ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 491: การต่อสู้ที่ชี้ขาด
นานแค่ไหนแล้วที่จักรวรรดิเซนต์เมซิทไม่ได้มีสงครามกลางเมือง
โรเอลรู้สึกว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรในเรื่องนี้ได้ เมื่อพิจารณา
จากการที่ว่าเขาได้ผ่านสงครามนั่นมาด้วยตนเองแล้ว อย่างไรก็ตามเขา
กลับรู้สึกว่ามันออกจะแปลกอยู่สักหน่อยที่ประวัติศาสตร์ทําท่าจะซ�า
รอยเดิมหลังจากผ่านมาสองร้อยปี
ฝ่ายที่ทําสงครามกลางเมืองกันยังคงเป็นฝ่ายเดียวกับเมื่อสองร้อย
ปีก่อน ตระกูลเอลริกรบกับตระกูลแอสคาร์ดและตระกูลเซไซต์ แต่สิ่งที่
แตกต่างออกไปเล็กน้อยก็คือผู้ที่เริ่มประกาศสงครามในครั้งนี้คือฝ่าย
หลัง
ตระกูลแอสคาร์ดและตระกูลเซไซต์ได้ตัดสินใจที่จะเป็นฝ่ายเปิด
ฉากการโจมตี
ซึ่งสิ่งที่น่าตกใจก็คือพระสังฆราชจอห์นได้ตัดสินใจดําเนินการเรื่อง
นี้ทันทีที่เกิดเหตุร้ายขึ้นกับป้อมปราการทาร์ก
ทั้งๆ ที่ตอนนั้น ไบรอันซึ่งเป็นผู้นําของตระกูลเอลริกยังมีชีวิตอยู่
ไบรอันคงไม่เคยคิดมาก่อนว่าตระกูลเซไซต์และตระกูลแอสคาร์ด
จะเป็นฝ่ายเปิดสงครามก่อนแบบนี้ แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ทําอะไรเลยก็ตาม มิฉะนั้นเขาจะไม่กล้าเดินทางมาที่ชายแดนตะวันออก เพื่อจัดการ
กับโรเอลและนอร่าแน่
มันเร็วเสียจนโรเอลและนอร่าต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินข่าวนี้ มันดู
ไม่เหมือนกับการตัดสินใจที่มีเหตุผล เนื่องจากจักรวรรดิเซนต์เมซิทควร
จะส่งกองกําลังทหารมาเสริมกําลังพลที่ชายแดนตะวันออกมากกว่าจะ
มาทําสงครามในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้
แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ในไม่ช้าทั้งสองก็
ตระหนักว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะทําได้ในสถานการณ์
ปัจจุบัน
หากมองจากมุมมองของพระสังฆราชจอห์น การล่มสลายของป้อม
ปราการทาร์กนั้นหมายความว่าความเป็นอยู่ของทั้งองค์ชายเคนและ
นอร่าได้กลายเป็นความไม่แน่นอน ถ้าหากเขาส่งทหารไปเสริมกําลังที่
ป้อมปราการทาร์ก ในเวลาเช่นนี้เขาก็จะต้องตกหลุมพรางของไบรอัน
เป็นแน่
การอุทิศกองกําลังทหารไปยังชายแดนตะวันออกจะทําให้กอง
กําลังทหารของฝ่ายราชวงศ์อ่อนแอลงอย่างรุนแรง ซึ่งจะเป็นการเพิ่ม
ความแข็งแกร่งให้กับฝ่ายของตระกูลเอลริกในจักรวรรดิเซนต์เมซิทอย่างไรก็ตาม หากพวกเขาตัดสินใจจะเปิดฉากโจมตีตระกูลเอลริก
ในเวลาเช่นนี้ ก็มีโอกาสดีที่พวกเขาจะสามารถจัดการตระกูลเอลริกได้
ในจังหวะที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว อีกทั้งยังช่วยผูกมัดไบรอันไว้ ทําให้เขา
ต้องล้มเลิกแผนการใดๆ ที่หวังจะใช้จัดการกับนอร่า
น่าเสียดายที่พวกลัทธิชั่วร้ายก็มีวิธีที่จะปิดบังตัวตนหลบไปจาก
สายตาของพระสังฆราชจอห์น อีกทั้งไบรอันยังรู้เรื่องภัยพิบัติที่จะเกิด
กับป้อมปราการทาร์กล่วงหน้า ทําให้พวกเขาสามารถเดินทางมายัง
ชายแดนตะวันออกได้ก่อนการโจมตีของพระสังฆราชจอหน์ จึงเป็นผล
ให้โรเอลและคนอื่นๆ ยังคงต้องพบกับอันตราย
“แต่ท่านปู่แน่ใจได้อย่างไรว่าพวกกลายพันธุ์จะไม่เคลื่อนไหว? ถ้า
พวกกลายพันธุ์คิดจะเปิดฉากการโจมตีในช่วงนี้ล่ะก็…”
“ท่านคงได้รับรายงานจากป้อมปราการทาร์ก ว่าเธอต้องเข้าไปใน
ส่วนลึกของหุบเขานั่นเพราะพลังทางสายเลือด ดังนั้นองค์ชายเคน และ
คนอื่นๆ ก็น่าจะต้องสํารวจพื้นที่ล่วงหน้าเอาไว้แล้ว เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มี
ภัยคุกคามอื่นๆ ที่นั่นอีก”
“เข้าใจแล้ว”
นอร่าตอบพร้อมพยักหน้าโรเอลรู้สึกประหลาดใจกับความเฉียบแหลมทางการทหารของ
พระสังฆราชจอห์น แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกทึ่งกับความเด็ดเดี่ยว
ของคาร์เตอร์ในการปฏิบัติตามแผนของอีกฝ่าย
การตัดสินใจนี้อาจจะฟังดูมีเหตุผล แต่ก็ต้องใช้กําลังทหาร
มากมายเพื่อดําเนินตามแผนการให้สําเร็จ ทั้งพระสังฆราชจอห์น และ
มาควิสคาร์เตอร์อาจจะต้องเผชิญการต่อต้านอย่างรุนแรงจากผู้ติดตาม
ของพวกเขา สําหรับการเปิดฉากทําสงครามในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่
สําคัญเช่นนี้ แทนที่จะเสริมความแข็งแกร่งของป้อมปราการทาร์ก
หากมีการคํานวณผิดพลาดในการตัดสินของพวกเขาและพวก
กลายพันธุ์สามารถเจาะด่านผ่านพื้นที่ป้อมปราการทาร์กได้สําเร็จใน
ระหว่างนี้ ทั้งสองคนก็จะกลายเป็นคนบาปของมนุษยชาติ ซึ่งเป็นบาป
ที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าใครจะรับไหว
แม้ว่าพวกกลายพันธุ์จะยังไม่โจมตีเข้ามา แต่พวกเขาก็ต้องแก้ไข
เรื่องสงครามกลางเมืองอย่างรวดเร็ว และส่งกองกําลังมาที่ชายแดน
ตะวันออกให้เร็วที่สุด มิฉะนั้นขุนนางและอาณาจักรอื่นๆ ก็จะเริ่มกดดัน
พวกเขา ข่าวลืออาจแพร่ขยายออกไปว่า ตระกูลเซไซต์และตระกูลแอส
คาร์ดจัดลําดับให้ความขัดแย้งทางการเมืองความสําคัญกว่าชะตากรรม
ของมนุษยชาติ และนั่นจะทําให้ผู้คนสูญเสียศรัทธาในตัวพวกเขาไปโชคดีจริงๆ ที่ไบรอันและสมาชิกหลักของสมาคมนักปราชญ์
เสียชีวิตลงแล้วที่หุบเขาทาร์ก มิฉะนั้น แม้แต่ตระกูลเซไซต์และตระกูล
แอสคาร์ดก็คงจะรับมือกับตระกูลเอลริกซึ่งทรงอิทธิพลและพวกลัทธิ
ชั่วร้ายในอาณัติได้ยากลําบาก
ชัยชนะของพวกโรเอลในหุบเขาทาร์กกลายเป็นบทบาทสําคัญใน
สงครามกลางเมืองของจักรวรรดิเซนต์เมซิท เมื่อปราศจากความเป็น
ผู้นําอันแข็งแกร่งของไบรอัน ตระกูลเอลริกก็ย่อมมีปัญหาในการ
รวบรวมเครือข่ายอิทธิพล เพื่อป้องกันกองทัพของตระกูลเซไซต์และ
ตระกูลแอสคาร์ด ซึ่งจะช่วยลดภัยคุกคามของพวกเขาลงไปได้มาก
การปะทุของสงครามกลางเมืองยังหมายความว่าโรเอลและนอร่า
จะต้องรีบกลับไปที่จักรวรรดิเซนต์เมซิทโดยเร็วที่สุดด้วยเช่นกัน ด้วย
เพราะตอนนี้พวกเขามี ‘สมบัติอันล�าค่า’ ที่ตระกูลเซไซต์และตระกูล
แอสคาร์ดต้องการ เพื่อเอาไปใช้อ้างสิทธิ์สร้างความชอบธรรมให้ฝั่ ง
ของพวกตนในการสงคราม นั่นก็คือ ศพของไบรอันและเหล่าผู้นับถือ
ลัทธิชั่วร้าย
ถึงกระนั้นทั้งโรเอลและนอร่าก็ยังตัดสินใจที่จะปักหลักอยู่กับป้อม
ปราการทาร์กชั่วคราวอีกราวๆ สองสามวันในช่วงเวลานี้ โรเอลใช้พลังของเปตราเพื่อปรับปรุงป้อมปราการ
ทาร์กที่สร้างขึ้นใหม่ เพิ่มความสูงของกําแพงป้อมปราการและเสริม
ความแข็งแกร่งให้กับมัน
แม้ว่าสงครามกลางเมืองจะสําคัญ แต่พวกเขาก็ไม่อาจละเลย
ชัยภูมิของป้อมปราการทาร์กได้เช่นกัน
แม้ว่าพวกกลายพันธุ์จะไม่โง่ แต่พวกมันก็ไม่ได้ฉลาดถึงขนาดนั้น
ทําให้พวกเขาสามารถข่มขู่พวกกลายพันธุ์ได้ หากสร้างกําแพงป้อม
ปราการให้สูงมากพอ เพื่อการนั้นโรเอลจึงได้พยายามเลียนแบบการ
ออกแบบก่อนหน้านี้ของป้อมปราการทาร์ก แต่ด้วยที่เขาไม่มีพิมพ์เขียว
ของมัน เด็กหนุ่มจึงทําเพียงสร้างมันขึ้นโดยอาศัยจากภาพจําของ
ตัวเอง
นี่เป็นครั้งแรกที่โรเอลใช้พลังควบคุมดินและไม้ ดังนั้นเขาจึงทํา
ผิดพลาดไปบ้าง อย่างไรก็ตามเขาก็สามารถบรรลุเป้าหมายได้ด้วย
ความช่วยเหลือของเทพธิดาแห่งผืนปฐพี
ความสามารถของโรเอลในการสร้างกําแพงป้อมปราการได้สร้าง
ความประหลาดใจให้กับเหล่าทหาร และตัวเขาเองก็ตระหนักดีว่า
ความสามารถนี้ทรงพลังเพียงใดในช่วงสงครามทางด้านนอร่าเองก็กําลังยุ่งอยู่กับการจัดการปัญหาด้านการ
บริหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยืนยันความเป็นพันธมิตรต่ออาณาจักร
ต่างๆ ที่ได้ส่งกําลังเสริม และร่างข้อตกลงความร่วมมือด้านการป้องกัน
แนวหน้าชายแดนชั่วคราว
เพื่ออํานวยความสะดวกในการทํางานร่วมกับทางทหาร นอร่าจึง
ได้จัดตั้งศูนย์บัญชาการแนวหน้าแห่งใหม่ นั่นก็เพราะกองทัพจาก
อาณาจักรอื่นๆ นั้นมีความจงรักภักดีต่างกันไป แม้ว่าพวกเขาจะมี
เป้าหมายร่วมกันในการปกป้องป้อมปราการทาร์ก แต่ถ้าหากขาดซึ่ง
สายการบังคับบัญชาที่ชัดเจน มันก็เป็นเรื่องยากสําหรับใครก็ตามที่คิด
จะออกคําสั่ง เว้นแต่พวกเขาจะเป็นผู้มีอํานาจสูงเช่นนอร่า
เคาท์แฮงค์ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บัญชาการชั่วคราวของศูนย์
บัญชาการแนวหน้านี้ ซึ่งให้สิทธิ์เขาในการยับยั้งการตัดสินใจใดๆ ที่เขา
เห็นว่าเป็นอันตรายต่อมนุษยชาติ
แน่นอนว่านี่เป็นมาตรการชั่วคราวทั้งหมด
เป้าหมายหลักตอนนี้คือรักษาชัยภูมิของป้อมปราการทาร์กเอาไว้
จนกว่าสงครามกลางเมืองของจักรวรรดิเซนต์เมซิทจะคลี่คลาย เมื่อถึง
ตอนนั้นตระกูลเซไซต์ก็จะสามารถเข้ามาปักหลักที่ป้อมปราการทาร์ก
ได้อีกครั้ง และกองทัพเสริมจากอาณาจักรอื่นๆ ก็จะสามารถกลับสู่
ตําแหน่งเดิมของพวกเขาได้โรเอลและนอร่าต่างตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปตาม
ระเบียบ ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทางกลับไปยังจักรวรรดิเซนต์เมซิท
พร้อมกับพวกผู้นับถือลัทธินอกรีตและเหล่าอัครสาวก
มันเป็นช่วงกลางฤดูหนาว สภาพอากาศที่เลวร้ายจึงทําให้การ
เดินทางยากขึ้นมาก พวกเขาต้องเดินทางอ้อมไปมา เนื่องจากบาง
เส้นทางมีหิมะหนาขวางกั้นอยู่ ทําให้ความเร็วในการเดินทางของพวก
เขาลดลงอย่างมาก
นอกจากนี้บางทีโรเอลอาจจะคิดมากไปเอง แต่เขามีความรู้สึกว่า
พวกกลายพันธุ์ที่สัญจรไปมาบนทิวเขานั้นมีมากขึ้นกว่าเดิม
ภายใต้แสงจันทร์ โรเอลจ้องมองซากศพของเหล่าพวกกลายพันธุ์
และหมาป่าสีเทาพลางตกอยู่ในห้วงความคิด ก่อนที่ทหารจะรีบวิ่งมา
หา เพื่อเตรียมการขั้นสุดท้ายก่อนเริ่มเดินทางอีกครั้ง
นอร่าเดินมาข้างๆ มองไปตามสายตาของโรเอล ซึ่งมีซากศพนับไม่
ถ้วนอยู่รอบๆ ภาพอันน่าสยดสยองนี้แทบจะไม่ทําให้เธอตกใจ ด้วยที่
เธอคุ้นเคยกับการได้เห็นซากศพแบบนี้ในหุบเขาทาร์กมาแล้ว
“เจ้ากําลังมองหาอะไรอยู่เหรอ? ที่นี่หนาวมากนะ เดี๋ยวก็เป็นหวัด
อีกหรอก”
“…เธอคิดว่าฉันเป็นเด็กน้อยที่อ่อนแอรึไงเนี่ย”โรเอลตอบด้วยน�าเสียงที่ทําอะไรไม่ถูก
นอร่าได้รักษาโรเอลในตอนที่ป่วย ซึ่งไม่ว่าเด็กสาวจะพูดอะไรเขา
ก็จะทําตามแต่โดยดีเพื่อคลายความกังวลของเจ้าตัว แต่ตอนนี้มี
บางอย่างที่เขาต้องตรวจสอบ เด็กหนุ่มจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ กองซากศพ
และตรวจดูอย่างระมัดระวังเกี่ยวกับรายละเอียดของศัตรู
สิ่งที่โรเอลเห็นและได้ยินทําให้ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียด
“นอร่า เธอฆ่าพวกกลายพันธุ์มามากในตอนที่อยู่ในหุบเขาทาร์ก
ใช่ไหม เธอสังเกตเห็นอะไรที่แตกต่างออกไปเกี่ยวกับพวกกลายพันธุ์ที่
เราพบเมื่อเร็วๆ นี้รึเปล่า?”
“ความแตกต่าง?”
“ใช่ พวกกลายพันธุ์ที่เธอพบมักจะพุ่งออกมาโจมตีโดยไม่สนใจ
การซุ่มโจมตีหรือวางกับดักใดๆ เลยงั้นเหรอ? บางทีฉันอาจจะคิดมาก
เกินไป แต่ฉันรู้สึกราวกับว่าพวกมันกําลังอยู่ในสภาพคลุ้มคลั่ง”
“อ่า…ข้าแยกไม่หรอกนะ”
นอร่าตอบอย่างเชื่องช้า
แม้ว่าเธอจะสังหารพวกกลายพันธุ์ไปหลายตัว แต่พลังอันล้น
หลามของทูตสวรรค์ที่ทําให้เธอสามารถบดขยี้คู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย ก็ส่งผลให้กลวิธีใดๆ ที่พวกกลายพันธุ์ใช้แทบจะไม่ได้เป็นที่จดจําสําหรับ
เธอเลย นอกจากนี้เธอยังถูกครอบงําโดยสัญชาตญาณศักดิ์สิทธิ์มาก
เกินกว่าที่จะมาใส่ใจรายละเอียดที่ว่า
“บางทีมันอาจจะเป็นเพราะฤดูกาลที่เปลี่ยนไปก็ได้นะ ข้าว่าสภาพ
อากาศที่หนาวเย็นและความอดอยาก อาจจะส่งผลต่อสภาพจิตใจของ
พวกมันก็เป็นได้”
“…ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
โรเอลพยักหน้าครุ่นคิดเพื่อตอบสนองต่อคําตอบของนอร่า แต่เขา
ก็ยังไม่สามารถขจัดความสงสัยที่ค้างอยู่ในใจได้
แน่นอนว่าสภาพอากาศอันหนาวเย็นและความอดอยากสามารถ
กระตุ้นให้เหล่าพวกกลายพันธุ์เข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่งได้ แต่นั่นก็ไม่น่าจะ
ทําให้พวกมันเลือกที่จะโจมตีมนุษย์อย่างบ้าคลั่งแบบนี้
แม้ว่าจะมีสัตว์สัญจรไปมาทั่วป่าน้อยกว่าในช่วงฤดูหนาว แต่พวก
มันก็ล่าได้ง่ายกว่ามาก หากเปรียบเทียบกับมนุษย์ ทําให้พวกมันเป็น
เป้าหมายที่ดีกว่า นอกจากนี้พวกมันยังสามารถใช้ขนที่ได้จากสัตว์
เหล่านั้นเพื่อทําให้ร่างกายอบอุ่นได้อีกด้วย
สิ่งเหล่านี้ควรเป็นสามัญสํานึกที่พวกกลายพันธุ์ซึ่งอาศัยอยู่ในถิ่น
ทุรกันดารควรจะมีความสงสัยยังคงค้างอยู่ในจิตใจของโรเอล เขารู้สึกได้รางๆ ว่ามี
บางอย่างส่งอิทธิพลต่อพฤติกรรมของพวกกลายพันธุ์ เขาไม่รู้ว่ามันคือ
อะไร แต่สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่ามันไม่เป็นผลดีต่อมนุษยชาติ
แน่ๆ
พวกเขาเผาซากศพให้กลายเป็นเถ้าถ่านก่อนจะเดินทางต่อ และ
ในไม่ช้า กลุ่มของโรเอลก็สามารถออกจากทุ่งหญ้า และไปถึงพื้นที่ป่าได้
ในที่สุด
เมื่อมองไปยังต้นไม้ที่ปกคลุมหุบเขาทาร์กอย่างช้าๆ นอร่าก็รู้สึกถึง
อารมณ์ที่เธอไม่สามารถเข้าใจได้ คลื่นอารมณ์ต่างๆ ถาโถมประเด
ประดังเข้ามาในจิตใจของเธอ แม้เวลาที่เธออยู่ในหุบเขาทาร์กอาจจะ
ไม่นานนัก แต่มันก็ทิ้งความทรงจํามากมายไว้ให้ ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์
ล้วนตราตรึงในดวงใจไม่ลืมเลือน
สําหรับโรเอล หุบเขาทาร์กเป็นสถานที่ที่เขาได้ชําระล้างแก้ไข
ความแค้นที่มีมานานหลายศตวรรษและพบกับปริศนาใหม่
อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่โรเอลและนอร่าเห็นตรงกัน นั่นก็คือทุกสิ่ง
ทุกอย่างกําลังเปลี่ยนไป
กระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันได้เข้ามาในชีวิตอันสงบ
สุขของเด็กหนุ่มและเด็กสาว มันขู่ว่าจะกลืนกินพวกเขาทั้งหมด ยุคใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว และมันกําลังบังคับให้ทุกคนวิ่งอย่างสุดกําลังเพื่อตามให้
ทัน
รถม้ายังคงแล่นต่อไป จนในที่สุดทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ก็หายไป
ท่ามกลางดงต้นไม้ได้ขจัดสิ่งที่โรเอลรําพึงถึงไปพร้อมกับมัน สายตา
ของเขาจ้องอยู่ข้างหลังครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะหันศีรษะไปข้างหน้าอย่าง
เงียบๆ ตัดสินใจที่จะไม่มองย้อนกลับไปอีก