ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 495: มันเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกหนี (1)
ด้านนอกพระราชวังของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ลอเรน ฝูงชนที่กําลัง ตื่นเต้นกับการกลับมาขององค์หญิงยังคงไม่สลายตัวลงไป ผู้คนต่างส่ง เสียงดังแสดงความยินดีอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันภายในห้องโถงของ พระราชวัง เด็กหนุ่มผมดําได้เดินไปหยิบรายงานผลการต่อสู้ขึ้นมา พลางมองไปที่เด็กสาวตรงหน้า น่าเสียดายที่องค์หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขา ดูจะไม่ได้มีความสุขเท่าไหร่ ทําให้ที่นี่มีเพียงแต่ความเงียบงัน
‘จะไปที่แนวหน้า’ ประโยคนี้เหมือนกับคําที่มักจะออกมาจากปาก ของผู้กล้าที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มานานหลายปี หรืออัศวินผู้ภักดีต่อ เจ้านายของตน มันเป็นเหมือนบททดสอบเพื่อพิสูจน์ตัวเองสําหรับคน เหล่านั้น แต่สําหรับฝ่ายผู้หญิงที่เป็นห่วงและรักใคร่พวกเขาเหล่านั้น คําพรากจากกันนี้เป็นคําสุดท้ายที่พวกเธอไม่อยากได้ยินที่สุด
แม้ว่าสงครามกลางเมืองในปัจจุบันของจักรวรรดิเซนต์เมซิทจะ ไม่ใช่สงครามยืดเยื้อ แต่มันก็ไม่ใช่สงครามที่จะจบลงได้ในเร็ววันเช่นกัน ช่างเป็นเหตุการณ์ที่เหมาะแก่การสร้างชื่อเสียงอย่างยิ่ง ถึงกระนั้นหัวใจ ของนอร่าก็ยังไม่อาจตกลงยอมรับเรื่องนี้ได้
“…ทําไมล่ะ? ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
“เจ้าไม่จําเป็นจะต้องไปที่แนวหน้าเลยด้วยซ�า ถ้าต้องการความดี ความชอบหรือเกียรติยศละก็ แค่คุณงามความดีที่เจ้าพาข้ากลับมาก็ น่าจะเพียงพอแล้วนี่นา หรือสําหรับเจ้า เจ้าต้องการเกียรติยศที่จับต้อง ได้มากกว่านั้นกัน?”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นอร่าก็กํามือแน่นพร้อมถามออกมาด้วย ความน้อยใจ ซึ่งโรเอลก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เขาเพียงแค่ตอบกลับไป อย่างเคร่งขรึม
“ไม่หรอก สําหรับฉันแล้ว การพาเธอกลับมาถือเป็นเกียรติตลอด ชีวิตที่ฉันจะไม่มีวันลืมไปจนวันตาย เกียรติยศเล็กน้อยอะไรนั่น ไม่ควร ค่าแก่การพูดถึงเลยด้วยซ�า”
“!”
เมื่อได้ยินคําตอบที่คาดไม่ถึงจากโรเอล นอร่าก็เบิกตากว้างด้วย ความตกใจ ความโกรธความน้อยใจใดๆ ก็หายไปมากกว่าครึ่ง เสมือน ว่าพวกมันได้ถูกแปลงไปเป็นอย่างอื่น หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เธอก็ซัก ต่อ
“มันจะไม่เสี่ยงเกินไปหน่อยเหรอ? เจ้าเพิ่งได้รับบาดเจ็บมานะ บาดแผลที่ได้มายังไม่หายดีเลยด้วยซ�า แทนที่จะกังวลเรื่องสงคราม เจ้า สงบสติอารมณ์หยุดรักษาสภาพร่างกายก่อนเถอะ”
“…”
เด็กสาวผมทองลุกขึ้นเดินไปหาโรเอล เอื้อมไปจับมือเด็กหนุ่มไว้ นัยน์ตาของเธอดูอ่อนโยนจนทําให้โรเอลไม่รู้จะปฏิเสธยังไงไปชั่วขณะ
นอร่าในตอนนี้ต่างจากเด็กสาวผู้เข้มแข็งในอดีต ในสายตาของโร เอลแล้วตอนนี้เธอรับมือได้ยากขึ้นมาก เรียกได้ว่าตั้งแต่ที่โรเอลล้มป่วย ความอยากจะเข้ามาปกป้องของนอร่าก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเป็น อาการทางจิตที่เขาต้องพยายามต่อต้าน และเหตุผลหลักในครั้งนี้ ก็เป็น เพราะนอร่านั้นไม่สามารถออกจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้
ด้วยที่พระสังฆราชออกไปร่วมสงคราม นอร่าจึงมีหลายอย่างที่ ต้องรับมือในฐานะองค์หญิง ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย เธอจึง ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเข้าร่วมการต่อสู้ เนื่องจากองค์ชายเคนหาย สาบสูญ ตอนนี้นอร่าจึงเป็นทายาทเพียงคนเดียวของราชวงศ์
ภายในห้อง เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“ขอโทษด้วย แต่ฉันยังหยุดพักไม่ได้ ถึงฉันจะไม่ได้สนใจ ความสําเร็จในสนามรบก็เถอะ แต่มันก็มีบางอย่างที่ฉันอยากจะ ตรวจสอบ”
“อะไรล่ะ? มีอะไรที่สําคัญกว่าสุขภาพของตัวเจ้าเองอีกงั้นเหรอ?”
“ทางเข้าไปยังฐานของสมาคมนักปราชญ์น่าจะอยู่ที่เขตการ ปกครองของตระกูลเอลริก ฉันอยากไปที่นั่นแล้วลองหามันดู”
“!”
เด็กสาวผมทองที่จ้องเข้าไปในดวงตาของเด็กหนุ่มผมดํา จุดประสงค์ที่โรเอลพูดออกมาทําให้นอร่าอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านด้วย ความกลัว เธอยังจําความอันตรายที่โรเอลเผชิญก่อนหน้านี้ได้ดี สิ่งที่ เคาท์แฮงค์ได้เล่าให้เธอฟัง ตัวตนลึกลับซึ่งเป็นผู้นําของสมาคม นักปราชญ์ ‘นักสะสม’
หลังจากที่โรเอลล้มป่วย นอร่าก็ได้ไปถามข้อมูลรายละเอียด เกี่ยวกับการต่อสู้ทั้งหมด และเข้าใจได้ในทันทีว่าไบรอันนั้นอาจจะไม่ใช่ ผู้บงการเบื้องหลังเหตุการณ์นี้ทั้งหมด การสอบสวนผู้นับถือลัทธิชั่วร้าย ที่จับมาได้เองก็ช่วยพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้
ตามที่พวกผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายบอก ‘นักสะสม’ สามารถทํานาย หายนะของป้อมปราการทาร์กล่วงหน้าได้ จากนั้นก็สร้าง ‘ประตู’ ที่ช่วย ให้พวกเขาสามารถเดินทางตรงมายังชายแดนตะวันออกได้ในทันที
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายลึกลับผู้นี้เป็นผู้นําของสมาคมนักปราชญ์ และเป็นคนที่อันตรายอย่างยิ่ง หากโรเอลอยากจะไปยังฐานทัพที่เขา อยู่จริงๆ นอร่าก็มองว่ามันเป็นการกระทําที่ไร้เหตุผลมาก
“ไม่ได้เด็ดขาด!”
ในขณะที่ถ้อยคําปฏิเสธแบบหัวชนฝาถูกโพล่งออก ทันใดนั้นก็มี แสงสว่างปรากฏขึ้นข้างบนพวกเขาทั้งสอง จากนั้นตรวนสีขาวศักดิ์สิทธิ์ ก็ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาในอากาศ พร้อมกับเสียงกระทบกันที่ดังก้องไปทั่ว ห้อง ในที่สุดนอร่าก็ได้ใช้ตรวนทูตสวรรค์อย่างคุ้มค่าเสียที
นอร่าจับโซ่ไว้ก่อนจะดึงโรเอลเข้ามาหา วางขาเรียวยาวบนเก้าอี้ ระหว่างเข่าของเด็กหนุ่มพร้อมจ้องเข้าไปในดวงตาสีทองแล้วพูดอย่าง ไม่พอใจ
“เจ้าคิดจะไปสถานที่ที่อันตรายแบบนั้นด้วยสภาพร่างกายแบบนี้ เนี่ยนะ เรายังไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเลยด้วย ซ�า อย่าเพิ่งคิดที่จะทําอะไรเสี่ยงๆ เลยดีกว่า ตามปกติแล้วเจ้าควรจะ หลีกเลี่ยง สถานการณ์แบบนั้นไม่ใช่รึไง?”
“นั่นมันก็ใช่ แต่บางอย่างก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจะสามารถหลีกเลี่ยงได้ ไม่ ว่าเราจะไม่ชอบแค่ไหน พวกมันก็ยังมาถึงเราแบบไม่ทันตั้งตัว เหมือนกับโศกนาฏกรรมที่ป้อมปราการทาร์กนั่นแหละ”
“…”
คําพูดของโรเอลทําให้สีหน้าของนอร่าเปลี่ยนไป จนทนความเงียบ งันในห้องไม่ได้อีกต่อไป โศกนาฏกรรมที่ป้อมปราการทาร์กเป็นความ
เจ็บปวดในใจที่เธอไม่อยากเผชิญหน้าด้วย และเด็กสาวก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่ สิ่งที่เธอจะหลบหนีไปได้ตลอด แต่การที่เขาคิดจะเอาตัวเข้าไปหา อันตรายอีกครั้งเองก็เป็นสิ่งที่เธอยอมรับไม่ได้เช่นกัน
“ถึงเจ้าจะหลีกเลี่ยงมันไม่ได้ แต่ก็ไม่จําเป็นจะต้องเอาตัวเข้าไปหา นี่นา ถ้าคนคนนั้นคิดจะโจมตีเจ้าอีกครั้งล่ะ? หรือเจ้าคิดว่าตัวเองไม่กลัว อะไรแล้ว หลังจากที่ได้เลื่อนระดับขึ้นเป็นระดับแก่นแท้ 3 ถ้าเจ้าคิด แบบนั้นจริงๆ ละก็ มาสู้กับข้าก่อนเถอะ”
“…ไม่หรอก ช่างมันเถอะ”
“อะไรกัน? ข้าเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าไม่ได้รึไง?”
“ใครมันจะไปเทียบพลังของราชาแห่งทูตสวรรค์ได้กันเล่า? อีก อย่างฉันเองก็ไม่อยากให้อาร์เทเชียกับคนอื่นๆ ต้องเจออะไรแบบนั้นอีก แล้วด้วย และ…ฉันก็ไม่อยากสู้กับเธอเหมือนกัน”
“หึ งั้นไม่ต้องก็ได้…”
หลังจากได้ยินคําพูดของโรเอล นอร่าก็หันหน้าหนีพร้อมแก้มที่แดง ขึ้น ขณะที่ตรวนแสงในมือของเธอคลายลงเล็กน้อย เด็กหนุ่มผมดําจึง เอนหลังลงพิงเก้าอี้ ครุ่นคิดถึงวิธีที่จะโน้มน้าวใจอีกฝ่ายอย่างมีเหตุผล
แม้ว่านอร่าจะเป็นผู้หญิง แต่การฝึกฝนมาเป็นเวลานานก็ทําให้เธอ ไม่ใช่คนที่จะโมโหอะไรง่ายๆ หากไม่มีเหตุผลเพียงพอ อย่างไรก็ตาม หากเป็นแบบนี้ต่อไปโรเอลก็อาจจะต้องติดแหง่กอยู่ที่นี่ ด้วยสถานะ ของนอร่าในฐานะองค์หญิงและผู้พิทักษ์ของเขา ทําให้เธอมีสิทธิที่จะ ทําเช่นนั้น
หลังจากที่นึกถึงการกระทําทั้งหมดของ ‘นักสะสม’ ก่อนหน้านี้ อย่างละเอียด โรเอลก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันรู้ว่าเธอกลัวผู้ชายคนนั้น แต่ฉันไม่คิดว่าจะได้เจอเขาหรอก ถึง ฉันอยากจะเจอเขาก็เถอะ”
“…ทําไมเจ้าถึงมั่นใจเรื่องนั้นกัน?”
“จากการที่ไบรอันต้องใช้สื่อเวทในการเรียกเขา มันทําให้เห็นว่า เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะออกไปยังสนามรบ นอกจากนี้การที่เขาเฝ้าดู ตระกูลแอสคาร์ดมาอย่างลับๆ แต่กลับไม่เคยติดต่อกับพวกเรามาก่อน เลย ทําให้ฉันคิดว่ามันไม่มีทางที่เขาจะเปิดเผยตัวตนง่ายๆ แน่”
“…เขาต้องปกปิดตัวตนงั้นเหรอ?”
หลังจากฟังการวิเคราะห์ของโรเอล นอร่าก็อดไม่ได้ที่จะพึมพํากับ ตัวเอง นัยน์ตาสีไพลินของเธอเต็มไปด้วยความคิด พร้อมกับความกังวล ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างอธิบายไม่ถูก
ผู้นําของสมาคมนักปราชญ์ ‘นักสะสม’เป็นคนที่มีความสามารถใน การแทรกแซงพลังทางสายเลือดและคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกําเนิดของโร เอล แม้ว่าโรเอลจะได้รับการเลื่อนระดับแก่นแท้จนผ่านมันมาได้ แต่ไม่ ว่าจะมองในมุมไหนมันก็ยังแปลกเกินไป
จากประสบการณ์ของนอร่าแล้ว ผู้ที่สามารถทําเรื่องแบบนั้นได้ มักจะเป็นผู้อาวุโสจากตระกูลที่มีพลังทางสายเลือดแบบเดียวกัน และ บรรพบุรุษที่มีสายเลือดผู้แสวงหาราชาแบบโรเอลในตระกูลก็มีเพียงแค่ โร แอสคาร์ดกับวินสเตอร์ แอสคาร์ด ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วมันเป็นไป ไม่ได้เลยที่จะเป็นสองคนนั้น
อย่างไรก็ตาม หากนักสะสมเป็นบรรพบุรุษสองคนที่ว่าจริงๆ พวก เขาก็ไม่จําเป็นจะต้องซ่อนตัวเพื่อเฝ้าดูตระกูลแอสคาร์ดเลยด้วยซ�า เพราะทั้งโรและวินสเตอร์ต่างก็ไม่ได้เป็นนักโทษมีคดีความอะไร และ พวกเขาก็ไม่น่าจะมีความจําเป็นจะต้องสังเกตการเคลื่อนไหวของ ตระกูลตัวเองเลยสักนิด อยากรู้อะไร พวกเขาก็แค่กลับไปที่บ้านของ ตัวเองก็พอแล้ว
การปกปิดตัวตนของอีกฝ่ายก็ยังจะพอมีเหตุผลอยู่บ้าง ถ้ามันเป็น เพราะพวกเขาต้องการจะเข้าร่วมลัทธิชั่วร้ายเพื่อสืบข้อมูลและกลัวว่า มันอาจจะส่งผลกระทบต่อตระกูล ทว่าในความเป็นจริงแล้วนักสะสมได้
โจมตีโรเอลและต้องการที่จะฆ่าเขา ทําให้ขัดแย้งกันกับเหตุผลนี้โดย สิ้นเชิง
อีกหนึ่งในความเป็นไปได้ที่เหลือก็คือ อีกฝ่ายเป็นคนในอดีตอัน ยาวนานย้อนกลับไปในสมัยยุคที่สอง ในสมัยของตระกูลอาร์เด้ ต้นเชื้อ สายของตระกูลแอสคาร์ดที่น่าจะรู้ข้อมูลลับบางอย่างและใกล้ชิดกับ สายเลือดผู้แสวงหาราชา
ข้างในหัวของนอร่านั้นเต็มไปด้วยคําถาม ยิ่งเธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวตนของอีกฝ่ายเป็นอะไรที่ไม่สามารถ หยั่งรู้ได้ ซึ่งขณะเดียวกันนั้น โรเอลเองก็กําลังคิดถึงเรื่องอื่นๆ อยู