ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 501: พรของเทพเจ้าแห่งการรบ
เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ลอเรน จักรวรรดิเซนต์เมซิท
โรเอล แอสคาร์ดขี่ม้าไปพร้อมกับกองทัพลัทธินอกรีตและอัคร
สาวกเพื่อมุ่งหน้าไปยังประตูเมือง
ทหารเหล่านี้เป็นคนกลุ่มเดียวกันกับก่อนหน้านี้ที่พานอร่ากลับมา
และถูกรุมล้อมไปด้วยผู้คน ทว่าเมื่อพวกเขาเดินทางออกไปด้วยท่าทีที่
เงียบสงบและสวมชุดนักรบ พื้นที่โดยรอบก็เงียบสงบเสียจนไม่มีใครรู้
ว่าพวกเขากําลังจะไปที่ไหน
นักรบที่แท้จริงมักจะเป็นแบบนี้ พวกเขามักจะเฝ้าอยู่ในตําแหน่ง
ของตนเงียบๆ สร้างความเจริญรุ่งเรืองจากเบื้องหลัง ในโลกที่พลัง
เหนือธรรมชาติมีให้พบเห็นอยู่ได้ทั่วไปเช่นนี้ เบื้องหลังความสงบมักจะ
ต้องแลกด้วยอะไรเสมอตามหลักการของทวีปเซีย
อย่างไรก็ตาม โชคดีที่กองทัพลัทธินอกรีตไม่ใช่กองกําลังอันทรง
พลังที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนหมู่มากอยู่แล้ว และเหล่าอัครสาวกเอง
ก็คุ้นเคยกับความเงียบเป็นอย่างดี ทุกคนจึงค่อนข้างมีความสุข มันเป็น
เรื่องยากที่จะเห็นอะไรแบบนี้ในกองทัพที่กําลังจะมุ่งไปสู่สนามรบ แต่
โรเอลก็เข้าใจดีว่าทําไม
ก็เพราะว่าคนเรามีประสบการณ์ไม่ว่าจะเป็นลัทธิความแน่วแน่ที่เชี่ยวชาญในงานทหารรับจ้าง หรือ
ลัทธิความแข็งแกร่งที่อาศัยอยู่ภายในวงล้อมของเหล่าลัทธิชั่วร้าย พวก
เขาล้วนมีภูมิต้านทานต่อความกลัวความตาย สภาพแวดล้อมอัน
เลวร้ายทําให้พวกเขามีความสามารถที่จะรับแรงกดดันได้ดี สําหรับ
เหล่าอัครสาวกแล้ว พวกเขาก็มีความศรัทธาในเทพีเซียมากที่สุด แต่ก็มี
อัตราการเสียชีวิตสูงที่สุดในบรรดาตําแหน่งต่างๆ ของโบสถ์แห่งเทพี
ผู้สร้าง
ในสายตาของเหล่าทหารหนุ่ม สนามรบคือนรกหนทางสู่ความตาย
แต่ในสายตาของคนเหล่านี้ ความตายไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับไม่ได้
ความหมายในการต่อสู้และวิธีการตายต่างหากคือสิ่งที่พวกเขาให้
ความสําคัญ กองทหารลัทธินอกรีตกระหายการยอมรับ ความรุ่งโรจน์
และความยุติธรรม ส่วนเหล่าอัครสาวกเองก็หวังว่าตัวเองจะได้ใช้
ช่วงเวลาสุดท้ายของตนกําจัดความชั่วร้ายและกลับสู่อ้อมกอดของ
เทพีเซียหลังความตาย
ไม่ว่าจะแข็งแกร่งหรือไม่ กองทัพใดก็ตามที่มีจิตวิญญาณเช่นนี้ถือ
เป็นกองทัพที่เชื่อมั่นในผลลัพธ์ได้ เพราะในสนามรบ ประสบการณ์และ
อาวุธยุทธโธปกรณ์ต่างก็สามารถพัฒนาเก็บเกี่ยวได้ แต่หัวใจอันแน่ว
แน่นั้นยากที่จะเรียนรู้ คนที่มีมันย่อมเป็นนักรบที่แท้จริงทั้งกลุ่มเดินผ่านประตูเมืองอย่างเงียบงัน ผ่านสายตาของผู้คนบน
ถนนในบริเวณใกล้เคียง เด็กที่ผ่านไปผ่านมาคิดว่าพวกเขาเป็นเพียง
กองคาราวาน และเข้ามาขอเหรียญทองแดง
คนพวกนั้นไม่รู้เลยด้วยซ�าว่าหญิงสาวร่างสูงที่โยนกระเป๋าใบเล็ก
ให้พวกเขา มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับนายพล ส่วนชายชราที่มอง
พวกเขาด้วยรอยยิ้มเองก็เป็นทหารที่ได้รับพรจากเหล่าทวยเทพ และมี
เพียงยามที่เฝ้าประตูเมืองเท่านั้นที่รู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ อันเย็นยะ
เยือก และเข้าใจว่าผู้คนกลุ่มนี้แตกต่างจากทหารทั่วๆ ไปมาก
ทุกคนในกลุ่มนี้ต่างก็ไม่ใช่คนธรรมดา ทุกคนมีความพิเศษ และ
ล้วนเป็นนักรบที่มีระดับแก่นแท้ 5 หรือสูงกว่านั้น คนทั่วไปอาจจะมอง
ไม่ออก แต่ในสายตาของทหารมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะมี
กองทัพแบบนี้ แม้แต่ในกองทัพของชนชั้นสูงในจักรวรรดิ อัศวินของ
พวกเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปมากกว่านี้เท่าไหร่ และนี่คือเหตุผลที่โรเอล
และคนอื่นๆ ค่อนข้างทําตัวสงบเสงี่ยม
อันที่จริงการเดินทางอย่างเงียบสงบในปัจจุบันเป็นผลมาจากการ
หารือร่วมกันระหว่างโรเอลและนอร่า ทั้งสองไม่ต้องการให้มีคน
สังเกตเห็นขุมกําลังนี้มากเกินไป
ข้อมูลความแข็งแกร่งทางการทหารเป็นสิ่งที่สําคัญ และแน่นอนว่า
ในสงครามฐานทัพที่มั่นของทั้งสองฝ่ายย่อมเป็นพื้นที่ที่มีสายลับเยอะที่สุด แม้ว่าโรเอลจะมีกองทหารหลายพันคนก็อาจจะไม่ได้มีอิทธิพลต่อ
สถานการณ์ในสายตาของสายลับเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่คุ้มที่จะเสี่ยงปล่อย
ให้ข้อมูลรั่วออกไป พวกเขาจึงควรที่จะระมัดระวังตัวอยู่เสมอ ด้วยที่
ชื่อเสียงของโรเอลค่อนข้างจะโด่งดังพอสมควร
ชื่อเสียงจะนํามาซึ่งความสนใจที่มากเกินไป เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยง
ไม่ได้สําหรับนายพลในสนามรบ แม้ว่าโรเอลจะเป็นที่รู้จักในด้านความ
แข็งแกร่ง แต่เขาก็ยังไม่อาจหลีกเลี่ยงกฎเหล็กนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาอยู่
ในบัญชีดําของตระกูลเอลริกแล้ว และเขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าตนเอง
น่าจะอยู่ในอันดับแรกๆ เสียด้วย
การเป็นจุดสนใจของศัตรู เป็นดั่งเครื่องหมายแห่งเกียรติยศสําหรับ
นายพล อย่างไรก็ตามสําหรับโรเอล มันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก แม้ว่า
กองทัพของเขาจะแข็งแกร่งเพียงพอและภักดี แต่พวกเขาก็ไม่ได้ไร้
จุดอ่อน และยังขาดประสบการณ์ในสนามรบ
“ร็อดนีย์ นายเคยสั่งการคนมากที่สุดกี่คนในสมัยที่นายเป็นหัวหน้า
กลุ่มนักผจญภัย?”
ระหว่างทางเด็กหนุ่มผมดําถามชายวัยกลางคนที่ถือดาบใหญ่ และ
คําตอบก็คือในสมัยที่ร็อดนีย์เป็นหัวหน้ากลุ่มผจญภัย เขาเคยสั่งการ
กลุ่มคนประมาณสามร้อยคน ส่วนวู้ดนั้นในสมัยที่เคยเป็นผู้นําหมู่บ้าน
เคยสั่งการคนประมาณร้อยคนเห็นได้ชัดว่าขีดจํากัดของพวกเขาทั้งสองคนหยุดอยู่ที่ระดับการ
ต่อสู้ภายในหมู่บ้าน แม้ว่าภูเขาและแม่น�าที่พวกเขาใช้เป็นสนามรบจะ
ถูกทําลายในการต่อสู้อันดุเดือด แต่จํานวนผู้คนในศึกนั้นก็ยังถือว่าเป็น
เพียงการต่อสู้ขนาดเล็กในเชิงคุณภาพ และไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็น
การทําสงครามจริงๆ
ส่วนซินเทียในฐานะผู้บัญชาการกองทหารรับจ้าง หญิงงามผู้สูง
ศักดิ์คนนี้ได้เดินทางไปตั้งแต่แถบเหนือจรดใต้ สั่งการให้กองกําลังห้า
ร้อยคนต่อสู้กับโจรมากมาย แม้ว่าบางทีฝ่ายตรงข้ามจะมีกองกําลัง
มากกว่าสามเท่า ทําให้ยอดรวมของทั้งสองฝ่ายเกินกว่าสองพัน แต่นั่นก็
ยังเทียบไม่ได้กับขุนนางชั้นผู้น้อยในสงครามระหว่างชายแดน
สําหรับเหล่าอัครสาวกนั้นไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเลย ผู้นับถือลัทธิ
ชั่วร้ายตามปกติแล้วมีจํานวนน้อยมาก ต่างจากกองทัพของไบรอัน
พวกลัทธิชั่วร้ายชอบที่จะลอบโจมตี และส่วนใหญ่พวกเขาก็ชอบต่อสู้
ด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นอัครสาวกส่วนใหญ่จึงมุ่งเน้นไปที่การต่อสู้ตัวต่อ
ตัว และการดําเนินการอย่างอิสระ พวกเขาอาจมีประสบการณ์การต่อสู้
สูงกว่านักรบทั่วไปมาก แต่ก็จําเป็นต้องมีผู้นําที่ดีในการออกคําสั่งให้
ทํางานร่วมกันเป็นกลุ่มมีเพียงโรเอลคนเดียวเท่านั้น ที่ได้รับการฝึกอบรมทางการทหาร
อย่างเป็นทางการ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยอดเยี่ยม แต่ก็ถือว่ามี
ความสามารถระดับหนึ่ง
โรเอลได้เรียนรู้กลยุทธ์ วิธีออกคําสั่งในสนามรบ และความรู้อื่นๆ
ที่ไม่ได้อยู่ในหลักสูตรของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า จากห้องสมุด
ของคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ด ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นวิธีการศึกษาตาม
หลักสูตรแบบดั้งเดิมของตระกูลแอสคาร์ด
สาเหตุที่ตระกูลแอสคาร์ดแทบจะไม่สามารถทําอะไรได้เลย
นอกจากกิจกรรมทางการทหาร ก็น่าจะมาจากเหตุนี้ ในความทรงจํา
ของโรเอล หลักสูตรทฤษฎีทางการทหารดูจะเป็นสิ่งที่คุ้นเคยมากกว่า
เรื่องอื่นๆ ด้วยซ�า และแน่นอนว่าความรู้ทุกอย่างก้าวตามทันยุคสมัย
และในแง่ของความคิดสร้างสรรค์ก็ไม่เลวเช่นกัน
หลักสูตรการศึกษาของตระกูลแอสคาร์ด คือการเล่นหมากรุก
ทหาร และแบ่งออกเป็นรูปแบบต่างๆ มากมายตามความยาก รูปแบบ
แรกเริ่มนั้นไม่ต่างไปจากหมากรุกในอดีตชาติของเขาเท่าไหร่นัก
ในขณะที่รูปแบบท้ายๆ ค่อนข้างจะเหมือนกับแผนที่ทางการทหาร
ความบันเทิงนั้นค่อนข้างจะจํากัดมากในทวีปเซีย นี่จึงเป็นสิ่งที่
เด็กๆ ใช้เล่นเป็นของเล่น มันจึงเป็นเรื่องยากจะจินตนาการว่า พวกเขา
จะไม่สนใจทํางานทางด้านการทหารเมื่อเติบโตขึ้น อันที่จริงตระกูลแอสคาร์ดได้ผลิตบุคลากรทางการทหารที่ได้ตําแหน่งใหญ่ๆ ในกองทัพ
ออกมาเป็นจํานวนมาก แม้จะเป็นในรุ่นที่ไม่มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ
อยู่เลยก็ตาม
ตามปกติแล้ว โรเอลและอลิเซียจะเล่นหมากรุกทหารรุ่นง่ายๆ กัน
ก่อนนอน และทุกครั้งที่คาร์เตอร์กลับมาบ้าน เขาก็จะทดสอบเด็กๆ
แม้ว่าโรเอลจะแพ้คาร์เตอร์ทุกครั้ง แต่เขาก็ได้บทเรียนมากมาย
แน่นอนเช่นเดียวกับบรรพบุรุษคนอื่นๆ ในตระกูลแอสคาร์ด พวก
เขาเก่งขึ้นเรื่อยๆ และหลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ต้องการที่จะลง
สนามจริง ก่อนหน้านี้โรเอลได้นํากองทัพออกไปกําจัดสัตว์อสูรเพื่อ
พัฒนาเขตการปกครอง และภายในปีที่สองของการพัฒนาเขตการ
ปกครอง เด็กหนุ่มก็สามารถนํากองกําลังทหารสามพันนายกวาดล้าง
หมาป่าอสูรในป่าทางใต้ออกไปจนหมดได้สําเร็จ
ตอนนั้นโรเอลไม่ได้มีเปตราซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งสัตว์ศักดิ์สิทธิ์คอย
ช่วยเหลือ และกรันด้าก็ยังใช้พลังเวทมากเกินไปสําหรับการต่อสู้จริง
ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนั้นจึงเป็นการต่อสู้ตามยุทธวิธีจริงๆ ซึ่งผลลัพธ์ก็
ออกมาค่อนข้างดี แต่หลังจากนั้น โรเอลก็ไม่เคยได้ใช้ความสามารถของ
เขาในด้านนี้อีก ซึ่งเหตุผลก็ง่ายมาก มันเป็นเพราะเขตการปกครองแอส
คาร์ดนั้นปลอดภัยมากพวกโจรในจักรวรรดิเซนต์เมซิทมักจะเดินทางอ้อมเขตการ
ปกครองแอสคาร์ดไป เพราะหากเทียบกับเขตการปกครองแอสคาร์ด
แล้ว เขตการปกครองของตระกูลขุนนางอื่นๆ แทบจะทําให้โจรมี
ความสุขเท่ากับวันตรุษจีนได้เลย สู้เดินอ้อมออกตามหาเหยื่อทั้งคืนใน
ป่าก็ยังดีกว่ามาที่นี่
พฤติกรรมของตระกูลแอสคาร์ด มักถูกตีความว่าเกิดจากความ
เกลียดชังโดยโลกภายนอก อย่างไรก็ตามโรเอลก็เข้าใจความรู้สึกของ
บรรพบุรุษของตนดี อันที่จริงพวกเขาแค่ต้องการเอาชนะภัยพิบัติที่
แท้จริง ทําให้ทุกคนต่างก็พยายามอย่างหนักมาตลอดหลายชั่วอายุคน
ทําให้หัวหน้ากองโจรทั่วทั้งจักรวรรดิเซนต์เมซิทไม่คิดที่จะมายั่วยุ
ตระกูลแอสคาร์ด
เมื่อนึกถึงเขตการปกครองอันปลอดภัยของตระกูล โรเอลก็ถอน
หายใจอย่างช่วยไม่ได้ โดยคิดว่าคงมีเพียงในสนามรบเท่านั้นที่เขาจะได้
มีโอกาสแสดงความสามารถที่มี ในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าโรเอล
ได้เรียนวิชาการทหารเป็นวิชาเลือก นอกจากนี้เขายังมีความทรงจําอัน
ล�าค่ามากมายจากเมื่อชาติก่อนอีกด้วย