ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 510: การโต้กลับของอลิเซีย (2)
การเดินขบวนในป่า สถานการณ์แบบนี้มีให้เห็นในประวัติศาสตร์
ของทวีปเซียในอดีต โดยกองทัพที่มีชื่อเสียงในด้านนี้มากที่สุดก็คือ
กองทัพภูเขาของจักรวรรดิออสทีนโบราณ แต่ในปัจจุบันเนื่องจาก
อุปกรณ์เวทและเทคโนโลยีโบราณในอดีตดังกล่าวได้สูญหายไปแล้ว
การเดินขบวนในป่าจึงกลายเป็นข้อห้ามสําหรับนักยุทธศาสตร์ทาง
การทหาร
การเข้าไปในป่าเพื่อปิดเส้นทางเดินทัพ แล้วกลับออกไปโจมตีตอน
กลางคืนเองก็เป็นกลยุทธในอดีตเช่นกัน แต่ที่นี่ไม่น่าจะสามารถทําแบบ
นั้นได้ เพราะป่าเป็นเส้นเขตแดนที่ทั้งสองฝ่ายไม่ต้องการย่างกรายเข้า
ไป ทําให้ป่าแห่งนี้เกือบจะเป็นสรวงสวรรค์สําหรับสัตว์อสูรและมีสัตว์
อสูรมากมายอาศัยอยู่
การใช้กลยุทธทางการทหารที่ไม่สอดคล้องกับสภาพภูมิศาสตร์ จะ
ทําให้กองทัพต้องรับมือกับสัตว์อสูรไปด้วย นี่เป็นความผิดพลาดที่มัก
เกิดขึ้นโดยผู้บัญชาการที่มีประสบการณ์การต่อสู้จริงไม่มากจนตัดสิน
สถานการณ์ผิด เบิร์กลีย์ไม่คาดคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น ทําให้เมื่อ
เห็นสถานการณ์นี้ในสนามรบเขาจึงสับสนอย่างหนัก แต่รายงานจาก
สายลับก็ช่วยทําให้เขาโล่งใจขึ้น“คราวนี้ตระกูลแอสคาร์ดได้ส่งเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมา
บัญชาการรบงั้นเหรอ? ฮ่าฮ่า ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาจะตัดสินใจทํา
อะไรโง่ๆ แบบนี้”
หลังจากที่ได้รู้ตัวตนผู้บัญชาการของกองทัพของศัตรูอย่าง
ละเอียดแล้ว เบิร์กลีย์ก็รู้สึกโกรธมาก แน่นอนว่าเขาไม่ได้อยากที่จะ
เผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งเกินตัว แต่การที่อีกฝ่ายกล้าส่งเด็กที่ยังไม่
บรรลุนิติภาวะมาจัดการกับเขา นี่ถือเป็นการดูถูกเขาอย่างเห็นได้ชัด
แต่ข้อมูลชิ้นนี้ก็สามารถอธิบายการเคลื่อนไหวแปลกๆ ของศัตรูได้เป็น
อย่างดี
“พูดกันตามตรงแล้ว ถ้าอีกฝ่ายเป็นแค่เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่
เข้าใจกลยุทธง่ายๆ แบบนี้ สงครามครั้งนี้ไม่ต้องถึงมือพวกเราก็ยังได้”
เบิร์กลีย์ส่ายหัวอย่างไม่สบอารมณ์กับการตัดสินใจของคาร์เตอร์
เมื่อใคร่ครวญถึงความสามารถของกองทัพและผู้บัญชาการที่อด
หัวเราะไม่ได้นั่น ทําให้ข่าวดังกล่าวปะปนกับการมองโลกในแง่ดีได้
แพร่กระจายไปทั่วทําให้กองทัพของตระกูลไซส์ ทําให้ทหารค่อยๆ ลด
การระมัดระวังตัวลง และกลายเป็นการเตรียมดูเรื่องตลกหายากแทน
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้ กองทัพของตระกูลแอสคาร์ดน่าจะ
ถูกขับออกจากป่าโดยเหล่าสัตว์อสูร นี่คือสิ่งที่ทุกๆ คนคิด อย่างไรก็ตามสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือหลังจากที่พระอาทิตย์ตกดิน ฉากที่แตกต่าง
กันโดยสิ้นเชิงได้กําลังเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ในป่า
—————————————–
ยามราตรีของป่าลึก เด็กสาวกําลังเดินไปใต้แสงจันทร์สีเงินวาววับ
เผยให้เห็นพลังเวทที่แตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
เส้นใยพลังเวทเงินส่องแสงระยิบระยับใต้แสงจันทร์ก่อนจะกระจัด
กระจายกันออกไป นัยน์ตาสีแดงและรอยยิ้มอันนุ่มนวล ร่างกายที่วิจิตร
งดงามประดับด้วยชุดเกราะที่ทําจากมิธริล เอวที่เพรียวบางรัดแน่นและ
น่องที่มักจะถูกซ่อนอยู่ในกระโปรงก็ถูกเผยออกมา
ในคืนอันมืดมิด ร่างของอลิเซียถูกปกคลุมไปด้วยแสงที่พร่ามัว
งดงามราวกับนางฟ้าในป่า และการปรากฏตัวของเธอในชุดเกราะ ทํา
ให้เด็กสาวดูเหมือนวัลคี่รี่ผู้เต็มไปด้วยความลึกลับและศักดิ์สิทธิ์ สอง
อารมณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงปรากฏบนตัวอลิเซีย หลอมรวมกัน
อย่างลงตัว
ฉากอันสวยงามนี้ทําให้เหล่าทหารที่ติดตามเด็กสาวไม่กล้ามองไป
ที่เธอ
“หืม? แบบนั้นเองหรอกเหรอ เจ้าได้รับบาดเจ็บจากผู้ชายแบบนั้น
สินะ อายุขัยของมนุษย์น่ะสั้น บางทีเขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้”ในป่าอันเงียบสงบ เด็กสาวผมสีเงินกําลังมองดูท้องฟ้าพลางพึมพํา
ออกมา ราวกับว่าเธอกําลังคุยกับใครบางคนอยู่ ข้างใต้เธอมีกวางแปด
ขาตัวใหญ่นอนอยู่บนพื้นราบในถ�าเอนตัวให้เธอสัมผัส
ครึ่งหนึ่งของสัตว์อสูรตัวนั้นฝังอยู่ใต้ดิน แต่แค่ส่วนโผล่ขึ้นมาก็
ใหญ่เท่ากับเนินเขาแล้ว เขากวางอันน่าเกรงขามสูงตระหง่านราวกับ
ต้นไม้ใหญ่ ดวงตาสีแดงทั้งสี่ดวงดูทรงพลังจนทําให้ผู้พบเห็นต้องสั่น
สะท้าน ภายในถ�าขนาดใหญ่ที่มันอาศัยอยู่ ในความมืดมิดรอบๆ นั้นมี
นัยน์ตาของสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนเรืองแสงในความมืด
ราชาแห่งความหายนะ นี่คือสิ่งที่ชาวภูเขาแถบชายแดนเรียกสัตว์
อสูรที่อยู่เหนือสามัญสํานึกตัวนี้ มันเป็นสัตว์อสูรที่โด่งดังในจักรวรรดิ
ออสทีนเมื่อหลายร้อยปีก่อน ก่อนจะถูกไล่ออกมาด้วยฝีมือของอัศวินผู้
ทรงพลัง มันคือตัวตนของหายนะและความตาย ทว่าในวันนี้มันกลับ
แสดงความเมตตาต่อมนุษย์ และก้มหัวลงพูดคุยกับอลิเซียในความมืด
ความงดงามของอลิเซียและสัตว์อสูรในตํานานอันน่าสะพรึงกลัว
การผสมผสานนี้ทําให้เหล่าทหารสงสัยว่าตัวเองกําลังอยู่ในดินแดนแห่ง
ความฝันรึเปล่า แม้แต่กองทัพลัทธินอกรีตที่รู้ความสามารถของอลิเซีย
ก็ยังไม่คิดว่าเธอจะทําเรื่องแบบนี้ได้
อลิเซียลูบไล้ขนยาวๆ ของมัน ปล่อยพลังชีวิตเข้าไปในตัวมันอย่าง
แผ่วเบา เธอสนทนากับสัตว์อสูรตัวใหญ่ต่อไปเรื่อยๆ โดยมีนกสีเงินบินอยู่เคียงข้าง สายลมยามค�าคืนพัดผ่าน จนกระทั่งดวงจันทร์ลอยขึ้นสู่
ท้องฟ้า ในที่สุดอลิเซียก็หายใจออกและยกมือขึ้น
“ถึงเวลาแล้ว”
หลังจากลูบกวางยักษ์ใต้ร่างของตนอีกสองครั้ง อลิเซียก็เดินออก
จากถ�าขนาดใหญ่ โดยมีสัตว์อสูรขนาดยักษ์ติดตามมา ลําตัวขนาดใหญ่
ที่ถูกคําสาปกัดเซาะ กล้ามเนื้อและขนหนาพุ่งออกมาจากถ�าอย่าง
รวดเร็ว สร้างแรงสั่นสะเทือนอันทรงพลังขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับพายุ
เฮอริเคน
“กรร!”
กวางยักษ์แปดขายืนขึ้น ร่างกายอันใหญ่โตบดบังแม้กระทั่งต้นไม้
สูงตระหง่านนับแสนต้นในป่า มันกรีดร้องขึ้นไปบนฟ้า ส่งเสียงคําราม
สั่นสะเทือนแก้วหูทําให้เหล่าทหารกรีดร้องด้วยความกลัว ครอบงํา
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในป่าด้วยความตื่นตระหนก
อย่างไรก็ตามวินาทีต่อมา เมื่ออลิเซียเรียกมัน ก็ทําให้ทุกอย่างสงบ
ลงทันที สัตว์อสูรตัวใหญ่ก้มศีรษะลงฟังข้อความสั้นๆ ของเด็กสาว
ก่อนที่เธอจะยื่นมือออกไปลูบกวางยักษ์อย่างผ่อนคลาย
“ออกเดินทางกันเถอะ ถึงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองแล้ว”อลิเซียพูดพร้อมมองออกไปไกลๆ ทําให้สัตว์อสูรตัวใหญ่ก้าวไป
ข้างหน้า ราวกับกําลังตอบสนองต่อคําพูดของเด็กสาว
—————————————-
“ฮ่าฮ่า เมื่อกี้ พวกเจ้าได้ยินเสียงนั่นรึเปล่า ดูเหมือนพวกงี่เง่าของ
จักรวรรดิเซนต์เมซิทจะเจอตัวปัญหาเข้าให้แล้ว ”
“เสียงนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นสัตว์อสูรตัวใหญ่สุดๆ เลยนะ”
ภายในค่ายของกองทัพตระกูลไซส์ ทหารกําลังพูดคุยและหัวเราะ
กัน เสียงคํารามของสัตว์ร้ายดังออกมาจากป่าที่กองทัพของตระกูล
ตระกูลแอสคาร์ดเดินทัพเข้าไป ดังจนทุกคนได้ยินอย่างชัดเจนแม้จะอยู่
ห่างออกไปมากก็ตาม จากนั้นเหล่าทหารก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง ก่อนจะ
ตื่นขึ้นมาเข้าเวรพลางใคร่ครวญถึงความโง่เขลาของศัตรู
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกฝ่ายได้ทําให้สัตว์อสูรเจ้าถิ่นในป่าโกรธแล้ว
ในดินแดนแห่งนี้ เสียงนี้หมายถึงการทําลายล้าง เพราะเจ้าถิ่นที่ว่านั้น
ไม่ใช่แค่สัตว์อสูรเจ้าถิ่นธรรมดาๆ ที่ยึดครองอาณาเขตป่า แต่เป็นราชา
แห่งสัตว์อสูรที่เคยอาละวาดในจักรวรรดิออสทีนมาก่อน
ระหว่างที่พวกทหารยามกําลังคุยกันถึงตํานานของสัตว์อสูร พวก
เขาก็มองไปในระยะไกลรอดูกองทัพของอีกฝ่ายถือคบเพลิงหนีออกมา
จากป่า ในความคิดของทุกคน ไม่มีทางเลยที่อีกฝ่ายจะชนะการต่อสู้กับสัตว์อสูรน่าสะพรึงกลัวตัวนั้น อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทําให้พวกเขา
ประหลาดก็คือ ดูเหมือนว่ากองทัพศัตรูจะหนีออกจากป่ามาเร็วจน
ผิดปกติ
เหล่าทหารยามงงงวยเมื่อเห็นแสงพุ่งออกมาจากป่าในความมืดอัน
ห่างไกล หลังจากนั้นสีหน้าของทุกคนก็เริ่มซีดลง เพราะแรงสั่นสะเทือน
บนพื้นดิน และแสงมากมายที่ริบหรี่ในความมืดไม่…! มันไม่ใช่แสงไฟ
แต่เป็นแสงจากนัยน์ตาของสัตว์อสูร!!!
“กรร!”
เสียงร้องอันคุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มันกลับชัดเจนจน
ผิดปกติ เมฆดําล่องลอยไป พระจันทร์สีเงินปรากฏขึ้นอีกครั้ง และหัว
ของสัตว์อสูรขนาดยักษ์ก็ก็ยื่นออกมาเหนือป่า มองดูศัตรูของเด็กสาว
ผมสีเงินจากระยะไกล ซึ่งทางฝั่ งของกองทัพตระกูลไซส์ก็มองกลับไป
เช่นกัน
“นั่นมัน!”
ภายใต้ลางสังหรณ์อันหนักหน่วงของวิกฤตที่เกิดขึ้นได้ยากกับทุกๆ
คน แม้ว่าจะเป็นในประสบการณ์ของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงก็
ตาม เบิร์กลีย์รีบออกมาจากค่ายของตัวเอง มองไปยังสัตว์อสูรยักษ์ใน
ระยะไกล ใบหน้าของชายวัยกลางคนเคร่งขรึมราวกับน�าไปชั่วขณะ จนในที่สุดเขาก็เข้าใจได้แล้วว่าทําไมศัตรูถึงเลือกเดินทัพเข้าไปในป่า แต่
มันก็สายเกินไปแล้ว
เสียงคํารามของสัตว์ร้ายดังขึ้นอีกครั้ง ภายใต้ท้องฟ้ายามค�าคืนใน
สถานที่อันห่างไกล กลุ่มคนหลายพันคนเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วบนถนน
โดยมีเด็กหนุ่มผมดําบนหลังม้าอยู่ในนั้นด้วย เขาขมวดคิ้วพลางหวนนึก
ถึงจดหมายที่ตนได้รับ
“ต้องรีบไปแล้ว”
โรเอลพึมพําด้วยความกังวล ห่วงในความปลอดภัยของน้องสาว
ก่อนจะคุมบังเหียนควบม้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว