ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 509: การโต้กลับของอลิเซีย (1)
ในยามค�าคืนของค่ายทหาร จู่ๆ อลิเซีย แอสคาร์ดก็ปรากฏตัวขึ้น
ต่อหน้าคาร์เตอร์ที่กําลังขมวดคิ้วและแสดงความคิดของเธอเกี่ยวกับ
สถานการณ์ปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญกับความคิดของเด็กสาว
คาร์เตอร์ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวปฏิเสธ
“ไม่ ลืมเรื่องกองทัพลัทธินอกรีตไปได้เลย ข้าไม่ให้เจ้าลงสนามรบ
แน่ รวบรวมข่าวกรองต่อไปซะ ทําภารกิจของตัวเจ้าให้สําเร็จ”
ชายผมดําที่พูดด้วยความเด็ดเดี่ยว ซึ่งอลิเซียก็ไม่ได้แปลกใจกับ
คําพูดของคาร์เตอร์เท่าไหร่ อันที่จริง เธอก็พอจะเดาได้อยู่ก่อนแล้วว่า
พ่อของเธอกําลังคิดอะไรอยู่ในใจ
แม้ว่าคาร์เตอร์จะมองอลิเซียในฐานะลูกสาวและศิษย์มาโดย
ตลอด แต่เธอก็ยังมีอีกตัวตนที่เขาตัดออกไปไม่ได้ อลิเซียเป็นลูกสาว
ของสหายร่วมรบที่เสียชีวิตเพื่อปกป้องคาร์เตอร์ในอดีต ด้วยเหตุนี้มัน
จึงเป็นเรื่องยากสําหรับคาร์เตอร์ที่จะส่งเธอไปยังสนามรบ
ความผิดพลาดในอดีตทําให้มาร์ควิสอยากจะส่งโรเอลไปยังแนว
หน้ามากกว่าที่จะส่งอลิเซียไป แต่นี่เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้สําหรับเธอ
หากเป็นไปตามข้อมูลที่อลิเซียมีแล้วล่ะก็ ถ้าโรเอลเข้าไปยังเขตการ
ปกครองตระกูลเอลริก เธอก็พอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นโรเอลได้รับการเลื่อนขั้นเป็นระดับแก่นแท้ 3 แล้ว อีกทั้งยังมา
พร้อมกับกองทัพผู้นับถือลัทธินอกรีต หากเป็นไปตามรูปแบบการรบใน
ปัจจุบันแล้วล่ะก็ เขาจะต้องถูกส่งไปยังแนวหน้าอย่างแน่นอน หากครั้ง
นี้ไม่เธอสามารถเกลี้ยกล่อมคาร์เตอร์ได้สําเร็จ อลิเซียก็จะกลายเป็น
เพียงผู้ชมจนจบสงครามครั้งนี้…ได้แต่เฝ้าดูพี่ชายของเธอต่อสู้กับศัตรู!
ระบบของกองทัพนั้นแตกต่างจากองค์กรอื่นๆ ทําให้แม้แต่อลิเซีย
ก็ยังไม่กล้าออกไปโดยปราศจากคําสั่งของคาร์เตอร์ เด็กสาวจึงได้แต่สูด
หายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะมองตาชายวัยกลางคนแล้วพูดอีกครั้ง
“ท่านพ่อ…ท่านต้องการให้ท่านพี่ออกไปหยุดตระกูลไซส์ใช่ไหม
คะ?”
“…”
คําถามของอลิเซียทําให้คาร์เตอร์เงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายมี
ท่าทางแบบนั้น เด็กสาวก็ยิ่งมั่นใจ
ต้องหาทางให้ท่านพ่อยอมให้ได้ แต่จะทํายังไงดีล่ะ…
เด็กสาวครุ่นคิดพลางบีบมือของเธอเบาๆ เธอไม่ได้ลบล้างคําพูด
ของคาร์เตอร์ แต่ยังคงเงียบต่อไป“ท่านพ่อ มีสัตว์อสูรมากมายที่ชายแดนระหว่างจักรวรรดิเซนต์
เมซิทและจักรวรรดิออสทีน หนูสามารถควบคุมพวกมันได้ในระดับหนึ่ง
หากรวมพวกมันเข้ากับกองทัพลัทธินอกรีต และพวกทหารระดับสูงใน
กองทัพ เราน่าจะสามารถสกัดทัพศัตรูเอาไว้ได้ชั่วคราว จากนั้น
สถานการณ์ในสนามรบก็น่าจะสามารถกลับสู่เสถียรภาพได้พอดีตอนที่
ท่านพี่มาถึง”
“นั่นมันก็จริงอยู่ แต่เจ้ายังไม่บรรลุนิติภาวะ เจ้ายังไม่พร้อมสําหรับ
สนามรบ ข้าจะให้คนอื่นจัดการเรื่องนี้”
“แม้ว่าหนูจะยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ก็มีคนในตระกูลเรามากมาย
ในประวัติที่ได้ลงสนามรบตอนอายุเท่านี้ไม่ใช่เหรอคะ ท่านพี่เองก็อายุ
สิบขวบตอนที่รับตําแหน่งตัวแทนผู้ปกครองเขตการปกครอง หนูเองก็
น่าจะ…”
“ไม่ เจ้าแตกต่างจากสมาชิกในตระกูลเหล่านั้นมาก”
“!”
คําร้องที่สมเหตุสมผลและมีเหตุผลของอลิเซีย ทําให้คาร์เตอร์กระ
วนกระวายจนเผลอพูดอะไรที่ไม่เหมาะสมไป ทําให้มาร์ควิสพูดอะไรไม่
ออก แต่สําหรับเด็กสาวผมสีเงินแล้วนี่เป็นเรื่องใหญ่มาก นัยน์ตาของอ
ลิเซียแดงก�า ก่อนจะพูดด้วยน�าเสียงแหบแห้ง“ท่านพ่อ ทั้งๆ ที่ผ่านไปหลายปีแล้วแท้ๆ แต่หนูก็ยังเป็นแค่คน
นอกในความคิดของท่านงั้นเหรอคะ?”
“ไม่ อลิเซีย ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่งานนี้มันอันตราย
เกินไป…”
“ท่านพี่สามารถออกไปเสี่ยงได้ แล้วทําไมหนูถึงทําแบบนั้นบ้าง
ไม่ได้ ถ้าท่านพ่อยังถือว่าหนูเป็นสมาชิกในตระกูล ก็ได้โปรดมอบหมาย
ภารกิจนี้ให้หนูเถอะค่ะ และให้หนูได้มีส่วนร่วมช่วยเหลือตระกูลของเรา
ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ด้วยเถอะ”
อลิเซียก้มศีรษะลงขณะพูด ทําให้ใบหน้าของคาร์เตอร์เคร่งเครียด
เมื่อได้ยินคําพูดนั้น คําขอของอลิเซียเป็นเรื่องยากสําหรับคาร์เตอร์ที่ยัง
จําความผิดในอดีตของตัวเองได้ แต่ถ้าเขาไม่ยอมล่ะก็ เรื่องนี้ก็จะทํา
ร้ายจิตใจของอลิเซียอย่างแสนสาหัส
ดวงตาที่กําลังแดงก�าของเด็กสาวผมสีเงิน ทําให้คาร์เตอร์รู้สึก
เจ็บปวดในใจ เขาถามตัวเองว่า ถ้าอลิเซียเป็นลูกสาวแท้ๆ แล้วล่ะก็ เขา
จะตอบตกลงตามคําขอของเธอในทันทีไหม? แน่นอนว่าการปฏิเสธคํา
ขอก็เพื่อปกป้องเธอ แต่ก็ถือเป็นการเลือกปฏิบัติเช่นกัน!หลังจากที่ใบหน้าของคาร์เตอร์เคร่งเครียดเป็นเวลานาน มาร์ควิส
ก็ถอนหายใจยาวออกมา เขามองไปที่เด็กสาวผมสีเงินที่อยู่ตรงหน้าเขา
ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
“ก็ได้อลิเซีย ข้าจะยกภารกิจนี้ให้ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสายการ
บัญชาการ ข้าจะส่งผู้ช่วยไปให้ ตราบใดที่เจ้ายืนยันว่าจะกลับมาทันทีที่
โรเอลมาถึง”
“เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ ท่านพ่อ”
“อืม วันนี้ก็ดึกมากแล้ว พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เราจะออกศึกกัน”
“ค่ะ”
เด็กหญิงผมสีเงินตอบด้วยความตื่นเต้นพร้อมกําหมัดแน่น
หลังจากนั้นร่างของเธอก็ค่อยๆ หายไป เมื่อเธอปรากฏตัวใต้ดวงจันทร์
อีกครั้ง น�าตาก็จางหายไปแล้ว มีเพียงใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่ามันจะยากลําบาก แต่ในที่สุดการเดิมพันของอลิเซียก็ชนะ
นับจากนี้เธอจะไม่ใช่เพียงแค่ผู้ชมนอกสนามอีกต่อไป แต่สามารถยืน
หยัดเคียงข้างพี่ชายของเธอได้จริงๆ
“เหลืออีกสามวันสินะ”เมื่อมองดูข่าวสารของโรเอลในมือ เด็กสาวผมสีเงินก็พึมพํากับ
ตัวเองพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความรู้สึกโหยหา
———————————–
การเคลื่อนไหวของทหารม้ามักจะฉับพลันและรวดเร็ว ไม่ว่าจะ
เป็นทหารของตระกูลไซส์หรือตระกูลแอสคาร์ด เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่
คาร์เตอร์ประกาศการตัดสินใจของเขา ทหารระดับสูงของตระกูลแอส
คาร์ดและกองทัพลัทธินอกรีตก็ออกเดินทางในทันที และเข้าประชิด
พรมแดนอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าจํานวนคนจะน้อยเพียงไม่กี่พันคน แต่ก็สังเกตเห็นได้อย่าง
ชัดเจนว่านี่เป็นกองกําลังพิเศษ ทั้งฝ่ายเดียวกันและศัตรูต่างก็เข้าใจได้
ว่านี่คือกองกําลังที่อาจเปลี่ยนแปลงเส้นทางของประวัติศาสตร์ ฝ่าย
ข่าวกรองของทั้งสองฝ่ายเดินทางเข้าๆ ออกๆ ทั้งวัน ในค่ายของตระกูล
ไซส์ที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ดยุคเบิร์กลีย์เองก็ได้เข้ามาสังเกตการณ์
สถานการณ์นี้เป็นการส่วนตัว
ในอดีตชาติของโรเอล การที่กองทหารขนาดเล็กสามารถต่อกรกับ
กองทัพของอาณาจักรขนาดใหญ่ได้อาจจะฟังดูไม่สมจริงเท่าไหร่ แต่ใน
ทวีปเซีย พลังของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงสามารถเทียบเท่ากับ
กองทัพได้เบิร์กลีย์นั้นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับ 2 และทหารที่เขาคัด
สรรมาก็เป็นทหารยอดฝีมือเช่นกัน แม้ว่าจะมีกําลังพลคนน้อยกว่าหนึ่ง
หมื่นคน แต่พลังการต่อสู้ที่แท้จริงนั้นสูงกว่าจํานวนถึงห้าเท่า เขา
ต้องการที่จะใช้กองทัพดังกล่าวนี้รับศึกที่กําลังจะมาถึง ตามแผนของ
ตระกูลไซส์ที่ต้องการจะดึงกองทัพหลักของฝ่ายจักรวรรดิเซนต์เมซิท
มา
ตราบใดที่สามารถดึงดูดกองกําลังหลักของอีกฝ่ายมาได้ ภารกิจ
ของตระกูลไซส์ก็เสร็จสมบูรณ์ หลังจากนั้น จักรวรรดิออสทีนย่อม
สามารถส่งกองทหารมาสนับสนุนพวกเขาได้โดยอ้างว่าถูกล้อมอย่าง
หนัก หรือไม่ก็อ้างว่าฝ่ายเมืองเอ็ดการ์เสียเปรียบและกําลังโดนรังแก
โดยเป้าหมายหลักก็คือสร้างความเสียหายต่อจักรวรรดิเซนต์เมซิทให้
ได้มากที่สุด แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือหลังจากที่รอมาทั้งวัน ข้อมูลที่ถูก
ส่งเข้ามากลับทําให้เขาต้องประหลาดใจ
กองทัพจักรวรรดิเซนต์เมซิทได้ส่งกองกําลังเล็กๆ มา ซึ่งนอกจาก
จะมีกําลังพลไม่ถึงหมื่นแล้ว ยังมีจํานวนน้อยกว่าพวกเขาด้วยซ�า
เห็นได้ชัดว่าวิธีการรับมือเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เบิร์กลีย์คาดไว้ มันทําให้
เขางุนงงมาก กองกําลังของตระกูลแอสคาร์ดนั้นได้รับความเสียหาย
หนักในช่วงเริ่มต้นของสงคราม ซึ่งได้รับการยืนยันแล้ว และต่อให้มีมาร์ควิสตระกูลแอสคาร์ดบัญชาการอยู่เบื้องหลังเศษซากดังกล่าวก็ไม่
น่าจะสามารถรับมือพวกเขาได้
พวกเขาคือกองกําลังที่ถูกทิ้งงั้นเหรอ?
ดยุควัยกลางคนที่คิดขึ้นก่อนจะส่ายหัว มันเป็นเรื่องยากมากที่ใคร
จะกล้าสละทหารชั้นยอดของตนมาเป็นเหยื่อล่อกองทัพศัตรู ถ้าไม่ใช่
ลูกชายนอกสมรสที่ถูกทอดทิ้งใครจะมานํากองทัพแบบนี้ได้? อีกฝ่ายมี
ความคิดแบบไหนกันแน่?
นอกจากนี้ในฝั่ งของเขาเอง ธงของกองทัพไม่ได้มีแค่ธงของตระกูล
ไซส์เท่านั้น แต่ยังมีธงประจําตัวของเบิร์กลีย์อยู่ด้วย ฝ่ายข่าวกรองของ
จักรวรรดิเซนต์เมซิทไม่น่าจะตัดสินความแข็งแกร่งของพวกเขาต�า
เกินไปแน่ๆ มีนักรบที่ยังไม่ได้แจ้งเกิดอยู่ในกองทัพนั้นงั้นเหรอ?
คําถามมากมายวนเวียนในหัวของดยุค สิ่งเดียวที่รู้คือกองทหารนี้
ถูกส่งมาจากตระกูลแอสคาร์ด ซึ่งเบิร์กลีย์ก็ไม่ได้แปลกใจในเรื่องนั้น
เขารอเวลาแห่งการเผชิญหน้าอย่างเงียบๆ ทว่าสิ่งที่เขาไม่ได้คาดคิดก็
อุบัติขึ้นอีกครั้ง
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งวัน กองทัพอันยิ่งใหญ่ของตระกูลแอส
คาร์ดก็ได้เคลื่อนผ่านที่ราบและเข้าไปมาทางตระกูลไซส์อย่างรวดเร็วทว่าไม่ได้มาเพื่อเผชิญหน้ากับกองทัพของตระกูลไซส์ แต่วกกลับเข้าไป
ในป่าที่อยู่ใกล้ๆ ชายแดนแทน
???
ปฏิบัติการอันลึกลับอย่างกะทันหันนี้ แม้แต่ดยุคแห่งเบิร์กลีย์ที่มี
ความรู้ทางการทหารก็ยังต้องตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง