ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 494: พ่อก็ยังคงเป็นเช่นนี้ไม่เคยเปลี่ยน (2)
- Home
- ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END
- บทที่ 494: พ่อก็ยังคงเป็นเช่นนี้ไม่เคยเปลี่ยน (2)
โดยรวมแล้วจากรายงานผลการรบ การโจมตีของฝั่ งตระกูลเซไซต์
และตระกูลแอสคาร์ดได้ดําเนินไปอย่างราบรื่นต่างจากเมื่อสองร้อยปี
ก่อน หลังจากสูญเสียผู้นําตระกูลอย่างไบรอัน เอลริกไป ตระกูลเอลริกก็
ตกอยู่ในความวุ่นวายมาก เพียงช่วงเวลาสั้นๆ พวกเขาก็สูญเสีย
ความสามารถในการจัดรูปขบวนทําให้ไม่สามารถโต้กลับไปได้ ส่งผลให้
เกิดความเสียหายอย่างหนักในกองทัพ
ยุทธการครั้งนี้เป็นการโจมตีแบบสายฟ้าแลบ ซึ่งเป็นการรบพุ่ง
โจมตีไล่ล่าอย่างรวดเร็ว ดังนั้นทั้งพระสังฆราชจอห์นและคาร์เตอร์ จึง
เลือกยุทธวิธีการโจมตีจากทางไกล ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็เหนือกว่า
จินตนาการของโรเอลและคนอื่นๆ ไปมาก
แม้ว่าขุนนางระดับสูงของตระกูลเอลริกจะปั่ นป่วนด้วยความ
โกลาหล แต่ด้วยการบริหารอันยาวนานหลายปีของไบรอัน ส่วนอื่นๆ
นั้นยังคงปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดี กองทัพของตระกูลขุนนางที่มี
ชื่อเสียงที่สุดในจักรวรรดิเซนต์เมซิทคือ ตระกูลแอสคาร์ด และตระกูล
เอลริก ในสายตาของคนนอกทั้งสองตระกูลนั้นให้ความสําคัญกับกอง
กําลังทางการทหารมากเกินไป และมักจะมีรสนิยมในการแข่งขันกัน
ด้านยุทโธปกรณ์ แต่พวกเขาก็มีทิศทางการพัฒนาที่แตกต่างกันในฐานะหนึ่งในห้าตระกูลขุนนางชั้นสูงที่ได้รับความไว้วางใจจาก
ราชวงศ์มาช้านาน ตระกูลแอสคาร์ดจึงได้ขยายขนาดของกองทัพด้วย
การเข้าครอบครองดินแดนขนาดใหญ่เมื่อสองร้อยปีก่อน ในแง่ของ
กําลังพล พวกเขาก็เป็นที่หนึ่งในบรรดาห้าตระกูลใหญ่เสมอ ส่วน
ตระกูลเอลริกที่พ่ายแพ้ไปในอดีต พวกเขาจึงกลับมาพร้อมกับความ
ระมัดระวัง
ด้วยที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองเมื่อสองร้อยปีก่อน
การซ่องสุมกําลังพลมากเกินไปก็อาจทําให้ผู้อื่นสงสัยได้ ดังนั้นเพื่อ
หลีกเลี่ยงการแทรกแซงของราชสํานัก กําลังพลของตระกูลเอลริกจึงไม่
เคยเกินหน้าเกินตาตระกูลแอสคาร์ด แต่ในทางกลับกันพวกเขาก็ได้
สร้างป้อมปราการขึ้นมามากมาย
การเกณฑ์ทหารไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมันสามารถเป็นประเด็นให้
ถูกราชสํานักกล่าวโจมตีได้ ต่างจากการสร้างป้อมปราการที่มี
จุดประสงค์ในการป้องกัน มันจึงเป็นการกระทําที่ส่งผลยั่วยุน้อยกว่า
มากในมุมมองของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเพื่อการป้องกันสัตว์อสูร โจร หรือ
เพื่อให้กองทหารรักษาการณ์ประจําการ มีสาเหตุข้ออ้างให้เลือก
มากมายหลายประการเห็นได้ชัดว่าตลอดร้อยปีที่ผ่านมา พฤติกรรมของตระกูลเอลริกมี
เพียงการป้องกันตนเอง และด้วยข้ออ้างเรื่องการรุกรานของพวกกลาย
พันธุ์ ไบรอันจึงได้สร้างป้อมปราการขึ้นสองแห่ง
ป้อมคาโปลริกเป็นป้อมปราการทางการทหารที่สร้างขึ้นโดย
ตระกูลเอลริกมานานกว่า 30 ปีแล้ว มันปิดกั้นพื้นที่ระหว่างเขตการ
ปกครองของตระกูลแอสคาร์ดกับตระกูลเอลริก อุปกรณ์เวทป้องกันภัย
ของมันจึงซับซ้อนมาก และมีทหารประจําการอยู่หลายหมื่นนาย แม้ว่า
มันจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับป้อมปราการทาร์ก แต่อย่างน้อยๆ ก็เป็น
หนึ่งในป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิเซนต์เมซิท
อีกที่หนึ่งก็คือป้อมปราการคราฟ มันถูกสร้างขึ้นในชัยภูมิทาง
การทหารที่สําคัญอีกแห่ง แต่ในแง่ของทิศทางมันก็เชื่อมต่อกับถนน
หลายสาย จึงไม่มีจุดประสงค์กําหนดเป้าหมายไปที่ทางใดทางหนึ่ง ซึ่ง
ต่างจากป้อมปราการคาโปลริกที่ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษสําหรับตระกูล
แอสคาร์ด แสดงให้เห็นถึงความขุ่นเคืองของตระกูลเอลริกที่มีต่อ
ตระกูลแอสคาร์ด
อย่างไรก็ตามน่าเสียดายที่ป้อมปราการแห่งนี้ ซึ่งถูกสร้างมานาน
กว่า 30 ปี กลับไม่ได้มีบทบาทอันสมควรเมื่อถึงเวลาสงครามจริงๆ มัน
กลับถูกยึดภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ ด้วยที่ฝั่ งของคาร์เตอร์นั้นเดินทัพ
เร็วเกินกว่าที่พวกเขาจะรับมือได้ตามเนื้อหาในรายงานการรบ ช่วงเวลาที่ตระกูลเซไซต์ประกาศ
สงครามคือวันที่ 20 ธันวาคม แต่ในความเป็นจริง ตระกูลแอสคาร์ดได้
แอบเคลื่อนพลไปตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม ตรงไปยังสนามรบในวันที่มี
การประกาศสงคราม หลังจากเดินทัพทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน
ในที่สุดคาร์เตอร์ก็ได้กําจัดกองกําลังหลักของตระกูลเอลริกและ
กลายเป็นผู้บัญชาการกองทัพแนวหน้า
แม้ว่านี่อาจจะเป็นการตัดสินใจที่สุ่มเสี่ยง ทว่ามันกลับกลายเป็น
บทบาทสําคัญ เพราะพวกเขาได้พบกับกําลังเสริมของตระกูลเอลริกที่
กําลังจะไปประจําการที่ป้อมคาโปลริก
เนื่องจากการหายตัวไปของไบรอัน สายบัญชาการตระกูลเอลริก
จึงเกิดปัญหา แม้ว่ากองทัพจะอยู่ใกล้ แต่ก็ระดมพลได้ช้า เมื่อถึงวันที่
22 ธันวาคมทัพเสริมของตระกูลเอลริกได้เริ่มออกเดินทางมายังป้อม
ปราการ ทําให้ประชันหน้าเข้ากับกองกําลังของตระกูลแอสคาร์ดที่
เดินทางมายังแนวหน้า
การปะทะกันของกองทัพสองกองทัพได้กลายเป็นสงครามอัน
สั่นสะเทือน แสงไฟมากมายพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ายามราตรี ทุกคนต่างเข้าใจ
ดีว่า ถ้าหากทัพเสริมกลุ่มนี้เข้าไปในป้อมปราการได้ สงครามจะ
กลายเป็นศึกยืดเยื้ออย่างแน่นอน ทําให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายเพิ่มขึ้นโดยไม่จําเป็น ดังนั้นทันทีที่ปะทะกับทัพเสริมของตระกูลเอลริก คาร์เตอร์ก็
ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและเริ่มการโจมตีในทันที
ทหารของแนวหน้าล้วนเป็นทหารชั้นยอด แม้ว่ากองกําลังของ
ตระกูลแอสคาร์ดที่นําโดยคาร์เตอร์ จะมีบทบาทในฐานะทัพเสริม แต่
พวกเขาก็เป็นกลุ่มหัวกะทิที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิเซนต์เมซิท
นอกจากนี้ยังมีกองทัพผู้นับถือลัทธินอกรีตของโรเอลผสมอยู่ด้วย ทําให้
ประสิทธิภาพการต่อสู้และความจงรักภักดีของทหารนั้นสูงมาก แต่ถึง
กระนั้นการเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีกองกําลังมากกว่าหลายเท่า ก็ยังทําให้
พวกเขาตกอยู่ในการต่อสู้อันขมขื่น
หลังจากการสู้รบในคืนแรก แม้ว่ากองทัพที่นําโดยคาร์เตอร์จะ
ขัดขวางการเสริมกําลังพลของศัตรูได้สําเร็จ แต่ก็มีผู้บาดเจ็บมากมาย
โชคดีที่ยังมีกําลังพลที่พร้อมสู้เหลืออยู่บ้าง ทําให้ทหารในป้อมปราการ
ไม่กล้าที่จะเปิดประตู สถานการณ์ยืดเยื้อนี้จึงดําเนินต่อไป และรอคอย
ให้ทัพหลักของตระกูลแอสคาร์ดมาถึง เพื่อที่จะได้ปิดฉากศึกนี้
น่าเสียดายที่ความเป็นจริงไม่ได้ง่ายแบบนั้น ผู้บัญชาการของฝ่าย
ตระกูลเอลริกเองก็ไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ป้อมคาโปลริก
ก็ได้เปิดประตูป้อมปราการ และส่งทหารม้าออกไปสนับสนุนกําลังเสริมตามบันทึกในรายงานการรบ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันตั้งแต่เช้าจรดค�า
มันเป็นการสู้รบที่ดุเดือดอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งอัน
ยอดเยี่ยมของคาร์เตอร์
ทันทีที่อีกฝ่ายเดินทางออกมาจากป้อมปราการขวัญกําลังใจให้
ของฝ่ายเอลริกก็เพิ่มขึ้นมาก ทําให้แม้แต่ทหารชั้นยอดของฝั่ งตระกูล
แอสคาร์ดก็ยังรับมือลําบาก โชคดีที่กองกําลังหลักของเหล่าขุนนางของ
ฝั่ งตระกูลแอสคาร์ด เริ่มมาถึงทีละคนในคืนถัดไป
ตามหลักปกติแล้ว หลังจากสงครามยืดเยื้อทั้งวันทั้งคืน เพื่อรอ
คอยกองกําลังหลัก กองทัพโดยทั่วไปจะพักผ่อนและจัดระเบียบใหม่
ภายใต้การคุ้มครองกองกําลังที่เข้ามาเสริม อย่างไรก็ตามคาร์เตอร์ก็
เลือกจะทําให้อีกฝ่ายประหลาดใจ โดยการขึ้นนํากองทัพเข้าโจมตีค่าย
ของอีกฝ่ายโดยตรงในตอนกลางคืน โจมตีทัพเสริมของฝั่ งตระกูลเอลริก
ที่ต่อสู้มาตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืน
ด้านหนึ่งเป็นทหารที่หมดเรี่ยวแรงจากการต่อสู้ยืดเยื้อ ส่วนอีกด้าน
เป็นกองทหารที่เพิ่งเดินทางไกลมา ทั้งสองฝ่ายจึงไม่มีข้อได้เปรียบ
สําคัญใดๆ และมีเพียงเจตจํานงและความมุ่งมั่นในการต่อสู้ แต่ในเรื่อง
นั้นฝั่ งของตระกูลแอสคาร์ดและคาร์เตอร์กลับแข็งแกร่งกว่าอย่างเห็น
ได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้นกองทัพของตระกูลแอสคาร์ดยังเป็นที่รู้จักกันดีใน
เรื่องเจตจํานงและความมุ่งมั่นในการต่อสู้ตอนกลางคืนป้อมคาโปลริกไม่อาจหาญพอจะเปิดประตูป้อม ทํา
ให้กองทัพของตระกูลแอสคาร์ดไม่ต้องกังวลว่าจะมีกําลังเสริมออกมา
จากป้อมคาโปลริก หลังจากค�าคืนแห่งการต่อสู้อันโหดร้าย ทัพเสริม
ของตระกูลเอลริกก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีอันไม่รู้จบก่อนรุ่งสาง
ได้ และเริ่มที่จะล่าถอยไป เมื่อถึงจุดนี้ ป้อมคาโปลริกก็ได้ถูกทิ้งให้โดด
เดี่ยวโดยสิ้นเชิง ขวัญกําลังใจของทหารลดลงไปเป็นอย่างมาก
ประกอบกับความอ่อนล้าจากสงครามที่เริ่มก่อตัวขึ้น
เดิมทีแล้วทัพเสริมดังกล่าวควรจะมาที่นี่เพื่อเสริมกําลังให้กับป้อม
ปราการคาโปลริก ทว่าทัพเสริมกลับพ่ายแพ้ไปก่อนที่จะมาถึงเสียด้วย
ซ�า เมื่อแทบจะไม่มีการสนับสนุนใดๆ อีก กําลังใจของทหารจึงยิ่งตก
ต�าลง ซึ่งคาร์เตอร์ก็ได้ฉวยโอกาสนี้ และส่งจดหมายชักชวนให้อีกฝ่าย
ยอมจํานน และพากองทหารของพวกเขาไปฝึกซ้อมในบริเวณโดยรอบ
ทุกวันเพื่อขู่เตือน
โรเอลไม่รู้ว่าบิดาของตนทําแบบนั้นไปเพื่ออะไร มันคงจะ
เหมือนกับการหยิบปืนออกมาขู่ แต่ไม่ยอมลงมือฆ่าเสียที หลังจากสอง
สามวันผ่านไป ในที่สุดป้อมคาโปลริกก็ยอมจํานน
ไม่ใช่ว่าทหารของตระกูลเอลริกไม่คิดที่จะต่อต้าน หรือเสบียงใน
ป้อมปราการหมดลง แต่เป็นเพราะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่งที่สุดของป้อมปราการไม่อยู่ที่นั่นแล้ว นั่นก็เพราะเขาถูกคาร์เตอร์ฆ่า
ตายตั้งแต่วันแรกของสงคราม
ป้อมปราการของตระกูลเอลริกพ่ายแพ้โดยสมบูรณ์ กองทัพของ
ตระกูลแอสคาร์ดเปิดประตูและเจาะลึกเข้าไปในเขตการปกครองของ
ตระกูลเอลริกเดินทัพต่อไป ขณะเดียวกัน กองทัพของตระกูลเซไซต์ก็
บั่นทอนป้อมปราการคราฟ ซึ่งช้ากว่าฝั่ งของคาร์เตอร์มาก
โชคดีที่คาร์เตอร์ไม่ได้นิ่งนอนใจ เขานําทัพมุ่งไปทางเหนือร่วมมือ
กับกองทัพของราชสํานักโจมตีเมืองสําคัญอื่นๆ ก่อนจะเข้ามาสมทบตี
ขนาบป้อมปราการคราฟ หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ป้อมปราการคราฟก็แตก
พ่าย ทหารต่างยอมจํานนและผู้บัญชาการก็ชิงฆ่าตัวตาย โรเอลคิดว่าที่
เขาทําไปเพราะความจงรักภักดี แต่หลังจากได้อ่านผลการสอบสวนของ
อัครสาวกในเวลาต่อมา ดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะมีความเกี่ยวข้องอย่าง
ลึกซึ้งกับลัทธิชั่วร้าย และฆ่าตัวตายเพราะความกลัวต่อบาปของตนเอง
ตอนนี้กองทัพของตระกูลแอสคาร์ดและราชสํานักได้ไปถึงเมือง
เอ็ดการ์ เมืองหลวงของตระกูลเอลริกแล้วตั้งแต่สามวันก่อน อย่างไรก็
ตามเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันพวกเขาก็ยังไม่ได้ชนะอีกฝ่าย
ไปซะทีเดียว“เมืองเอ็ดการ์ มันเป็นหนึ่งในเมืองที่มีกองกําลังทหารแข็งแกร่ง
ที่สุดในจักรวรรดิเซนต์เมซิท โชคดีที่ไบรอันถูกสังหารไปแล้ว ข้าจึงคิด
ว่าไม่น่าจะมีอะไรเหนือความคาดหมายหรอก”
ภายในพระราชวังเด็กสาวผมทองมองดูรายงานการต่อสู้ในมือ
หลังจากอาบน�าและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่
งอก โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าเด็กหนุ่มผมสีดําที่มาด้วยกันนั้นกําลังตกอยู่
ในห้วงความคิด หลังจากลังเลอยู่นาน โรเอลก็มองไปทางนอร่าแล้วพูด
เบาๆ
“นอร่า ฉันมีเรื่องอยากจะบอกเธอ”
“หืม มีอะไรงั้นเหรอ? ทําไมเจ้าต้องจริงจังขนาดนั้นด้วย?”
“ฉันอยากไปที่แนวหน้า”
“!”
ทันทีที่เสียงของเด็กหนุ่มดังขึ้น สีหน้าของทูตสวรรค์ผมทองก็
เปลี่ยนไปพร้อมความเงียบงั