ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 508: ใบหน้าอันคุ้นเคย (2)
เบิร์กลีย์สับสนมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตระกูลแอสคาร์ด หนึ่งในห้า
ตระกูลขุนนางชั้นสูงของจักรวรรดิเซนต์เมซิทนั้นเป็นตระกูลขุนนางที่มี
ชื่อเสียงของในทวีปเซีย แต่ประวัติของตระกูลนั้นดูเหมือนจะด้อยกว่า
ตระกูลไซส์ไปมาก มันเป็นตระกูลขุนนางที่เกิดขึ้นในยุคที่สาม ซึ่งถือว่า
สั้นมากสําหรับจักรวรรดิออสทีน
แม้ว่าในแง่ของความแข็งแกร่งทางการทหารของตระกูลแอสคาร์ด
จะมีสถานะที่คล้ายคลึงกันกับตระกูลไซส์ในจักรวรรดิเซนต์เมซิท
เทียบเท่ากับตระกูลเอลริกที่พวกเขาเคยแต่งงานด้วย แต่เบิร์กลีย์ก็ยัง
ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าอะไรกันที่ดึงดูดความสนใจบรรพบุรุษของเขา
นอกจากนี้เขายังตรวจสอบประวัติตระกูลนี้มาเป็นกรณีพิเศษและ
พบว่าเลย์ตันกับตระกูลแอสคาร์ดนั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันมาก่อน
เลย
ข่าวใหญ่เกี่ยวกับตระกูลนี้เพียงอย่างเดียวในช่วงนี้คงจะมีเพียง
การที่โรเอล แอสคาร์ด บุตรชายคนเดียวของตระกูลแอสคาร์ด ชนะการ
แข่งขันศึกชิงถ้วย และทําลายสถิติผู้ชนะเลิศที่มีอายุน้อยที่สุดและได้รับ
การยอมรับจากขุนนางของห้าอาณาจักร แต่เรื่องราวของโลกภายนอก
แบบนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่สําหรับเลย์ตัน ผู้มีประสบการณ์ผ่าน
เหตุการณ์สําคัญมากมายในช่วงชีวิตของตนหลังจากการพลิกผันหลายครั้ง เบิร์กลีย์ก็ยังไม่พบเหตุผลที่บรรพ
บุรุษของตนจะให้ความสนใจกับตระกูลแอสคาร์ด แต่มันก็ไม่สําคัญอีก
ต่อไปแล้ว เพราะสิ่งที่สําคัญจริงๆ ในตอนนี้คือเขาจะต้องจัดการบริหาร
กองทัพ ด้วยที่แผนการของจักรวรรดิออสทีนกําลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
“ท่านบรรพบุรุษ พวกเราควรจะเคลื่อนไหวยังไงหรือ…?”
“ทําตามแผนเดิม แต่เจ้าสามารถควบคุมจํานวนทหารได้ด้วย
ตัวเอง”
หลังจากอ่านจดหมาย เมื่อเผชิญกับคําถามของชายวัยกลางคน
ชายชราก็ตอบกลับไปแบบนี้ เมื่อเบิร์กลีย์ได้ยินคําตอบของเลย์ตัน ดยุค
ผู้กระตือรือร้นก็ทิ้งปมความลับในใจไว้ข้างหลังแล้วเดินกลับไป จากนั้น
เลย์ตันก็หยิบเอกสารบนโต๊ะข้างๆ ขึ้นมา
ด้วยที่วันนี้เบิร์กลีย์เข้ามาปรึกษาเลย์ตัน เขาจึงได้นําเอกสารข้อมูล
ของกองทัพฝ่ายจักรวรรดิเซนต์เมซิทติดมาด้วย เอกสารดังกล่าวมีรอย
ยับมากมาย เห็นได้ชัดว่ามีการอ่านหลายต่อหลายครั้ง และตอนนี้
หลังจากที่ได้อ่านจดหมายของอดีตสหายร่วมรบ ชายชราก็อดไม่ได้ที่จะ
เปิดเอกสารขึ้นอีกครั้งและอ่านข้อมูลที่อ่านซ�าๆ มาแล้วครั้งแล้วครั้งเล่า[โรเอล แอสคาร์ด ลูกชายคนเดียวของ คาร์เตอร์ แอสคาร์ด…
ตระกูลมาร์ควิสแอสคาร์ด…ผู้ปลุกสายเลือดของตระกูลแอสคาร์ด ได้
รางวัลชนะเลิศในศึกชิงถ้วย…ระดับแก่นแท้ 4…]
เมื่อดูเอกสารนี้และรูปของคนที่อยู่ภายในข่าว ที่มีใบหน้าอัน
คุ้นเคย ชายชราผมขาวก็ครุ่นคิดอยู่นานและอดถอนหายใจออกมาได้
“ดูเหมือน…จะได้เวลาที่เราจะต้องออกไปแล้วสินะ”
เลย์ตันวางเอกสารในมือลง มองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วหลับตาลงอีก
ครั้ง
————————————
ด้านนอกเมืองเอ็ดการ์ กองบัญชาการกองทัพพันธมิตร ชายผมดํา
มองดูแผนที่ตรงหน้าเขาอย่างว่างเปล่า ขณะที่ผู้บัญชาการรอบตัวเขา
ต่างก็ดูเคร่งเครียด
นี่เป็นเวลากลางดึก ซึ่งโดยปกติแล้ว ไม่ใช่เวลาที่จะมีการประชุม
ทางการทหารเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม วันนี้ผู้บัญชาการหลักของกองทัพ
พันธมิตรได้มารวมตัวกันเพราะเหตุฉุกเฉินกะทันหันได้ทําลายความ
สงบในยามค�าคืนลง ซึ่งเนื้อหาก็เข้าใจได้ไม่มาก
ดยุคของตระกูลไซส์ได้นํากองทัพออกมาแล้วในตอนค�า กองทหารของจักรวรรดิออสทีนได้เดินทางเข้ามายังเขต
การปกครองของตระกูลเอลริก และเริ่มตั้งค่าย เนื่องจากสภาพอากาศ
มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินจํานวนกําลังพลของฝ่ายตรงข้าม แต่เมื่อ
พิจารณาจากข้อมูลก่อนหน้านี้ ก็พอจะประมาณการโดยสังเขปได้
“ไม่น่าจะเป็นกองทัพขนาดใหญ่เท่าไหร่ แต่น่าจะเป็นกองทัพ
ขนาดเล็กที่เน้นไปทางเชิงคุณภาพ”
คาร์เตอร์พูดขึ้น ซึ่งผู้บัญชาการคนอื่นๆ ที่ได้ยินก็พยักหน้าเห็น
ด้วย
การส่งกําลังเสริมมาสมทบนั้น ต่อให้จะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง
แต่ตระกูลไซส์ก็ไม่สามารถส่งกําลังหลักออกมาได้ในคราวเดียว เพราะ
นั่นจะถือเป็นการยั่วยุกองทัพพันธมิตรที่นําโดยคาร์เตอร์ให้ออกไป
ปะทะด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายไม่ต้องการ
ไม่ว่าจะได้รับผลประโยชน์มากแค่ไหน ความสําคัญของมันก็ไม่
อาจเทียบกับกองกําลังหลักในเขตการปกครองของตัวเองได้ หากทั้ง
สองฝ่ายทําสงครามกันอย่างเต็มรูปแบบ ก็มีเพียงตระกูลเอลริกที่เหลือ
รอด และราชวงศ์ของจักรวรรดิออสทีนเท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์
ตระกูลไซส์ไม่ใช่ตระกูลดยุคผู้ซื่อสัตย์ที่ไม่คํานึงถึงผลประโยชน์
ของตนเอง พฤติกรรมนี้เป็นเพียงความร่วมมือกับจักรวรรดิออสทีนเพราะฉะนั้นแล้วพวกเขาจะต้องบรรลุผลประโยชน์สูงสุดให้ได้โดยใช้
ต้นทุนให้น้อยที่สุด
การส่งทหารชั้นยอดและผู้บัญชาการผู้แข็งแกร่งไปรุกรานและยั่ว
ยุ ถือเป็นสถานการณ์ที่ทางจักรวรรดิเซนต์เมซิทได้คาดเดาเอาไว้แล้ว
น่าเสียดายที่ถึงแม้คาร์เตอร์ และคนอื่นๆ จะตัดสินสถานการณ์ได้อย่าง
แม่นยํา แต่พวกเขาก็ไม่มีทางออกหรือวิธีแก้ไขที่ดีสําหรับมัน
ไม่นานมานี้ ทูตของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างได้นําจดหมายจาก
พระสังฆราชจอห์นไปยังตระกูลไซส์ แต่ก่อนที่จะได้รับคําตอบ กองทัพ
ของตระกูลไซส์ก็เดินทัพเข้ามา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง
เห็นได้ชัดว่าการเจรจาของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างไม่ได้ผล สงคราม
ระหว่างทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากการ
หารือ กองทัพพันธมิตรก็ได้ข้อสรุปเป็นเอกฉันท์ว่าพวกเขาควรแบ่งกอง
กําลัง และใช้กําลังเพียงส่วนหนึ่งเพื่อต่อกรกับกองทัพของตระกูลดยุค
ไซส์ พวกเขาจะจู่โจมเมืองเอ็ดการ์ แต่ก็แบ่งกองทัพออกมาอีกส่วนเพื่อ
ป้องกันศัตรู
แน่นอนว่าเพื่อไม่ให้ตกหลุมพรางของอีกฝ่าย กองทัพที่จะออกรบ
ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่กองทัพของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างหรือราชสํานัก แต่
จะต้องเป็นกองทัพของขุนนาง ทุกคนที่นี่รู้ดีถึงเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีใครเต็มใจที่จะอาสาตัว แน่นอนว่าเหตุผลไม่ใช่แค่เรื่องเจตจํานง เพราะที่
สําคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือความแข็งแกร่งของกองกําลัง
จํานวนกําลังพลที่จะทําภารกิจนี้จะต้องมีไม่มากเกินไป ไม่เช่นนั้น
มันจะทําให้อัตราความสําเร็จในการล้อมโจมตีเมืองเอ็ดการ์ต�าลง
อย่างไรก็ตาม หากต้องการสกัดกั้นทหารชั้นยอดของตระกูลไซส์ กอง
ทหารที่ส่งไปก็ต้องมีคุณภาพทัดเทียมกัน
การส่งกองกําลังในระดับเดียวกันและเก็บยอดฝีมือที่เหลือไว้กับตัว
เป็นทางเลือกโดยธรรมชาติของเหล่าขุนนางที่มีพื้นฐานมาจากความคิด
ในการป้องกันตนเอง เมื่อจัดตั้งกองทัพพันธมิตรแล้ว ผลที่ได้ในตอนนี้ก็
คือนอกจากตระกูลแอสคาร์ด ก็ไม่มีตระกูลขุนนางอื่นใดที่มียอดฝีมือ
แข็งแกร่งมากพอจะสกัดศัตรูได้
ความเงียบที่บรรยายไม่ได้ดําเนินต่อไปภายในค่าย คาร์เตอร์ที่
มองดูแผนที่ด้วยความเยือกเย็น การสู้รบครั้งก่อนเพื่อยึดป้อมคาโปลริก
ทหารของตระกูลแอสคาร์ดได้รับบาดเจ็บสาหัสไปหลายคน หากพวก
เขาเลือกที่จะทําภารกิจที่ยากเช่นนี้อีก มันจะเป็นหายนะสําหรับพวก
เขา ซึ่งไม่ว่าใครก็คงไม่อยากให้เกิด
ตัวตนของกองทัพพันธมิตรไม่เพียงแต่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของ
ตระกูลขุนนางเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อขวัญกําลังใจของ
กองทัพอื่นๆ ทั่วทั้งอาณาจักร และความจงรักภักดีของกองกําลังอื่นๆ นี่คือสิ่งที่ขุนนางทุกคนให้ความสนใจ ดังนั้นหากกองทัพนี้ถูกทําลายลงละ
ก็อาจจะทําให้กองทัพทั่วทั้งอาณาจักรสั่นสะเทือนได้
ถ้าตระกูลแอสคาร์ดไม่ส่งกองทัพออกไป ก็จะไม่สามารถหยุด
กองทัพศัตรูได้ แต่ถ้าพวกเขาถูกส่งออกไป มันก็อาจทําให้เกิดปฏิกิริยา
ลูกโซ่เป็นชุด หากพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ภาวะที่กลืนไม่เข้าคาย
ไม่ออกเช่นนี้จึงทําให้คาร์เตอร์ลําบากใจที่จะออกคําสั่ง
เวลาผ่านไปพร้อมกับความเงียบงันที่บรรยายไม่ได้ภายในค่าย ไม่
มีขุนนางคนไหนกล้ารับงานนี้ สถานการณ์นี้ทําให้พวกเขาต้องยุติการ
ประชุมทางทหาร หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง แต่คาร์เตอร์ก็ยังคงยืนอยู่
ที่นั่นด้วยความลังเล
ความคิดมากมายพัวพันอยู่ในใจของมาร์ควิส ขณะที่อีกด้านหนึ่ง
เด็กสาวผมสีเงินมีความรู้สึกที่ต่างไปจากสิ้นเชิง เมื่อดูข้อมูลที่รวบรวม
อยู่บนมือ นัยน์ตาสีแดงของอลิเซียก็หรี่ลง
ในอีกไม่กี่วันโรเอลจะมาถึงสนามรบ และด้วยสถานการณ์เช่นนี้
แล้วล่ะก็ ดูเหมือนว่าคาร์เตอร์จะมีทางเลือกเพียงแค่ทางเดียวเช่นกัน
ดังนั้นคืนนี้จึงน่าจะเป็นโอกาสเดียวสําหรับเธอเมื่อสรุปสิ่งต่างๆ ได้อลิเซียจึงไม่รีรออีกต่อไป ภายใต้แสงจันทร์ที่
ปกคลุมเด็กสาวก็ปรากฏตัวที่ค่ายหลักตามปกติ แต่คราวนี้เธอไม่ได้มา
เพื่อส่งข้อมูล แต่มาเพื่อยื่นข้อเสนอสําหรับสงคราม
“ท่านพ่อ หนูขอนํากองทัพลัทธินอกรีตออกไปทําภารกิจนี้จะได้รึ
เปล่าคะ?”
อลิเซียกล่าวพร้อมคํานับอย่างอ่อนโยน ต่อหน้าคาร์เตอร์ที่กําลัง
ครุ่นคิด