ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 493: พ่อก็ยังคงเป็นเช่นนี้ไม่เคยเปลี่ยน (1)
- Home
- ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END
- บทที่ 493: พ่อก็ยังคงเป็นเช่นนี้ไม่เคยเปลี่ยน (1)
ไม่กี่วันต่อมา ในช่วงเช้าตรู่ที่ประตูตะวันออกของเมืองหลวง
ศักดิ์สิทธิ์ลอเรน เมืองหลวงของจักรวรรดิเซนต์เมซิท กลุ่มคนปริศนาได้
ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูภายใต้แสงแดดยามเช้า หลายคนแต่งกาย
ด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่น เห็นได้ชัดว่าบางคนไม่ได้มาจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
แน่ๆ แต่ผู้คุมประตูเมืองก็ปล่อยให้คนกลุ่มนั้นไปทันที หลังจากได้
ตรวจสอบนิดๆ หน่อยๆ
ไม่ใช่เพราะทหารยามที่เฝ้าตรงนี้ได้รับส่วย หรือเพราะได้รับคําสั่ง
จากผู้บัญชาการให้เปิดประตู แต่เป็นเพราะพวกเขาเห็นคนคุ้นหน้าคุ้น
ตาในกลุ่มนี้มากจนผิดปกติ ทั้งอัครสาวกที่มีชื่อเสียง และผู้นับถือลัทธิ
นอกรีตที่มีอิทธิพลอย่างมากในแวดวงทหารรับจ้าง ทายาทของตระกูล
แอสคาร์ด และที่สําคัญที่สุด เด็กสาวผมสีทองที่ผู้คนในเมืองหลวง
ศักดิ์สิทธิ์คุ้นเคยเป็นอย่างดี นอร่า เซไซต์
เมื่อองค์หญิงแห่งจักรวรรดิเซนต์เมซิทปรากฏตัวขึ้น ทุกคนก็เบิก
ตากว้างเป็นประกาย ส่งเสียงโหวกเหวกให้กําลังใจและรีบเปิดประตู
เมืองในทันที
ที่พวกทหารมีปฏิกิริยาเช่นนี้เป็นเพราะนอร่านั้นเป็นขวัญใจของ
ประชาชนในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่เธอยังเด็กและได้รับความ
นิยมเป็นอย่างมาก ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็คือข่าวลือที่บอกว่า นอร่าได้เสียชีวิตในอุบัติเหตุที่ชายแดนตะวันออกไปพร้อมๆ กับองค์ชายเคนผู้
เป็นบิดา
แน่นอนว่านี่เป็นข่าวลือที่ตระกูลเอลริกจงใจกุขึ้นมาเพื่อเขย่าหัวใจ
ของผู้คน ซึ่งผลลัพธ์นั้นทรงพลังอย่างมาก แม้ว่าโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง
จะยังไม่ได้ออกแถลงการณ์ใดๆ แต่ช่วงเวลาหลายเดือนที่นอร่าไม่ได้
แสดงตัวต่อสาธารณชนก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้ผู้คนเกิดความสงสัย
อย่างไรก็ตามวันนี้นอร่าได้นํากองทัพกลับมาจากชายแดน
ตะวันออกเป็นการส่วนตัว ข่าวลือเรื่องการเสียชีวิตของเธอจึงหายไป
โดยปริยาย อีกทั้งยังส่งผลให้อํานาจของฝ่ายราชสํานักในเมืองหลวง
ศักดิ์สิทธิ์ลอเรนกลับมามีเสถียรภาพด้วยเช่นกัน
ข่าวการกลับมาขององค์หญิงนอร่าก็แพร่กระจายออกไปอย่าง
รวดเร็ว ทําให้เมื่อโรเอลและคนอื่นๆ เข้ามาในเมืองผ่านทางประตูทิศ
ตะวันออก พวกเขาก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนที่อยู่ใกล้เคียง อัศวินใน
เมืองต่างเข้ามาควบคุมสถานการณ์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ถึง
กระนั้นผู้คนก็ยังแห่เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ โห่ร้องชื่อของนอร่า ด้วยความ
เชื่อมั่นว่าฝั่ งราชสํานักจะต้องชนะ
มันจึงเป็นเรื่องน่าแปลกใจสําหรับโรเอล ที่ได้เห็นว่าประชาชนยังมี
ความสามัคคีและปรองดองกันสนับสนุนราชสํานักทั้งๆ ที่จักรวรรดิ
เซนต์เมซิทกําลังอยู่ในภาวะสงครามกลางเมือง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาเป็นเวลามากว่าสองร้อยปี คนปกติทั่วๆ ไปควรจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้
พวกเขาควรจะต่อต้านมัน หรือไม่ก็ตั้งตัวเป็นกลาง เขาไม่เข้าใจจริงๆ
ว่าอะไรทําให้พวกเขาสนับสนุนราชสํานักได้ถึงขนาดนี้?
โรเอลที่กําลังสับสนหันไปถามอัศวินราชองครักษ์ หลังจากได้ฟัง
คําอธิบายจากอีกฝ่ายแล้ว เขาก็ได้รู้ว่าทางโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างใช้วิธี
เดียวกับที่เขาคิดไว้
เหตุผลที่ใช้เปิดสงครามกับตระกูลเอลริกในครั้งนี้ ก็คือการที่
ตระกูลเอลริกมีความสัมพันธ์กับผู้นับถือลัทธิชั่วร้าย และโศกนาฏกรรม
ครั้งใหญ่ที่ชายแดนตะวันออกก็คือการโจมตีมุ่งร้ายต่อเทพีเซียที่
วางแผนขึ้นโดยลัทธิชั่วร้าย จึงมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายหมื่นคน
ป้อมปราการทาร์กก็ถูกทําลาย และข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นตายของ
สมาชิกราชวงศ์ที่อยู่ที่นั่นก็ยังไม่ถูกเปิดเผย
ทันทีที่ข่าวเกี่ยวกับป้อมปราการทาร์กถูกเปิดเผย ทั่วทั้งเมืองหลวง
ศักดิ์สิทธิ์ก็สั่นสะเทือน ครอบครัวของทหารหลายหมื่นนายต่างร�าไห้ที่
หน้าประตูของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง เพราะต้องการเข้าพิสูจน์ว่าคนที่
พวกเขารักรอดชีวิตหรือไม่ ซึ่งเป็นฉากที่สะเทือนใจเกินบรรยาย ระดับ
ที่ว่าแม้จะห่างออกไปหลายไมล์ก็ยังได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ดังมาตาม
ท้องถนน เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไป สถานการณ์ดังกล่าวก็เกิดขึ้นใน
พื้นที่อื่นๆ ของจักรวรรดิเซนต์เมซิทด้วยเช่นกันนักพูดขึ้นปราศรัยถึงความโหดร้ายของลัทธิชั่วร้ายด้วยความโกรธ
เกรี้ยวบนท้องถนน สาวกของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างต่างเรียกร้องให้มี
การกําหนดบทลงโทษอย่างรุนแรงต่อฆาตกร กองทัพตอบโต้อย่าง
ดุเดือด ผู้บัญชาการนับไม่ถ้วนลงนามในจดหมาย ทหารทุกคนก็มีความ
กระตือรือร้นมากขึ้น และขุนนางที่ตั้งตนเป็นกลางเองก็เลือกฝั่ งของ
ราชสํานักเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ถึงแม้ว่าตระกูลเอลริกจะ
ปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติหลายหมื่นคนเสียชีวิต ป้อมปราการทาร์
กที่อยู่มานานหลายศตวรรษก็ถูกทําลาย ประกอบกับชะตากรรมของ
สมาชิกราชวงศ์ที่ไม่ชัดเจน นี่เป็นความเสียหายที่ร้ายแรงสําหรับ
จักรวรรดิเซนต์เมซิท เทียบได้กับการล่มสลาย ไม่มีทางที่ใครจะยกเรื่อง
นี้มากล่าวอ้างใส่ความสุ่มสี่สุ่มห้าแน่
ในช่วงวิกฤตอันสิ้นหวังของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ทางราชสํานักได้
ตัดสินใจไม่ส่งกําลังเสริมไปที่ชายแดนตะวันออก แต่กลับส่งกองกําลัง
ไปกวาดล้างตระกูลเอลริกแทน ประกอบกับการที่ยังไม่มีการเปิดเผย
ใดๆ เกี่ยวกับชะตากรรมของสมาชิกราชวงศ์ทั้งสองที่ป้อมปราการ
ทาร์ก ทําให้ผู้คนพอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้
ประชาชนต่างเข้าใจว่าความเกลียดชังอย่างลึกซึ้งและความมุ่งมั่น
อันเด็ดขาดนี้ คือความมั่นใจในหลักฐานชี้ขาด ดังนั้นแม้ว่าโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างจะไม่ได้เปิดเผยหลักฐานใดๆ แต่ในสายตาของคนส่วนใหญ่
มันก็เป็นเรื่องที่มีมูลเหตุแล้ว
ทันทีที่มีการประกาศสงคราม ประชาชนในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก็
มารวมตัวกันภายใต้บรรยากาศแห่งความเศร้าโศก ทหารที่โกรธแค้นมา
ที่จัตุรัสและสาบานต่อหน้าเหล่าสมาชิกครอบครัวของทหารที่เสียชีวิต
ไป ว่าจะล้างแค้นให้สหายร่วมรบ จากนั้นด้วยคําอวยพรของเหล่า
นักบวช อธิการ และกําลังใจของผู้คน พวกเขาก็เดินทางออกจากเมือง
หลวงไปยังสนามรบ
พวกเขาลงสู่สนามรบในทันที จัดรูปขบวนเข้าปะทะฝั่ งหนึ่ง โดยที่
อีกด้านหนึ่งมีกองกําลังของตระกูลแอสคาร์ดช่วยสนับสนุน ผู้นําของ
ตระกูลแอสคาร์ด คาร์เตอร์ แอสคาร์ดได้นําทัพออกไปเป็นการส่วนตัว
เพื่อเข้าร่วมสงครามไปพร้อมกองทัพของราชสํานัก พวกเขาตีขนาบ
กองทัพของตระกูลเอลริกจากทั้งทางด้านซ้ายและขวา
หลังจากได้ยินข้อมูลเหล่านี้ โรเอลก็พยักหน้า การประกาศของ
โบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างเหมือนกันกับที่ข้ออ้างที่โรเอลใช้ปลุกใจเหล่า
ทหารในตอนที่ป้อมปราการทาร์กหายไป ซึ่งมันก็ช่วยเบี่ยงเบนความ
สนใจของเหล่าทหารได้สําเร็จ และทําให้เขาเป็นที่โปรดปราน
สําหรับคนธรรมดาๆ ทั่วๆ ไปแล้ว ความเป็นจริงที่ว่าป้อมปราการ
ทาร์กถูกทําลายโดย ‘หกภัยพิบัติ’ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก อีกทั้งถ้าหากทางโบสถ์เลือกที่จะประกาศเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัว
เหล่านั้นละก็ ประชาชนก็คงจะตื่นตระหนกและสับสนเป็นแน่ ด้วยที่มัน
ต่างจากการอ้างว่ามันเป็นฝีมือของพวกลัทธิชั่วร้าย ซึ่งเป็นตัวตนที่อยู่
ในขอบเขตความเข้าใจของพวกเขาโดยสิ้นเชิง
ความจริงที่ว่ามีสัตว์ประหลาดอันน่าสะพรึงกลัวเฝ้าดูมนุษยชาติ
อยู่ในมุมที่ไม่มีใครรับรู้ ทําให้แม้แต่โรเอลก็ยังต้องรู้สึกหนาวสั่นเป็นครั้ง
คราว เด็กหนุ่มจึงสามารถจินตนาการได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หากคน
ธรรมดาๆ ได้รับรู้เรื่องนั้น ความโกลาหลที่ปะทุขึ้นในสังคมคงจะรุนแรง
เกินกว่าจะยับยั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ชนชั้นปกครองของจักรวรรดิเซนต์เมซิท
จะต้องหลีกเลี่ยงให้ได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน
โรเอลเดินทางเข้าไปในพระราชวังพร้อมกับคนอื่นๆ โดยมีคนของ
โบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างและสํานักพระราชวังเข้ามาทักทาย แต่ไม่มีใคร
สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกกับเขาได้ เพราะความจริงแล้วตอนนี้องค์
จักรพรรดิและพระสังฆราชของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง อย่าง
พระสังฆราชจอห์นนั้นไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
เด็กหนุ่มผมดําอดแสดงความประหลาดใจออกมาไม่ได้เมื่อได้ยิน
ข่าวเกี่ยวกับพระสังฆราชจอห์น แต่หลังจากครุ่นคิดสักพักเขาก็เข้าใจ
เพราะถ้าหากฝ่ายของตระกูลเอลริกอยู่ในสภาพสมบูรณ์จริงๆ
พระสังฆราชจอห์นก็จะต้องลงสนามรบด้วยตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ไบรอันเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่มีชื่อเสียงในจักรวรรดิเซนต์
เมซิทมาช้านาน นอกจากนี้เขายังมีระดับแก่นแท้เทียบเท่ากับคาร์เตอร์
และพลังเวทของเทพเจ้าผู้ชั่วร้ายจากโบราณกาล หากพวกเขามี
แผนการลับที่คาดไม่ถึงซ่อนอยู่ละก็ มันก็อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวม
ของสงครามได้ ทําให้พระสังฆราชจอห์นต้องแอบเดินทางไปยังแนว
หน้าของสนามรบ
แน่นอนว่าข่าวนี้ยังไม่ได้รับการเปิดเผย เพราะพระสังฆราชจอห์น
นั้นไม่ได้ออกจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มานานหลายปีแล้ว ทําให้เขาเป็น
เหมือนยากล่อมประสาทของประชาชน ซึ่งมีผลอย่างมากต่อการรักษา
ความมั่นคงทางจิตใจของปวงประชาในจักรวรรดิเซนต์เมซิท
แม้แต่นอร่าก็อดตกใจไม่ได้ที่ได้รู้ว่าปู่ของเธอออกไปยังสนามรบ
อย่างลับๆ แต่แล้วเธอก็สงบลง และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของ
ทางโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง เพื่อทําให้ดูเหมือนว่าเธอกําลังจะไปพบ
พระสังฆราชจอห์น ซึ่งโรเอลเองก็ให้ความร่วมมือด้วยเช่นกัน
ฝูงชนจํานวนมากที่ติดตามโรเอลและคนอื่นๆ ได้หยุดลงที่หน้า
พระราชวัง พวกเขาต่างพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น และไม่สามารถแยกย้าย
กันออกไปได้ชั่วขณะ รอคอยให้โรเอลและนอร่าเข้าไปในพระราชวัง
เพื่อหวังที่จะได้รู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์
…ไม่ว่าจะเป็นโรเอลหรือนอร่าก็ล้วนมีสมาชิกครอบครัวอยู่ในสนาม
รบ ดังนั้นพวกเขาจึงกังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับสถานการณ์ในสนาม
รบ อย่างไรก็ตามหากพิจารณาถึงความแตกต่างทางกําลังพลระหว่าง
ทั้งสองฝ่าย ความกังวลของพวกเขาก็ดูเหมือนว่าจะไม่จําเป็น
ภายในพระราชวัง กลิ่นอายของชาร้อนที่ชงแล้วโชยมาทําให้ความ
หนาวเย็นในฤดูหนาวบรรเทาลง เด็กหนุ่มผมดํามองดูรายงานผลการ
ต่อสู้ตรงหน้า จากนั้นสีหน้าที่เคร่งเครียดของเขาก็ค่อยๆ หายไป