ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 498: แยกจากกันชั่วคราว (2)
แม้ว่าเขตการปกครองของตระกูลเอลริกจะเป็นจุดพรมแดนของ ทั้งสามอาณาจักรในแง่ยุทธศาสตร์ แต่มันก็ไม่ใช่พื้นที่ที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะมันเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างจืดชืด อีกทั้งยังเป็นที่ราบที่เอื้อต่อการ บุกโจมตีด้วยทหารม้า ถึงจะมีภูเขาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้สูง และไม่มีสิ่งใด ขวางกั้นตามธรรมชาติ
ช่วงเวลาที่ส่งตระกูลเอลริกมาที่นี่เมื่อสองร้อยปีก่อน เป็นยุคที่ ความขัดแย้งระหว่างจักรวรรดิเซนต์เมซิทกับจักรวรรดิออสทีนรุนแรง ที่สุด ตระกูลเอลริกจึงถูกส่งให้มาขวางสงครามระหว่างสองอาณาจักร ทอดทิ้งไว้ให้คอยชะลอกองทัพของศัตรู เพื่อทางอาณาจักรจะได้เริ่ม ขยายกองทัพ และเริ่มงานก่อสร้างป้อมปราการขนาดใหญ่ แต่ถึง กระนั้น ดินแดนนี้ก็ยังมีความสําคัญเพียงเล็กน้อยในมุมมองทาง การทหาร
ในแง่มุมมองเชิงภูมิศาสตร์ เขตการปกครองเอลริกนั้นธรรมดามาก แม้ว่ามันจะไม่ได้แห้งแล้ง แต่ก็ไม่ใช่ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์มากพอจะ ดึงดูดความสนใจของจักรวรรดิออสทีน ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดได้ แน่ อีกทั้งยังที่นี่ไม่ได้มีเหมืองทองคําใต้ดินหรือแร่ธาตุที่หายากอะไร
ในแง่ของผู้คนแล้ว ไม่ว่าคนของจักรวรรดิเซนต์เมซิทจะอยู่ที่ใด พวกเขาก็จะต่อต้านจักรวรรดิออสทีนเสมอ ในสายตาของชาวออสทีน
พวกเขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องกําลังพลเช่นกัน จักรวรรดิออสทีนไม่เคยขาด แคลนทรัพยากรมนุษย์ อีกอย่างหลังจากการรุกรานครั้งสุดท้ายของ พวกกลายพันธุ์ผ่านมากว่าร้อยปี สันติภาพก็ได้มาถึงมนุษยชาติ ทําให้ ทุกอาณาจักรเนืองแน่นด้วยประชากร
แน่นอน มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว อันที่จริงหลังจากที่ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มานานหลายวันแล้ว ประกอบกับ ข่าวกรองมากมาย บรรดานักวิเคราะห์ของจักรวรรดิเซนต์เมซิทก็ได้ สันนิษฐานเหตุผลออกมาอย่างไม่เต็มใจ นั่นก็คือตระกูลเอลริกได้ขอ ความช่วยเหลือจากตระกูลไซส์ในจักรวรรดิออสทีน
ตระกูลไซส์ไม่ใช่แค่ตระกูลทั่วๆ ไป แต่พวกเขาเป็นตระกูลที่มี อิทธิพลมากในทวีปเซีย เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะพวกเขาเป็นตระกูลด ยุคของจักรวรรดิออสทีน ตั้งแต่สมัยที่อพยพมายังทิศตะวันตก เป็นหนึ่ง ในตระกูลขุนนางชั้นสูงเพียงไม่กี่ตระกูลที่ได้รับอํานาจอันยิ่งใหญ่ เส้นทางการเติบโตของพวกเขาค่อนข้างคล้ายกับเส้นทางของตระกูล มิลตันของแม่ชาร์ล็อต
หลังสงครามกับพวกกลายพันธุ์ครั้งที่ 4 ความขัดแย้งระหว่างทั้ง สองอาณาจักรก็เริ่มคลี่คลายลง ทําให้คนของตระกูลเอลริกได้แต่งงาน กับคนของตระกูลไซส์ที่อยู่ใกล้เคียง ดังนั้นทั้งสองตระกูลจึงมี
ความสัมพันธ์กันทางสายเลือด แต่ความสัมพันธ์นี้ถือเป็นเรื่องที่ ธรรมดามากๆ ในแวดวงขุนนาง
“ถึงแม้คนของตระกูลเอลริกจะเคยแต่งงานกับตระกูลไซส์เมื่อ หลายสิบปีก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจดหมายขอความช่วยเหลือที่ อ้างถึงความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลทั้งสองจะทําให้ฝั่ งนั้นส่งกองกําลัง สนับสนุนมา นับประสากับในกรณีนี้ที่ตระกูลเอลริกเกี่ยวข้องกับลัทธิชั่ว ร้าย”
“ไบรอันสามารถฆ่าแม้กระทั่งลูกชายของเขาเอง ใครจะไปอยากมี ความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับคนประเภทนี้ได้ ยิ่งเป็นขุนนางชาวออ สทีนผู้หยิ่งผยองด้วยแล้ว”
เด็กสาวผมทองวางข้อมูลที่จัดเรียงบนโต๊ะพร้อมอธิบาย ซึ่งโรเอ ลก็พยักหน้าเมื่อได้ยินคําพูดนั้น ตระกูลเอลริกในวันนี้แม้ว่าจะยังไม่ได้ พ่ายแพ้โดยสมบูรณ์ แต่พวกเขาก็มาถึงจุดที่กําลังจะล่มสลายเต็มที เนื่องจากการเสียชีวิตของไบรอัน การช่วยเหลือพวกเขาจึงดูจะไม่มี ประโยชน์อะไรเลย
โศกนาฏกรรมของป้อมปราการทาร์กเพิ่งผ่านมาเป็นเวลาเพียง ไม่กี่เดือน และหลายอาณาจักรต่างก็ให้ความสนใจอย่างมากกับเรื่องนี้ ตราบใดที่เหตุการณ์ยังไม่สงบลง เรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ก็อาจจะ กลายเป็นสงครามระหว่างสองอาณาจักรได้ มันเป็นอะไรที่แม้แต่
ตระกูลไซส์ก็ไม่สามารถรับมือได้ด้วยตัวเอง ทําให้เห็นได้ชัดว่าพวกเขา ก็น่าจะได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดิของจักรวรรดิออสทีน ซึ่งเป็น จุดที่โรเอลสับสนมากที่สุด
ในฐานะผู้ปกครองอาณาจักรของมนุษยชาติ ทําไมจักรพรรดิลูคัส ผู้มีชื่อเสียงที่ดีมาโดยตลอด ถึงคิดจะทําอะไรแบบนี้? มีอะไรจะสําคัญ มากไปกว่าการป้องกันการบุกรุกของพวกกลายพันธุ์อีกงั้นเหรอ?
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน โรเอลก็ส่ายหัวและทําสมองให้ว่าง พวก เขามีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยเกินไป อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่โรเอล มั่นใจก็คือ การโค่นเมืองเอ็ดการ์คือจุดที่สําคัญที่สุด
ตราบใดที่เมืองเอ็ดการ์พ่ายแพ้ ไม่ว่าจะเป็นสงครามในอนาคต หรือแผนการสมรู้ร่วมคิดของจักรวรรดิออสทีน พวกมันก็จะหายไปกับ สายลม อีกทั้งเขาก็อาจจะได้เบาะแสเกี่ยวกับชายปริศนามาด้วยใน ระหว่างนั้น
เมื่อมองไปที่เมืองเอ็ดการ์ ซึ่งอยู่ใจกลางเหตุการณ์ทั้งหมด บนแผน ที่และความลึกลับนับไม่ถ้วนที่แฝงอยู่ภายในนั้น ดวงตาสีทองของโรเอล ก็หรี่ลงเล็กน้อย อารมณ์ของเขาล่องลอยไปในระยะไกลเต็มไปด้วยการ คาดเดาต่างๆ
———————————-
หลังจากระยะเวลาพักสามวัน การเตรียมการอย่างเร่งด่วนของโร เอลและกองทัพลัทธินอกรีต ก็ทําให้พวกเขาพร้อมที่จะเดินทางไป สนับสนุนกองทัพผสมที่แนวหน้าแล้ว แต่ผู้ที่ติดตามเด็กหนุ่มไปไม่ได้มี แค่เหล่านักรบลัทธินอกรีตเท่านั้น ยังมีอัครสาวกอีกเป็นจํานวนมาก ติดตามเขามาด้วย และเดินทางออกไปพร้อมๆ กัน
ตามที่นอร่าบอก แม้ว่ามันจะเป็นความตั้งใจของโรเอลที่จะมุ่งหน้า ไปยังเมืองเอ็ดการ์ในครั้งนี้ แต่ที่นั่นก็เป็นสํานักงานใหญ่ของสมาคม นักปราชญ์ เรื่องนี้จึงอยู่ในขอบเขตการทํางานของเหล่าอัครสาวกโดย ธรรมชาติ
เด็กหนุ่มผมดําไม่รู้ว่าจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร แต่เขาก็ไม่ได้ ปฏิเสธ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของอัครสาวกเป็นที่ชัดเจนสําหรับทุกคน นอร่าก็แค่ให้องครักษ์เพิ่มมา ซึ่งโรเอลก็ยอมรับน�าใจนี้ นอกจากจะเป็น การเพิ่มความแข็งแกร่งของกองทัพแล้ว ก็ยังทําให้เธอสบายใจขึ้นไป พร้อมๆ กัน
อย่างน้อยๆ เพื่อเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยให้กับนอร่า โรเอลคิดว่ามี บางสิ่งที่เขาควรทํา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการใช้เวลาวันสุดท้ายที่เมือง หลวงศักดิ์สิทธิ์กับเธอ แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือนอร่าจะทําอะไรใน ลักษณะนี้
ตรวนข้อมือสีขาวบริสุทธิ์ทําให้เด็กหนุ่มกุมขมับอย่างช่วยไม่ได้ ใน ฐานะองค์หญิงที่มีสองหน้ามาตั้งแต่วัยเด็ก ภาพลักษณ์ภายนอกของนอ ร่านั้นเป็นองค์หญิงผู้สมบูรณ์แบบมั่นคงมาโดยตลอด หากมีใครเห็นทั้ง สองถูกล่ามโซ่ไว้ด้วยกันล่ะก็ อาจจะทําให้ความลับของเธอถูกเปิดเผย แต่โรเอลนั้นก็ไม่มีทางเลือกอะไรอยู่ดี
“หืม? ทําไมเจ้าต้องกลัวขนาดนั้นด้วย? นี่มันของขวัญวันเกิดที่เจ้า ให้ข้าเองนะ มันอันตรายมากรึยังไง?”
“ฉันไม่ได้กลัวเรื่องนั้นซะหน่อย ฉันก็แค่ไม่อยากถูกใครเข้าใจแบบ ผิดๆ ว่าเป็นคนโรคจิตที่บังคับให้องค์หญิงทําอะไรแบบนี้”
“ฮิๆ ขัดขืนแต่ไม่ต้องการให้ใครเห็นงั้นเหรอ? ช่างมันเถอะ ข้า เข้าใจ ปกติแล้วข้าเองก็มักจะแสร้งทําเป็นว่าสมบูรณ์แบบ เอ้า… อ้า ปากซะสิ”
“…”
นอร่าเอาส้อมจิ้มอาหารยื่นไปที่ปากของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน พร้อมยิ้มอย่างมีความสุข โรเอลเงียบอยู่นานก่อนจะถอนหายใจ แล้วให้ ความร่วมมือก่อนจะยอมอ้าปากกินอาหารแต่โดยดี
ในฐานะนักชิมอาหารที่มีคุณสมบัติอันเพียบพร้อม เด็กหนุ่มเชื่อว่า อาหารนั้นบริสุทธิ์และไม่มีความผิดใดๆ ที่สําคัญกว่านั้น ที่นี่มีชุด ช้อนส้อมบนโต๊ะเพียงชุดเดียว และมือของเขาก็ถูกล่ามโซ่เอาไว้
การป้อนอาหารเป็นงานอดิเรกใหม่ที่เพิ่งตื่นขึ้นของนอร่า ตั้งแต่ที่ เธอกลับมาจากชายแดนตะวันออก ต่างจากการป้อนอาหารคนอื่นของ โรเอลในอดีต นอร่าต้องการจะสนองความชอบของตัวเองด้วยการ กระทําเล็กๆ น้อยๆ ที่มักจะทําให้เด็กหนุ่มหน้าแดง
เมื่อมองไปยังทูตสวรรค์ที่กําลังทัดผมหลังใบหูและแลบลิ้นออกไป เลียส้อมเบาๆ ก่อนป้อนอาหาร โรเอลก็อดลอบมองด้วยใบหน้าแดงก�า พร้อมตั้งข้อสงสัยไม่ได้
“ทําไมต้องเลียส้อมด้วยล่ะ?”
“เจ้ายังต้องถามอีกเหรอ ก็เพราะว่าข้าจะได้ชิมทุกคําไง”
“…จูบตรงๆ ก็ได้นะ ยังไงช่วงนี้ก็ทําบ่อยอยู่แล้วนี่”
เมื่อได้ยินคําพูดของโรเอล นอร่าก็หน้าแดงแปร๊ดขึ้นมาทันใด เด็ก สาวอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ พลางคิดว่าการเลื่อนขั้นทางสายเลือด ทําให้ตัวเธอเปลี่ยนไปมาก แต่พอได้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเธอก็ยังส่ายหน้า ปฏิเสธ
“มันต่างกันนะ จูบตรงๆ มันก็ดีอยู่หรอก แต่แบบนั้นมันก็บังคับกัน เกินไปนี่นา เจ้าต้องกินอาหารที่มีรสชาติเหมือนของข้าด้วย แบบนั้นถึง จะถูก”
“…เธอนี่มัน ช่างเถอะ แต่ทําแบบนี้คนใช้จะไม่สงสัยกันเหรอ ว่า ทําไมมีชุดช้อนส้อมแค่ชุดเดียวอะไรทํานองนั้น?”
“อืม ไม่เป็นไรหรอกน่า มีอารู้งานอดิเรกของข้าดี หลังจากพบเจ้า ข้าก็ควบคุมมันไม่ได้อยู่บ่อยๆ”
“…”
ทูตสวรรค์ผมทองลูบแก้มของตัวเองพลางพูดอย่างอิ่มเอมใจ เมื่อ เห็นท่าทีของนอร่า โรเอลก็ไม่โต้แย้งใดๆ
เหตุการณ์ที่ป้อมปราการทาร์กและสงครามกลางเมือง หลังจาก ประสบกับสิ่งต่างๆ มากมาย นอร่าก็น่าจะเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ แม้ว่าวิธีการนี้จะดูแปลกไปสักหน่อย แต่ตราบใดที่มันช่วยลดความ กดดันของเธอ โรเอลก็คิดว่ามันไม่ได้หนักหนาอะไร
อาหารอร่อยๆ ทําให้เด็กหนุ่มไม่ได้รู้สึกอยากขัดขืนมากนัก ซึ่งนั่นก็ ทําให้นอร่าแสดงรอยยิ้มอันอบอุ่นออกมา หลังจากเวลาอาหารมื้อเย็น จบลง ทั้งสองคนก็ออกไปเดินเล่นด้วยกัน ใช้ช่วงเวลาแห่งความสุขที่หา ได้ยากนี้ร่วมกัน จนกระทั่งเวลาแห่งการบอกลามาถึง
“สัญญานะว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“อืม ฉันเองก็ยังไม่อยากตาย ไม่ต้องห่วง ฉันจะระวังตัว”
“เจ้าห้ามพูดเรื่องไม่ดีโดยเด็ดขาด ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่ถ้า เกิดอะไรขึ้น เข้าใจไหม?”
“อา ฉันรู้แล้ว”
หลังจากโรเอลเข้ามา นอร่าก็จูบอีกฝ่ายเบาๆ พร้อมเผยรอยยิ้ม บางที่ยิ้มมุมปาก ซึ่งหลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นการจูบอันร้อนแรงแทน เมื่อสมใจแล้วองค์หญิงก็สงบลงเล็กน้อย
“…กลับมาให้ไวกว่ากําหนดการละ”
“งั้น ฉันไปละนะ”
เช่นเดียวกับครั้งก่อนที่เขาออกไปยังสนามรบ เด็กหนุ่มผมดําพยัก หน้าเล็กน้อย เหลือบมองเด็กสาวอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นก็หันหลังเดิน ออกจากพระราชวังไป