ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 496: มันเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกหนี (2)
- Home
- ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END
- บทที่ 496: มันเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกหนี (2)
ศัตรูพยายามหลีกเลี่ยงการถูกเปิดเผยตัวตน ย่อมหมายความว่า เขาควรจะไล่ตามด้วยกําลังทั้งหมดที่มี นี่คือความจริงสากลบนโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของข้อมูล ปัญหาก็คือทําไมศัตรูของเขาถึงต้อง ซ่อนตัวตนอย่างระมัดระวังขนาดนี้ด้วย?
ในกรณีนี้โรเอลคิดว่ามีความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งหากตัวตน ของนักสะสมรั่วไหลออกไปอาจจะทําให้เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ที่จะทําให้เขาเสียเปรียบได้ และอีกอย่างก็คือตัวตนของเขาคือจุดอ่อน และเบาะแสเป็นสิ่งที่คอยคุกคามเขา
ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดโรเอลก็ต้องพยายามอย่างสุดกําลังในการค้นหา ตัวตนของอีกฝ่าย และเวลานี้ก็อาจจะเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุด
“ฉันรู้ว่าเธอเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของฉัน แต่เธอลืมไปแล้ว เหรอ ว่าในเมืองเอ็ดการ์ตอนนี้มีใครอยู่ นอกจากพ่อของฉันแล้ว ก็ยังมี พระสังฆราชจอห์นด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะตามฉันไปไม่ได้ แต่การที่เขาอยู่ แถวๆ นั้น ก็ทําให้ไม่มีที่ไหนจะปลอดภัยไปกว่านี้แล้ว”
“จริงสิ ถ้าท่านปู่อยู่ด้วยละก็…”
นอร่านึกถึงปู่ของเธอด้วยร่างกายที่สั่นเครือ ซึ่งโรเอลก็เอื้อมมือ ออกไปลูบแก้มของเธอ มองตรงเข้าไปยังดวงตาที่ลังเลขององค์หญิง และร้องขอ
“ผู้บงการเหตุการณ์นี้ไม่ใช่ไบรอัน นักสะสมคือคนที่อยู่เบื้องหลัง เหตุการณ์ทั้งหมด ถ้าเราจัดการเขาไม่ได้ เรื่องพวกนี้ก็จะไม่มีวันจบสิ้น เขาคิดจะเริ่มต้นแผนการทําให้โลกนี้วุ่นวายด้วยการตายของเธอ และ โจมตีเธอ และฉันก็อยากจะแก้แค้นในเรื่องนี้”
“!”
เสียงที่อ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยโทสะรวมถึงดวงตาอันแน่วแน่ที่เผย ให้เห็นความเกลียดชังของโรเอล ทําให้นอร่าตกใจเล็กน้อย ความร้อน เริ่มแผดเผาข้างในหัวใจของเธอ ทําให้เธอไม่สามารถพูดคําพูดเชิงลบ ได้อีก
หลังจากพูดคุยกันต่อสักพัก ในที่สุดองค์หญิงก็ถอนหายใจ เธอเอน ศีรษะลงบนไหล่ของเด็กหนุ่มราวกับยอมแพ้และกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู ของเขา
“ห้ามเสี่ยงเด็ดขาด นี่คือคําสั่ง”
“อืม ฉันสัญญา”
โรเอลผงกศีรษะและให้คําตอบอย่างจริงจัง หลังจากเงียบไปครู่ หนึ่ง ทั้งสองก็แบ่งปันความอบอุ่นผ่านอ้อมกอด
————————————————– —
หลังจากอยู่กับนอร่าสองสามชั่วโมง หลังจากที่ฝูงชนเริ่มทยอย กลับกันไป โรเอลก็เดินออกจากพระราชวังไปที่คฤหาสน์เขาวงกตใน เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ที่พํานักของตระกูลแอสคาร์ดซึ่งเป็นรองเพียงแค่ คฤหาสน์ของตระกูลในเขตการปกครองแอสคาร์ดเท่านั้น ที่นี่ทุกอย่าง ยังเหมือนเดิมเหมือนเมื่อก่อน อย่างไรก็ตาม มันก็ยังแตกต่างจากที่ พระราชวัง ที่นี่ไม่มีรายงานสงครามและรายละเอียดอื่นๆ ของสงคราม อยู่
แม้ว่าคฤหาสน์เขาวงกตจะมีความสําคัญ แต่ก็ไม่ใช่สถานที่ ทางการทหาร อีกทั้งยังไม่มีสมาชิกตระกูลแอสคาร์ดอยู่ที่นี่ มันจึงไม่ รวมอยู่ในระบบการส่งข้อมูลทางการทหาร โรเอลรู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นเขาจึง ไม่ได้มีข้อตําหนิอะไร และแม้ว่าเขาจะโน้มน้าวใจนอร่าสําเร็จแล้ว เขาก็ ไม่คิดจะไปจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ในทันที
สาเหตุแรกก็คือ นอร่าบังคับให้โรเอลต้องพักฟื้ นเป็นเวลาสามวัน ส่วนอีกเหตุผลที่สําคัญก็คือการจัดสรรเวลาการพักผ่อนและปรับ โครงสร้างให้กับกองทัพผู้นับถือลัทธินอกรีต อีกทั้งยังต้องจัดการกักขัง และสอบปากคําของพวกลัทธิชั่วร้ายที่จับมาได้ด้วย
หลังจากเดินทางมาหลายพันไมล์ และผ่านการต่อสู้เสี่ยงชีวิตอัน ดุเดือด กองทัพผู้นับถือลัทธินอกรีตควรจะได้รับการพักผ่อน ความอ่อน ล้าที่สะสมในตัวพวกเขานั้นอยู่ไกลเกินกว่าจะจินตนาการได้จริงๆ หาก ไม่ได้เป็นเพราะว่าสมาชิกทั้งหมดเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ระดับแก่นแท้ 5 ขึ้นไป ประกอบกับหัวหน้าของพวกเขาสองคนที่ เชี่ยวชาญการเดินทางในป่า ส่วนอีกคนเป็นทหารรับจ้าง การเดินขบวน อันเร่งรีบเช่นนี้คงจะเป็นไปไม่ได้
อันที่จริงแล้ว ในช่วงสุดท้ายของการเดินทาง หลังจากเข้าสู่อาณา เขตของจักรวรรดิเซนต์เมซิทแล้ว อัครสาวกบางคนถึงกับไม่สามารถ เดินทางต่อได้ และขอหยุดพักชั่วคราวที่เมืองต่างๆ ระหว่างทาง ทําให้ พวกเขาบางคนไม่สามารถกลับมาได้ในวันเดียวกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การเดินทางกลับครั้งนี้เป็นไปอย่างเร่งรีบแค่ไหน
เวลาพักสามวันในมุมมองของโรเอลนั้น ค่อนข้างจะสั้นไปหน่อย สําหรับร็อดนีย์กับคนอื่นๆ เขาจึงคิดอาจจะพากองทัพลัทธินอกรีต ติดตามไปด้วยในครั้งนี้ แต่เมื่อได้ไปลองสอบถามกับซินเทีย ทุกคนต่าง ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะติดตามไปด้วยโดยไม่มีการคัดค้านใดๆ
“ท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์ โปรดให้ลัทธิความแน่วแน่ได้ตามไปปกป้อง ท่านด้วยเถอะ นี่ไม่ใช่แค่พระประสงค์จากเทพเจ้าของพวกเรา แต่ยัง เป็นความปรารถนาส่วนตัวของพวกเราอีกด้วย …ในช่วงเวลาวิกฤต
เช่นนี้ พวกเราต้องการที่จะเป็นหนึ่งในผู้นําทัพของตระกูลแอสคาร์ด เข้าร่วมสงครามต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีของตนเอง”
“พวกเราในลัทธิความแข็งแกร่งเองก็คิดแบบเดียวกันขอรับ พวก เราไม่เคยกลัวการต่อสู้ มันคงจะดีกว่าที่จะให้สงครามครั้งนี้กลายเป็น โอกาสที่พวกเราจะได้พิสูจน์คุณค่าของตัวเอง”
“…เข้าใจแล้ว”
เมื่อซินเทียกับวู้ดพูดแบบนั้น โรเอลก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า ช้าๆ ยอมรับการตัดสินใจของพวกเขา
กองทัพผู้นับถือลัทธินอกรีต แม้ว่าจะเป็นกองทัพส่วนตัวของโร เอลในสังกัดตระกูลแอสคาร์ด แต่ด้วยสถานะที่เป็นผู้นับถือลัทธินอกรีต ก็ทําให้มีปัญหาหลายๆ อย่างอยู่มากในด้านของจุดยืน หากพวกเขา ไม่ได้ติดตามโรเอลไปที่แนวหน้าด้วย พวกเขาก็อาจจะถูกด้อยค่าลงไป อีก
นอกจากนี้แล้วสงครามครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีสําหรับกองทัพลัทธิ นอกรีตที่จะรวมเข้ากองทัพของจักรวรรดิเซนต์เมซิทได้จริงๆ ไม่มีความ ดีความชอบอะไรน่าเชื่อมากไปกว่าผลงานในสงคราม และโรเอลเองก็ ปฏิบัติต่อพวกเขาเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ทําให้ซินเทียและคนอื่นๆ ต้องการติดตามเด็กหนุ่มคนนี้ไปยังสนามรบ
หลังจากที่ได้รู้ถึงความคิดของทุกๆ คน โรเอลก็ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ และได้ปล่อยให้ทุกคนไปพักผ่อนตามปกติ
เมืองเอ็ดการ์ เป็นเมืองหลวงของเขตการปกครองตระกูลเอลริก และเนื่องจากมันเป็นฐานทัพหลักของตระกูลเอลริก มันจึงได้รับการ ป้องกันอย่างแน่นหนาและมีกําลังรบมากมาย เรียกได้ว่าเป็นสมรภูมิที่ โหดหินมากๆ จนแม้แต่คาร์เตอร์ก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นเป้าหมายที่ยากจะ พิชิต
การรบพุ่งถึงขีดจํากัดแล้ว ตระกูลเอลริกได้เริ่มฟื้ นตัวกลับมาตั้งตัว ได้ ทําให้รายงานผลการรบคาดการณ์ว่าสงครามนี้อาจจะยาวนานไม่ถึง ต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่ถึงแม้ว่ามันจะยืดเยื้อลากยาวไปถึงจุดนั้น นี่ก็ยังถือ เป็นสงครามที่จบลงอย่างรวดเร็วในประวัติศาสตร์ของทวีปเซีย
สําหรับสงครามกลางเมืองระหว่างตระกูลขุนนางใหญ่ มักจะกิน เวลานานสามถึงห้าปีในทวีปเซีย บางครั้งทั้งสองฝ่ายอาจใช้เวลาหนึ่งปี หรือครึ่งปีในการจัดขบวนทัพ และถ้าหากเป็นสงครามระหว่าง อาณาจักร ระยะเวลาก็จะยิ่งยาวนานขึ้นไปอีก โดยสถิติสงครามยืดเยื้อ ยาวนานที่โด่งดังที่สุดก็คือสงครามปฏิวัติเมืองโรซ่า ซึ่งต่อสู้มานานกว่า ร้อยปี เด็กหนุ่มกลายเป็นชายชรา ทหารชั้นผู้น้อยกลายเป็นนายพล แต่ ถึงกระนั้นการต่อสู้ก็ยังไม่จบ
กองทหารนอกรีตอาจจะเข้าร่วมสงครามช้ากว่ากองกําลังอื่นๆ แต่ ก็น่าจะเหลือศัตรูให้สู้เพื่อสร้างผลงานอยู่บ้าง และบางทีพวกเขาก็… อาจจะได้พบกับศัตรูที่คาดไม่ถึง
โรเอลนั่งบนเก้าอี้ในห้องสมุดของคฤหาสน์เขาวงกต นึกถึงข้อมูล ในรายงานการต่อสู้ที่เขาได้อ่านมาจากพระราชวัง และอดไม่ได้ที่จะ รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
เหตุผลที่เขตการปกครองของตระกูลเอลริกถูกเรียกว่าพรมแดน ก็ เพราะว่ามันอยู่ในจุดกึ่งกลางบริเวณชายแดนของทั้งสามอาณาจักร นอกเหนือจากจักรวรรดิเซนต์เมซิทที่เป็นฝั่ งพรมแดนหลักแล้ว มันก็ยัง เชื่อมต่อกับพรมแดนของอีกสองอาณาจักร นั่นก็คืออาณาจักรแห่งภาคี อัศวินเพนเดอร์และจักรวรรดิออสทีน เนื่องจากมีการโต้เถียงกันอย่าง ต่อเนื่องเกี่ยวกับภูมิประเทศนี้ และที่ดินไม่อุดมสมบูรณ์ จึงไม่มีใคร ต้องการมัน ส่งผลให้ตระกูลเอลริกถูกเนรเทศไปที่นั่น
ด้วยตําแหน่งทางภูมิศาสตร์นี้อันยุ่งยากนี้ ทําให้ทั้งทางราชสํานัก และตระกูลแอสคาร์ด ไม่สามารถตามสืบข้อมูลต่างๆ จากตระกูลเอลริก ได้ ทําให้ข้อมูลส่วนมากเกี่ยวกับตระกูลเอลริกถูกปกปิดมาช้านาน จึงมี เพียงสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาเท่านั้นที่มีมัน
อย่างไรก็ตาม จากรายงานผลการรบล่าสุด จักรวรรดิออสทีนซึ่งไม่ คิดจะแยแสต่อพื้นที่นี้มาโดยตลอด จู่ๆ ก็ได้ระดมกองทัพออกมา ต่าง
จากอาณาจักรแห่งอัศวินเพนเดอร์ที่ตั้งกองทัพไว้เพียงเพื่อที่จะรักษา ชายแดนของตน จักรวรรดิออสทีนกําลังเริ่มรวบรวมกําลังพลเพื่อทํา อะไรบางอย่าง
ความหนาแน่นของกองทัพที่แม้แต่คนธรรมดาๆ ทั่วไปก็ดูออกว่า มันเป็นสัญญาณก่อนการโจมตี แม้โรเอลจะไม่รู้ว่าทางฝ่ายจักรวรรดิออ สทีนนั้นกําลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าสิ่งต่างๆ คงไม่จบลงง่ายๆ แน่
“องค์จักรพรรดิลูคัสกําลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ?”
เด็กหนุ่มผมดําพึมพําด้วยสีหน้าเคร่งเครียดถึงเมฆแห่งสงครามที่ กําลังจะมาถึง และปริศนามากมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง