ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 492: จะมีความสุข
การเดินทางหลังจากนั้นค่อนข้างราบรื่น สําหรับโรเอลและคนอื่นๆ
แม้ว่าการเดินทางอันยาวไกลนี้จะทําให้เหล่าอัครสาวกและพวกผู้นับถือ
ลัทธินอกรีตเหนื่อยล้ามากก็ตาม
ต่างจากก่อนหน้านี้ กลุ่มของโรเอลในปัจจุบันกลับเป็นหนึ่งอัน
เดียวกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผู้นําของทั้งสองฝ่ายต่างสนับสนุนกัน
และกัน ทําให้การเดินทางง่ายขึ้นกว่าขามามาก
แม้ว่าแฮงค์ซึ่งเป็นอดีตผู้บัญชาการหลักจะต้องประจําการอยู่ที่
ป้อมปราการทาร์ก แต่พวกเขาก็ได้องค์หญิงนอร่ามาแทน ทําให้ขวัญ
กําลังใจของกลุ่มดีขึ้นมาก และที่สําคัญยิ่งกว่านั้นก็คือช่วงเวลาพัก
หลังจากการพัฒนาพลังทางสายเลือดของนอร่า แม้ว่ามนุษย์จะ
รู้สึกถึงมันไม่ได้ แต่พลังเวทของราชาทูตสวรรค์ในตัวเธอก็ได้ส่งผล
กระทบอย่างมากต่อสัตว์อสูรระดับสูง ทําให้พวกผู้ล่าผู้หิวโหยในฤดู
หนาวไม่กล้าย่างกรายเข้าใกล้ แม้จะเป็นในตอนกลางคืน ดังนั้นจึง
ส่งผลให้การต่อสู้ลดลงเหลือน้อยกว่าครึ่งจากที่พวกเขาเผชิญตอนขา
มา
ด้วยเวลาพักผ่อนที่มีมากกว่าในอดีต ทําให้กําลังใจของกลุ่มดีขึ้น
อย่างเห็นได้ชัด ประกอบกับประสบการณ์ครั้งก่อน ได้ส่งผลให้การเดินทางกลับเร็วกว่าตอนที่พวกโรเอลเดินทางมามาก ถึงกระนั้นโรเอล
และคนอื่นๆ ก็ยังเดินทางไปไม่ถึงจักรวรรดิเซนต์เมซิทในวันอันแสน
สําคัญ
ในช่วงเช้าตรู่ขณะที่กองไฟในค่ายยังคงลุกไหม้ ทหารวิ่งกลับไป
กลับมาภายใต้แสงไฟ พวกเขาไม่ได้ส่งสัญญาณเตรียมออกเดินทางใน
ยามรุ่งสาง แต่กลับคุยกันเงียบๆ บางครั้งก็ส่งเสียงหัวเราะเป็นครั้งคราว
เหล่าทหารที่ยืนเฝ้ายามล้วนต่างจากเวลาปกติ พวกเขามีใบหน้ายิ้ม
แย้ม ขณะที่เหล่าอัครสาวกผู้เคร่งครัดต่างก็เตรียมการกล่าวบทสวด
บูชา
ด้วยที่หลักคําสอนของโบสถ์เทพีผู้สร้างนั้นทั้งอ่อนโยน และมี
ข้อกําหนดที่ค่อนข้างผ่อนคลาย ทําให้มีผู้ติดตามเป็นจํานวนมาก ไม่มี
กฎเกณฑ์ว่าผู้นับถือจะต้องบูชาเทพีเซียทุกเช้า ฉะนั้นแล้วมีเพียง
เหตุผลเดียวที่อัครสาวกมีพฤติกรรมเช่นนี้ นั่นก็เพราะวันนี้เป็นวันขึ้นปี
ใหม่
“ถึงข้าจะรู้ว่าเจ้าเหนื่อยมาจากการเฝ้ากะดึกก็เถอะ แต่วันนี้
เท่านั้นที่เจ้าห้ามอู้ไปนอน ไม่ต้องห่วง เวลาของเจ้าใกล้จะหมดแล้ว”
“…ขอโทษที เมื่อคืนมันสงบเกินไปหน่อย ฉันเลยผล็อยหลับไป
ก่อน”ภายในรถม้า ก่อนจะถึงรุ่งสางเด็กสาวผมสีทองได้ยื่นมือไปแตะ
แก้มของเด็กหนุ่มผมดําเพื่อปลุกเขา โรเอลก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นและขอ
โทษเธอ มันไม่น่าแปลกใจเลยที่เธอจะมาปลุกเขา…
แสงแดดแรกเริ่มในเช้าวันปีใหม่ว่ากันว่าเป็นการจ้องมองลงมาของ
เทพีเซีย เป็นช่วงเวลาที่เธอจะรับฟังคําอธิษฐานของทุกสรรพสิ่ง มัน
เป็นช่วงเวลาที่มีความสําคัญเป็นพิเศษสําหรับผู้ศรัทธาในโบสถ์แห่ง
เทพีผู้สร้าง ทุกๆ ปีในวันนี้จะมีการจัดงานใหญ่เฉลิมฉลองครั้งใหญ่ใน
เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนจากทุกที่จะรวมความปรารถนาของตนเอง
สําหรับปีใหม่ และส่งมันออกไปโดยหวังว่าจะได้รับพรจากเทพีเซีย
นอร่าในฐานะผู้สืบทอดตําแหน่งพระสังฆราชต่อไปของโบสถ์
แม้ว่าเธอจะเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ แต่ในวันนี้เธอ
ก็ต้องใช้เวลาทั้งหมดทําตามหลักคําสอน เช่นเดียวกับเหล่าอัครสาวกผู้
เคร่งครัด ปีใหม่เป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี คําสอนเหล่านี้จึงมี
ความสําคัญมากในบริบทของกองทัพเช่นกัน นั่นก็เพราะวันหยุดล้วน
เป็นความปรารถนาของทุกๆ คน
หลังจากถูกนอร่าปลุก โรเอลก็แต่งตัวจนเรียบร้อยแล้วเดินตามเธอ
ออกจากรถม้า เขามองไปยังขอบฟ้าเฝ้ารอช่วงเวลาของรุ่งสาง ค่าย
ใกล้เคียงเองก็เริ่มเคลื่อนไหว พร้อมเหล่าทหารที่เดินออกมารอพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า ทุกคนต่างมองไปยังทิศตะวันออกด้วยความ
ปรารถนาในสายตาที่ต่างออกไปจากปีก่อนๆ
โศกนาฏกรรมของป้อมปราการทาร์ก ทําให้ผู้มีพลังเหนือ
ธรรมชาติหลายแสนคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เหตุการณ์นี้ทําให้ทั้ง
เหล่าอัครสาวกและผู้นับถือลัทธินอกรีตต่างรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่าง
มาก ทุกคนที่ได้เป็นพยานในช่วงเวลาประวัติศาสตร์นี้ล้วนต้องการ
ความช่วยเหลือจากเทพีเซีย
ร็อดนีย์และวู้ดนําผู้นับถือลัทธิแห่งความแข็งแกร่งหลับตากล่าว
อธิษฐาน ในขณะที่ซินเทียประสานมือไว้ตรงหน้าอก ในฐานะที่เป็น
มารดาของทุกสรรพสิ่ง เทพีเซียจึงเป็นตัวตนที่แม้แต่พวกผู้นับถือลัทธิ
นอกรีตก็ยังให้ความเคารพและสวดอ้อนวอน ซึ่งเด็กหนุ่มผมดําเองก็มี
ใบหน้าที่หาดูได้ยากและจริงจังเช่นกัน
กิจกรรมประเภทนี้คล้ายกับคําอวยพรปีใหม่ ซึ่งเดิมทีแล้วโรเอลคิด
ว่ามันแค่เรื่องงมงาย แต่หลังจากได้เห็นร่างอันสว่างสดใสของเทพี
เซียบนท้องฟ้า ในตอนที่เขายกระดับแก่นแท้เป็นระดับแก่นแท้ 3 เขาก็
เปลี่ยนใจ ความศรัทธาครั้งนี้มาจากจิตวิญญาณ และความอบอุ่นในวัน
นั้นก็ยังคงสดใหม่อยู่ในความทรงจํา
นี่ไม่ใช่การนมัสการและการอธิษฐานอย่างมืดบอด แต่เป็นการ
แสดงความกตัญญูและขอพรจากเทพีเซีย หากเธอมองลงมาพร้อมกับแสงแรกของปีใหม่จริงๆ อย่างน้อยๆ โรเอลก็รู้สึกว่าเขาควรจะขอบคุณ
เธอ
ภายใต้การรอคอยของทุกคน ในที่สุดดวงอาทิตย์ก็ปรากฏขึ้นบน
ขอบฟ้า ปล่อยแสงอันเจิดจ้าออกมา ทุกคนบนพื้นดินต่างหลับตาลง
อธิษฐาน ตรึงความปรารถนาของตนเองไว้ในแสงสว่าง กระตือรือร้นที่
จะได้รับคําตอบจากทวยเทพ
ปีกเรืองแสงด้านหลังนอร่ากางออกอย่างเชื่องช้า เปล่งแสงอัน
อ่อนโยนออกมา ทําให้โรเอลที่อยู่ถัดออกไปนึกถึงร่างที่เคยปรากฏขึ้น
บนฟ้า จนสงสัยว่ามันเป็นภาพลวงตาหรือเปล่า เมื่อนึกถึงแสงดังกล่าว
ทันใดนั้นโรเอลก็รู้สึกราวกับว่ากําลังถูกใครบางคนมอง
มันเป็นการจ้องมองที่ไม่รู้สึกเหมือนการจ้องมองจริงๆ แต่
เหมือนกับว่าเขากําลังถูกล้อมรอบด้วยแสงอันอบอุ่น หลังจากความรู้สึก
แปลกๆ นี้แวบเข้ามา โรเอลก็ลืมตาขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ และพบว่าคนที่
อยู่ใกล้ๆ สวดอธิษฐานกันเสร็จจนหมดแล้ว ดูเหมือนเวลาจะผ่านนาน
กว่าที่เขาคิดไว้มาก
พิธีของร็อดนีย์และคนอื่นๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว เหล่าอัครสาวกเอง
ก็เช่นกัน ดวงอาทิตย์ที่ขอบฟ้าได้ขึ้นมาจนเห็นเต้มดวง และปีกแสง
ด้านหลังนอร่าเองก็หดตัวลงสลายไปได้สักพักแล้ว เธอหันกลับมามอง
เขาด้วยความประหลาดใจ“ข้าไม่คิดว่าในปีนี้เจ้าจะจริงจังขนาดนี้ เจ้าต่างจากปีก่อนๆ มาก”
“…ฉันสวดอธิษฐานมานานแล้วเหรอ?”
“ใช่ นานเป็นสองเท่าของข้า เจ้าไม่รู้สึกตัวเลยหรือ?”
“…”
เมื่อเผชิญหน้ากับนอร่าที่กําลังสับสน โรเอลก็เงียบไปครู่หนึ่งและ
ส่ายหัว เขารู้สึกว่าตัวเองอาจจะเพิ่งได้เห็นความทรงจําจากพลังทาง
สายเลือดอีกครั้ง ทันใดนั้นนอร่าที่อยู่อีกฝั่ งก็ถามถึงความปรารถนาของ
เขาด้วยความสงสัย
“เจ้าขอพรอะไรถึงใช้เวลานานขนาดนั้น?”
“ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันก็แค่หวังว่าคนรอบๆ ตัวฉันจะปลอดภัย
ดี”
“ช่างเป็นความปรารถนาที่ธรรมดาเสียจริง แต่…ถึงแม้มันจะเป็น
เพียงเรื่องธรรมดาๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายในยุคนี้”
เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงการจากไปของบิดาและผู้คนมากมายใน
ป้อมปราการทาร์ก นอร่าก็พูดออกมาพร้อมกับยิ้มเศร้าๆ โรเอลรู้สึก
เจ็บปวดในใจพลางคิดว่าจะปลอบโยนเธออย่างไรดี แต่เด็กสาวก็ไม่ได้
หยุดรอคําปลอบโยนและเข้าไปบีบแก้มของเด็กหนุ่มเบาๆ“มันเป็นคําอธิษฐานที่ดีทีเดียว แต่สําหรับตัวเจ้าเองล่ะ ทําไมในคํา
อธิษฐานนั้นถึงไม่รวมตัวเจ้าอยู่ด้วยล่ะ?”
“…ฉันลืมไปน่ะ ไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
“จะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไรล่ะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ขอพร คน
รอบข้างก็คงจะเสียใจเหมือนกัน แต่ช่างมันเถอะ เจ้ามีข้าอยู่ทั้งคน”
“เห?”
ด้วยคําพูดขององค์หญิงตรงหน้า เด็กหนุ่มผมดําก็แสดงท่าทีสงสัย
ออกมา นอร่าวางมือลงก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ ท่ามกลางแสงตะวัน
“คําอธิษฐานของข้าคือ…ข้าหวังว่าตัวเองและคนที่ข้ารักจะ
ปลอดภัยและมีความสุข”
“!”
ด้วยน�าเสียงเรียบๆ นั้นเอง โรเอลก็ถูกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว เขา
เบิกตากว้างขึ้นอย่างไม่อาจห้าม หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง โรเอลก็มอง
เข้าไปในนัยน์ตาสีไพลินของนอร่า แก้มเด็กหนุ่มพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง
ระเรื่อ ไม่ช้าก็พูดให้คํามั่นสัญญากับอีกฝ่าย
“ไม่ต้องห่วง พวกเราจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอน”บทที่ 493: พ่อก็ยังคงเป็นเช่นนี้ไม่เคยเปลี่ยน (1)
ไม่กี่วันต่อมา ในช่วงเช้าตรู่ที่ประตูตะวันออกของเมืองหลวง
ศักดิ์สิทธิ์ลอเรน เมืองหลวงของจักรวรรดิเซนต์เมซิท กลุ่มคนปริศนาได้
ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูภายใต้แสงแดดยามเช้า หลายคนแต่งกาย
ด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่น เห็นได้ชัดว่าบางคนไม่ได้มาจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
แน่ๆ แต่ผู้คุมประตูเมืองก็ปล่อยให้คนกลุ่มนั้นไปทันที หลังจากได้
ตรวจสอบนิดๆ หน่อยๆ
ไม่ใช่เพราะทหารยามที่เฝ้าตรงนี้ได้รับส่วย หรือเพราะได้รับคําสั่ง
จากผู้บัญชาการให้เปิดประตู แต่เป็นเพราะพวกเขาเห็นคนคุ้นหน้าคุ้น
ตาในกลุ่มนี้มากจนผิดปกติ ทั้งอัครสาวกที่มีชื่อเสียง และผู้นับถือลัทธิ
นอกรีตที่มีอิทธิพลอย่างมากในแวดวงทหารรับจ้าง ทายาทของตระกูล
แอสคาร์ด และที่สําคัญที่สุด เด็กสาวผมสีทองที่ผู้คนในเมืองหลวง
ศักดิ์สิทธิ์คุ้นเคยเป็นอย่างดี นอร่า เซไซต์
เมื่อองค์หญิงแห่งจักรวรรดิเซนต์เมซิทปรากฏตัวขึ้น ทุกคนก็เบิก
ตากว้างเป็นประกาย ส่งเสียงโหวกเหวกให้กําลังใจและรีบเปิดประตู
เมืองในทันที
ที่พวกทหารมีปฏิกิริยาเช่นนี้เป็นเพราะนอร่านั้นเป็นขวัญใจของ
ประชาชนในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่เธอยังเด็กและได้รับความ
นิยมเป็นอย่างมาก ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็คือข่าวลือที่บอกว่า นอร่าได้เสียชีวิตในอุบัติเหตุที่ชายแดนตะวันออกไปพร้อมๆ กับองค์ชายเคนผู้
เป็นบิดา
แน่นอนว่านี่เป็นข่าวลือที่ตระกูลเอลริกจงใจกุขึ้นมาเพื่อเขย่าหัวใจ
ของผู้คน ซึ่งผลลัพธ์นั้นทรงพลังอย่างมาก แม้ว่าโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง
จะยังไม่ได้ออกแถลงการณ์ใดๆ แต่ช่วงเวลาหลายเดือนที่นอร่าไม่ได้
แสดงตัวต่อสาธารณชนก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้ผู้คนเกิดความสงสัย
อย่างไรก็ตามวันนี้นอร่าได้นํากองทัพกลับมาจากชายแดน
ตะวันออกเป็นการส่วนตัว ข่าวลือเรื่องการเสียชีวิตของเธอจึงหายไป
โดยปริยาย อีกทั้งยังส่งผลให้อํานาจของฝ่ายราชสํานักในเมืองหลวง
ศักดิ์สิทธิ์ลอเรนกลับมามีเสถียรภาพด้วยเช่นกัน
ข่าวการกลับมาขององค์หญิงนอร่าก็แพร่กระจายออกไปอย่าง
รวดเร็ว ทําให้เมื่อโรเอลและคนอื่นๆ เข้ามาในเมืองผ่านทางประตูทิศ
ตะวันออก พวกเขาก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนที่อยู่ใกล้เคียง อัศวินใน
เมืองต่างเข้ามาควบคุมสถานการณ์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ถึง
กระนั้นผู้คนก็ยังแห่เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ โห่ร้องชื่อของนอร่า ด้วยความ
เชื่อมั่นว่าฝั่ งราชสํานักจะต้องชนะ
มันจึงเป็นเรื่องน่าแปลกใจสําหรับโรเอล ที่ได้เห็นว่าประชาชนยังมี
ความสามัคคีและปรองดองกันสนับสนุนราชสํานักทั้งๆ ที่จักรวรรดิ
เซนต์เมซิทกําลังอยู่ในภาวะสงครามกลางเมือง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาเป็นเวลามากว่าสองร้อยปี คนปกติทั่วๆ ไปควรจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้
พวกเขาควรจะต่อต้านมัน หรือไม่ก็ตั้งตัวเป็นกลาง เขาไม่เข้าใจจริงๆ
ว่าอะไรทําให้พวกเขาสนับสนุนราชสํานักได้ถึงขนาดนี้?
โรเอลที่กําลังสับสนหันไปถามอัศวินราชองครักษ์ หลังจากได้ฟัง
คําอธิบายจากอีกฝ่ายแล้ว เขาก็ได้รู้ว่าทางโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างใช้วิธี
เดียวกับที่เขาคิดไว้
เหตุผลที่ใช้เปิดสงครามกับตระกูลเอลริกในครั้งนี้ ก็คือการที่
ตระกูลเอลริกมีความสัมพันธ์กับผู้นับถือลัทธิชั่วร้าย และโศกนาฏกรรม
ครั้งใหญ่ที่ชายแดนตะวันออกก็คือการโจมตีมุ่งร้ายต่อเทพีเซียที่
วางแผนขึ้นโดยลัทธิชั่วร้าย จึงมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายหมื่นคน
ป้อมปราการทาร์กก็ถูกทําลาย และข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นตายของ
สมาชิกราชวงศ์ที่อยู่ที่นั่นก็ยังไม่ถูกเปิดเผย
ทันทีที่ข่าวเกี่ยวกับป้อมปราการทาร์กถูกเปิดเผย ทั่วทั้งเมืองหลวง
ศักดิ์สิทธิ์ก็สั่นสะเทือน ครอบครัวของทหารหลายหมื่นนายต่างร�าไห้ที่
หน้าประตูของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง เพราะต้องการเข้าพิสูจน์ว่าคนที่
พวกเขารักรอดชีวิตหรือไม่ ซึ่งเป็นฉากที่สะเทือนใจเกินบรรยาย ระดับ
ที่ว่าแม้จะห่างออกไปหลายไมล์ก็ยังได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ดังมาตาม
ท้องถนน เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไป สถานการณ์ดังกล่าวก็เกิดขึ้นใน
พื้นที่อื่นๆ ของจักรวรรดิเซนต์เมซิทด้วยเช่นกันนักพูดขึ้นปราศรัยถึงความโหดร้ายของลัทธิชั่วร้ายด้วยความโกรธ
เกรี้ยวบนท้องถนน สาวกของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างต่างเรียกร้องให้มี
การกําหนดบทลงโทษอย่างรุนแรงต่อฆาตกร กองทัพตอบโต้อย่าง
ดุเดือด ผู้บัญชาการนับไม่ถ้วนลงนามในจดหมาย ทหารทุกคนก็มีความ
กระตือรือร้นมากขึ้น และขุนนางที่ตั้งตนเป็นกลางเองก็เลือกฝั่ งของ
ราชสํานักเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ถึงแม้ว่าตระกูลเอลริกจะ
ปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติหลายหมื่นคนเสียชีวิต ป้อมปราการทาร์
กที่อยู่มานานหลายศตวรรษก็ถูกทําลาย ประกอบกับชะตากรรมของ
สมาชิกราชวงศ์ที่ไม่ชัดเจน นี่เป็นความเสียหายที่ร้ายแรงสําหรับ
จักรวรรดิเซนต์เมซิท เทียบได้กับการล่มสลาย ไม่มีทางที่ใครจะยกเรื่อง
นี้มากล่าวอ้างใส่ความสุ่มสี่สุ่มห้าแน่
ในช่วงวิกฤตอันสิ้นหวังของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ทางราชสํานักได้
ตัดสินใจไม่ส่งกําลังเสริมไปที่ชายแดนตะวันออก แต่กลับส่งกองกําลัง
ไปกวาดล้างตระกูลเอลริกแทน ประกอบกับการที่ยังไม่มีการเปิดเผย
ใดๆ เกี่ยวกับชะตากรรมของสมาชิกราชวงศ์ทั้งสองที่ป้อมปราการ
ทาร์ก ทําให้ผู้คนพอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้
ประชาชนต่างเข้าใจว่าความเกลียดชังอย่างลึกซึ้งและความมุ่งมั่น
อันเด็ดขาดนี้ คือความมั่นใจในหลักฐานชี้ขาด ดังนั้นแม้ว่าโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างจะไม่ได้เปิดเผยหลักฐานใดๆ แต่ในสายตาของคนส่วนใหญ่
มันก็เป็นเรื่องที่มีมูลเหตุแล้ว
ทันทีที่มีการประกาศสงคราม ประชาชนในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก็
มารวมตัวกันภายใต้บรรยากาศแห่งความเศร้าโศก ทหารที่โกรธแค้นมา
ที่จัตุรัสและสาบานต่อหน้าเหล่าสมาชิกครอบครัวของทหารที่เสียชีวิต
ไป ว่าจะล้างแค้นให้สหายร่วมรบ จากนั้นด้วยคําอวยพรของเหล่า
นักบวช อธิการ และกําลังใจของผู้คน พวกเขาก็เดินทางออกจากเมือง
หลวงไปยังสนามรบ
พวกเขาลงสู่สนามรบในทันที จัดรูปขบวนเข้าปะทะฝั่ งหนึ่ง โดยที่
อีกด้านหนึ่งมีกองกําลังของตระกูลแอสคาร์ดช่วยสนับสนุน ผู้นําของ
ตระกูลแอสคาร์ด คาร์เตอร์ แอสคาร์ดได้นําทัพออกไปเป็นการส่วนตัว
เพื่อเข้าร่วมสงครามไปพร้อมกองทัพของราชสํานัก พวกเขาตีขนาบ
กองทัพของตระกูลเอลริกจากทั้งทางด้านซ้ายและขวา
หลังจากได้ยินข้อมูลเหล่านี้ โรเอลก็พยักหน้า การประกาศของ
โบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างเหมือนกันกับที่ข้ออ้างที่โรเอลใช้ปลุกใจเหล่า
ทหารในตอนที่ป้อมปราการทาร์กหายไป ซึ่งมันก็ช่วยเบี่ยงเบนความ
สนใจของเหล่าทหารได้สําเร็จ และทําให้เขาเป็นที่โปรดปราน
สําหรับคนธรรมดาๆ ทั่วๆ ไปแล้ว ความเป็นจริงที่ว่าป้อมปราการ
ทาร์กถูกทําลายโดย ‘หกภัยพิบัติ’ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก อีกทั้งถ้าหากทางโบสถ์เลือกที่จะประกาศเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัว
เหล่านั้นละก็ ประชาชนก็คงจะตื่นตระหนกและสับสนเป็นแน่ ด้วยที่มัน
ต่างจากการอ้างว่ามันเป็นฝีมือของพวกลัทธิชั่วร้าย ซึ่งเป็นตัวตนที่อยู่
ในขอบเขตความเข้าใจของพวกเขาโดยสิ้นเชิง
ความจริงที่ว่ามีสัตว์ประหลาดอันน่าสะพรึงกลัวเฝ้าดูมนุษยชาติ
อยู่ในมุมที่ไม่มีใครรับรู้ ทําให้แม้แต่โรเอลก็ยังต้องรู้สึกหนาวสั่นเป็นครั้ง
คราว เด็กหนุ่มจึงสามารถจินตนาการได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หากคน
ธรรมดาๆ ได้รับรู้เรื่องนั้น ความโกลาหลที่ปะทุขึ้นในสังคมคงจะรุนแรง
เกินกว่าจะยับยั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ชนชั้นปกครองของจักรวรรดิเซนต์เมซิท
จะต้องหลีกเลี่ยงให้ได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน
โรเอลเดินทางเข้าไปในพระราชวังพร้อมกับคนอื่นๆ โดยมีคนของ
โบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างและสํานักพระราชวังเข้ามาทักทาย แต่ไม่มีใคร
สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกกับเขาได้ เพราะความจริงแล้วตอนนี้องค์
จักรพรรดิและพระสังฆราชของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง อย่าง
พระสังฆราชจอห์นนั้นไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
เด็กหนุ่มผมดําอดแสดงความประหลาดใจออกมาไม่ได้เมื่อได้ยิน
ข่าวเกี่ยวกับพระสังฆราชจอห์น แต่หลังจากครุ่นคิดสักพักเขาก็เข้าใจ
เพราะถ้าหากฝ่ายของตระกูลเอลริกอยู่ในสภาพสมบูรณ์จริงๆ
พระสังฆราชจอห์นก็จะต้องลงสนามรบด้วยตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ไบรอันเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่มีชื่อเสียงในจักรวรรดิเซนต์
เมซิทมาช้านาน นอกจากนี้เขายังมีระดับแก่นแท้เทียบเท่ากับคาร์เตอร์
และพลังเวทของเทพเจ้าผู้ชั่วร้ายจากโบราณกาล หากพวกเขามี
แผนการลับที่คาดไม่ถึงซ่อนอยู่ละก็ มันก็อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวม
ของสงครามได้ ทําให้พระสังฆราชจอห์นต้องแอบเดินทางไปยังแนว
หน้าของสนามรบ
แน่นอนว่าข่าวนี้ยังไม่ได้รับการเปิดเผย เพราะพระสังฆราชจอห์น
นั้นไม่ได้ออกจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มานานหลายปีแล้ว ทําให้เขาเป็น
เหมือนยากล่อมประสาทของประชาชน ซึ่งมีผลอย่างมากต่อการรักษา
ความมั่นคงทางจิตใจของปวงประชาในจักรวรรดิเซนต์เมซิท
แม้แต่นอร่าก็อดตกใจไม่ได้ที่ได้รู้ว่าปู่ของเธอออกไปยังสนามรบ
อย่างลับๆ แต่แล้วเธอก็สงบลง และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของ
ทางโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง เพื่อทําให้ดูเหมือนว่าเธอกําลังจะไปพบ
พระสังฆราชจอห์น ซึ่งโรเอลเองก็ให้ความร่วมมือด้วยเช่นกัน
ฝูงชนจํานวนมากที่ติดตามโรเอลและคนอื่นๆ ได้หยุดลงที่หน้า
พระราชวัง พวกเขาต่างพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น และไม่สามารถแยกย้าย
กันออกไปได้ชั่วขณะ รอคอยให้โรเอลและนอร่าเข้าไปในพระราชวัง
เพื่อหวังที่จะได้รู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์
…ไม่ว่าจะเป็นโรเอลหรือนอร่าก็ล้วนมีสมาชิกครอบครัวอยู่ในสนาม
รบ ดังนั้นพวกเขาจึงกังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับสถานการณ์ในสนาม
รบ อย่างไรก็ตามหากพิจารณาถึงความแตกต่างทางกําลังพลระหว่าง
ทั้งสองฝ่าย ความกังวลของพวกเขาก็ดูเหมือนว่าจะไม่จําเป็น
ภายในพระราชวัง กลิ่นอายของชาร้อนที่ชงแล้วโชยมาทําให้ความ
หนาวเย็นในฤดูหนาวบรรเทาลง เด็กหนุ่มผมดํามองดูรายงานผลการ
ต่อสู้ตรงหน้า จากนั้นสีหน้าที่เคร่งเครียดของเขาก็ค่อยๆ หายไป