสวรรค์
ทั้งเจ็ดเดินเข้ามาต้อนรับเธอเจ็ดเทวทูต
นอร่ารู้ทันทีว่าพวกเขาเป็นใคร ราวกับว่าข้อมูลเหล่านั้นได้ถูก
เข้ารหัสไว้ในตัวเธอ
เจ็ดเทวทูตผลัดกันก้าวไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มอันจริงใจ มองเข้าไป
ในดวงตาของเธอ มีชายชราผมขาวคนหนึ่งที่ให้ออร่าที่คุ้นเคย แต่ถึง
กระนั้นทุกคนต่างก็ส่ายหัว และเดินไปด้านข้างหลังและสบตากับเธอ
แม้จะมีท่าทางที่ไม่เห็นด้วย แต่ทัศนคติของพวกเขาก็ยังให้ความ
เคารพนอร่า พวกเขามารวมตัวกันรอบๆ นอร่าและพาเธอเดินลึกเข้าไป
ข้างในด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น
ถัดจากห้องประชุมคือห้องรับรองอันศักดิ์สิทธิ์ มีงานประติมากรรม
แกะสลักอันละเอียดอ่อนคล้ายกับงานศิลปะที่มุมทั้งสี่ของห้อง ส่วนอีก
ด้านหนึ่งของห้องเป็นบัลลังก์ที่มีสตรีผมทองผู้สง่างามสวมมงกุฎนั่งอยู่
ทันทีที่นอร่ามองเห็นผู้หญิงบนบัลลังก์ เธอก็รู้สึกสั่นสะท้านไป
ทั้งตัว ความรู้สึกสนิทใกล้ชิดอันรุนแรงแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เติมเต็ม
เธอด้วยความปรารถนาดีที่มีต่อผู้หญิงคนนั้น
ในทํานองเดียวกัน หญิงสาวผมทองบนบัลลังก์เองก็คลายท่าทีอัน
เคร่งขรึมของตนลง เมื่อนอร่าก้าวเข้ามาในห้อง รอยยิ้มอันอบอุ่นก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นใบหน้าของหญิงสาว จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นยืนและเดิน
ไปหาฝ่ายที่เพิ่งเข้ามา
เมื่อระยะห่างระหว่างพวกเธอแคบลง พลังสายเลือดของนอร่าก็
เริ่มปะทุ แสงจ้าพุ่งออกมาจากร่างกายของเธอ ปล่อยพลังเวทอันทรง
พลังที่ทําให้ทุกคนต้องยําเกรง
เหล่าทูตสวรรค์ทั้งเจ็ดต่างเผยรอยยิ้มอันอบอุ่น
จิตใจของนอร่าเริ่มว่างเปล่า สายเลือดที่ปั่ นป่วนส่งผลต่ออารมณ์
ของเธอ ทําให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ ความรู้สึกสนิทสนมอันแข็งแกร่งของ
เธอ บอกกับเธอว่าหญิงสาวผมสีทองที่เดินใกล้เข้ามา คือคนที่เธอ
สามารถไว้วางใจได้ ทันใดนั้นความรู้สึกแปลกๆ ก็เริ่มหยั่งรากลงใน
หัวใจของเธอ
นอร่าเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่ได้รับความรักใคร่จากคน
รอบข้างมาโดยตลอด ทว่าเธอกลับไม่เคยได้สัมผัสถึงความรักของ
มารดาเลย เพราะแม่ของเธอเสียชีวิตไปจากการคลอดเธอ มีส่วนหนึ่ง
ของเธอที่ต้องการรู้ว่าความรักของมารดาเป็นอย่างไร แต่นั่นก็เป็นเพียง
ความฝันที่เป็นไปไม่ได้ แม้เธอจะสามารถทํามันได้ด้วยจินตนาการของ
ตัวเอง แต่มันก็ยิ่งทําให้เธอโหยหาความปรารถนาของตัวเองยิ่งกว่าเดิมหญิงสาวผมทองยิ้มอย่างมีเมตตาให้กับนอร่า และสร้างระลอก
คลื่นที่ไม่สามารถอธิบายได้ในใจของเธอ ทําให้นอร่าสับสนว่าหญิงสาว
ตรงหน้าคือแม่ของเธอหรือเปล่า ตอนนี้อารมณ์ของเธอเต็มไปด้วย
ความสับสน
ขณะนั้นเองหญิงสาวผมทองก็ได้ยื่นมือให้กับนอร่า
นอร่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วเธอก็เริ่มยกมือขึ้นช้าๆ ยอมรับ
ท่าทางนั้น ขณะที่เธอทําเช่นนั้น นอร่าก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่
ข้อมือของตัวเอง พร้อมคําถามที่ผุดขึ้นมาในใจ
เราลืมอะไรไปรึเปล่านะ…