ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 507: ใบหน้าอันคุ้นเคย (1)
มิชชันนารีผู้เผยแผ่ศาสนาของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง ถือเป็นแขกผู้
มีเกียรติสําหรับขุนนางของทุกๆ อาณาจักรในทวีปเซีย
เนื่องจากลัทธิโบสถ์แห่งเทพีเป็นความเชื่อที่แพร่หลายที่สุดในทวีป
เซีย โบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างจึงมีทั้งอํานาจและอิทธิพลล้นฟ้า แม้ว่าขุน
นางในท้องถิ่นจะมีอํานาจมาก แต่พวกเขาก็มีศัตรูและคู่แข่งมากมาย
ทําให้เทียบกับโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างที่มีอํานาจเหนือกว่าไม่ได้เลย
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นในวงกว้าง การสื่อสารระหว่าง
โบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างกับเหล่าขุนนางนั้นซับซ้อนกว่าที่จินตนาการไว้
มาก ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีอิทธิพลอีกมากมาย เช่นพื้นที่ทางภูมิศาสตร์
ภายในขอบเขตอิทธิพลของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างที่มีผู้ศรัทธา
จํานวนมาก อธิการจึงมีสถานะสูงเกือบเทียบเท่ากับขุนนางก็ว่าได้
อย่างไรก็ตามในพื้นที่ชนบทอันยากจน หรือในสถานที่ที่มีรากฐานของ
ความเชื่อไม่เข้มแข็ง อํานาจของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างก็ไม่อาจจะส่งไป
ถึงได้ และอาจจะทําให้มีการต่อต้านแทนเสียด้วยซ�า เช่นกรณีของ
จักรวรรดิออสทีนเป็นตัวอย่าง
เนื่องจากเป็นศัตรูกันมานานหลายปี แม้ว่าผู้คนที่นี่จะศรัทธาใน
เทพีเซีย แต่พวกเขาไม่มีความรู้สึกใกล้ชิดกับโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง ในเขตการปกครองของตระกูลไซส์ ชื่อเสียงและอิทธิพลของวีรบุรุษใน
ตํานานนั้นแข็งแกร่งกว่าของพระสังฆราชจอห์นหลายเท่า
เบิร์กลีย์ ไซส์เป็นผู้นําตระกูลดยุคไซส์คนปัจจุบัน โดยปกติแล้ว
เบิร์กลีย์สามารถเพิกเฉยต่อการมาถึงถามถึงการห้ามปรามของโบสถ์
แห่งเทพีผู้สร้างได้สบายๆ แต่คราวนี้สถานการณ์นั้นแตกต่างออกไป
มาก
เพราะพระสังฆราชได้ส่งจดหมายมาหาเขา
นี่ไม่ใช่จดหมายที่เขียนในนามของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง แต่เป็น
จดหมายส่วนตัวถึงวีรบุรุษแห่งตระกูลไซส์เมื่อหลายร้อยปีก่อน เลย์ตัน
ไซส์ และผู้เขียนจดหมายก็เซ็นชื่อเป็นคําว่า ‘สหายเก่า’
ภายในจักรวรรดิเซนต์เมซิทมีเพียงคนๆ เดียวที่สามารถส่ง
จดหมายด้วยชื่อนี้ได้ นั่นคือผู้ที่ได้เข้าร่วมสงครามกับพวกกลายพันธุ์
ครั้งที่แล้ว พระสังฆราชจอห์นซึ่งเป็นระดับแก่นแท้ 1 เช่นเดียวกัน
กับเลย์ตัน และได้รับการสรรเสริญว่าเป็นวีรชนของมนุษยชาติ
เช่นเดียวกัน ดังนั้นเมื่อเขาได้รับจดหมายนี้ เบิร์กลีย์ก็อดไม่ได้ที่จะ
เปลี่ยนสีหน้านิดหน่อย และรีบนําจดหมายไปยังส่วนลึกเบื้องหลัง
คฤหาสน์ตระกูลไซส์หุบเขาอูเซล นี่คือชื่อของดินแดนลับที่ซ่อนอยู่ในเขตแดนต้องห้าม
ของตระกูลไซส์ เช่นเดียวกับโบราณสถานลึกลับมากมายในอาณาจักร
แห่งการศึกษาโบรเนล มันจึงเป็นพื้นที่มิติที่มีพลังพิเศษ
ภายในหุบเขาแห่งนี้ เหล่าภูตที่อาศัยอยู่ข้างในสามารถชะลอชีวิต
ของผู้คนได้ ทําให้ผลของกาลเวลาภายในนี้ก็แตกต่างไปจากโลก
ภายนอก เวลาสิบปีภายในหุบเขานี้ ทําให้ร่างกายแก่ลงเพียงแค่ห้าปี
ของโลกภายนอก ทําให้สามารถยืดอายุออกไปได้ยาวนานขึ้น ด้วยเหตุนี้
หุบเขาอูเซลจึงถูกปิดไว้เป็นความลับสุดยอดของตระกูลไซส์
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามันจะเป็นดั่งสมบัติล�าค่าที่เทพีเซียมอบให้ แต่
ความลึกลับของหุบเขาอูเซลก็ไม่ใช่สวรรค์ที่ไม่มีข้อเสีย เหล่าภูตที่นี่
สามารถชะลอชีวิตของผู้อื่นได้ก็จริง แต่พวกมันก็ดุร้ายมาก พวกมันได้
เปลี่ยนสถานที่แห่งนี้ให้กลายเป็นถ�าเวทมนตร์ ดังนั้นการเข้ามาสู่
โบราณสถานลับแลแห่งนี้ ไม่ได้เป็นการยืดอายุ แต่เหมือนการฆ่าตัว
ตายเสียมากกว่า มีเพียงราชาแห่งเผ่าพันธุ์ที่แท้จริงเท่านั้นที่จะสามารถ
สนุกกับการใช้ชีวิตที่นี่ได้
เมื่อองค์รักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่รอบๆ เดินหลบออกไป ก็เหลือเพียงเบิร์
กลีย์ที่ก้าวเข้าไปในสถานอันแสนอันตรายแห่งนี้เพียงลําพัง ภายในหุบ
เขาอันงดงามราวภาพวาดจิตสังหารมากมายจากเหล่าภูตเอลฟ์อันดุ
ร้ายเริ่มก็ปรากฏขึ้น ทําให้เขาเริ่มกระสับกระส่าย ก้าวขาออกไปหนึ่งก้าวโดยไม่กล้ากระทําการใดๆ ต่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองขึ้นไปในหุบ
เขา รอคอยอย่างเงียบๆ จนกระทั่งวินาทีถัดมา แรงกดดันก็แผ่ออกมา
จากภูเขาสูง
มันเป็นความรู้สึกของพลังอันมหาศาลที่ดูเหมือนจะมาจากส่วนลึก
ของจิตวิญญาณ ทําให้แม้แต่เบิร์กลีย์ที่เป็นระดับแก่นแท้ 2 ก็ต้องแข็ง
ทื่อไปทั้งตัวโดยไร้การต่อต้าน ภายใต้แรงกดดันนี้ จิตสังหารค่อยๆ จาง
หายไป เหล่าภูตที่คลั่งไคล้ต่างก็หยุดลง เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ทั้งหุบ
เขาก็กลับคืนสู่ความสงบ
เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังนี้ เบิร์กลีย์ก็ไม่ลังเลอีก เขาก้าวเข้าไปยังใจกลาง
หุบเขาผ่านทางเดินไปจนกระทั่งเห็นอาคารไม้และสวนอันคุ้นเคย
ปรากฏขึ้นที่ปลายสายตา ชายวัยกลางคนสํารวมอากัปกิริยาของตน
อย่างจริงจังแล้วจึงเดินเข้าไปในสวนอย่างรวดเร็ว ในสวนนั้นมีชายชรา
ผมขาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ ลืมตาราวกับว่าเพิ่งตื่นจากการงีบหลับ
เลย์ตัน ไซส์ ภายนอกของชายชราในตํานานคนนี้ไม่ได้แตกต่างไป
จากคนมีอายุทั่วๆ ไปเท่าไหร่นัก ผมขาวเคราขาว ทว่าร่างกายยังสูงดู
แข็งแรง แม้แต่รอยย่นบนใบหน้าก็ไม่ค่อยชัดเจน ช่างให้ความรู้สึกผัน
ผวนเฉพาะตัวที่ทําให้ผู้ที่จ้องมองเขาเป็นต้องตกตะลึงไม่ได้
“เบิร์กลีย์ เจ้ามาที่นี่อีกทําไม เกิดอะไรขึ้นหรือ?”เมื่อเห็นลูกหลานที่สืบทอดตําแหน่งเดินเข้ามา ผู้นําตระกูลผู้หาย
สาบสูญมาหลายร้อยปีก็พูดด้วยความสงสัย กระนั้นน�าเสียงยังคงสงบ
นิ่ง ซึ่งชายวัยกลางคนก็เดินมาถวายความเคารพ พร้อมยื่นจดหมายใน
มือให้ และอธิบายเรื่องราวทั้งหมด
จดหมายจากพระสังฆราชจอห์นย่อมดึงดูดความสนใจเป็นธรรมดา
ทันทีที่ได้ยินว่าจดหมายนั้นมาจากพระสังฆราชจอห์น ใบหน้าของชาย
ชราผมหงอกก็เปลี่ยนไปในทันที ชื่อที่คุ้นเคยมีไม่มากนักสําหรับเลย์ตัน
ยิ่งถ้าเป็นสหายร่วมรบด้วยแล้วถือว่ามีน้อยมาก และการเขียนจดหมาย
ด้วยสถานะส่วนตัวก็แสดงให้เห็นถึงมิตรภาพ
เมื่อต้องเผชิญกับจดหมายเช่นนี้ ชายชราที่มีฉายาว่าเทพสงคราม
ก็ไม่ได้เลือกที่จะปฏิเสธมัน เขาหยิบจดหมายจากเบิร์กลีย์ขึ้นมาอ่าน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่อ่านมาเป็นเวลานาน เขาก็ยังคงนิ่งเงียบ
ท่าทางของบรรพบุรุษที่ตกอยู่ในความเงียบสงัดก็ทําให้อารมณ์
ของเบิร์กลีย์ค่อยๆ สงบลง เขามั่นใจว่าจดหมายนี้น่าจะไร้ประโยชน์ ซึ่ง
เหตุผลก็ง่ายๆ เพราะโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างนั้นตัดสินผิด
โลกภายนอกล้วนคิดว่า เหตุการณ์นี้เป็นการตัดสินใจของเบิร์กลีย์
ในฐานะดยุคผู้นําตระกูลคนปัจจุบัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทหารผ่าน
ศึกที่อยู่ตรงหน้าเขาต่างหากที่เป็นคนตัดสินใจการส่งกองทัพออกไปในครั้งนี้เป็นเหตุการณ์สําคัญที่อาจส่งผล
กระทบต่อยุคสมัย เบิร์กลีย์ซึ่งมีบรรพบุรุษผู้น่านับถืออยู่ ไม่มีทางกล้า
ตัดสินใจด้วยตัวเองอยู่แล้ว ในฐานะวีรบุรุษจากสงครามกับพวกกลาย
พันธุ์ครั้งล่าสุด เลย์ตันได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้พิทักษ์ของมนุษยชาติ
และราชวงศ์ แม้ว่าแผนของตระกูลแอคเคอร์มันน์จะเป็นประโยชน์ต่อ
จักรวรรดิออสทีน แต่มันก็เป็นแผนที่จะส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง
ภายในพันธมิตรของมนุษยชาติด้วยเช่นกัน
ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามสิ่งที่เบิร์กลีย์คาดไว้ในตอนแรก ทีแรกเลย์
ตันไม่เห็นด้วยกับแผนนี้ อย่างไรก็ตาม น่าแปลกที่หลังจากเขาได้อ่าน
เอกสารข่าวกรองของศัตรู ทัศนคติของชายชราก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
เปลี่ยนจากการไม่เห็นด้วยกับการกระทํานี้ เป็นการตัดสินใจส่งกอง
กําลังออกไปในทันที
แน่นอนว่ามันทําให้เบิร์กลีย์ไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่การ
เปลี่ยนแปลงทางความคิดของเลย์ตันเท่านั้นที่ชายวัยกลางคนไม่เข้าใจ
แต่ยังเป็นเพราะบรรพบุรุษของเขาไม่ได้ตัดสินใจริเริ่มบางอย่างด้วย
ตนเองแบบนี้มานานแล้ว
เพื่อให้ตระกูลไซส์เป็นอิสระจากอิทธิพลของตน เลย์ตันจึงไม่ได้ไป
ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกมานานหลายปีแล้ว และทําเพียงเสนอแนะ
เฉพาะประเด็นคําถามที่ลูกหลานมาปรึกษาเท่านั้น และเขามักจะตัดสินใจอย่างหนักแน่นว่าจะทําอย่างไรเสมอ ซึ่งเรื่องแบบนี้ก็เคย
เกิดขึ้นเมื่อราวๆ ร้อยปีที่แล้ว ในช่วงสงครามกับพวกกลายพันธุ์
อะไรทําให้บรรพบุรุษที่ไม่ข้องแวะกับโลกภายนอกมีปฏิกิริยาแบบ
นี้ได้กัน? คําถามดังกล่าวเกิดขึ้นในหัวใจของดยุค ทําให้เขาอดไม่ได้ที่จะ
ให้ความสนใจกับประเด็นนี้ ทันใดนั้นเมื่อได้ติดต่อกับเลย์ตันเกี่ยวกับ
เหตุการณ์นี้บ่อยๆ เบิร์กลีย์ก็ค้นพบบางอย่าง
ตระกูลแอสคาร์ด…บรรพบุรุษของเขาดูเหมือนจะสนใจตระกูลขุน
นางในจักรวรรดิเซนต์เมซิทตระกูลนี้มาก และนี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่ว่า
ทําไมเลย์ตันถึงตัดสินใจส่งกองกําลังออกไป