ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 514: การต่อสู้ของกําลังหลัก (1)
“เดี๋ยวก่อน นี่มัน!” “มันกลายเป็นแบบนี้เมื่อไหร่? รีบหลบเร็วเข้า!”
เนื่องจากในสนามรบมีเลือดเปรอะเปื้ อนไปทั่ว พวกทหารจึงไม่ได้ สนใจว่าพื้นดินใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาเปียกแค่ไหน อย่างไรก็ตามเมื่อ เวลาผ่านไป พื้นดินทั้งหมดก็เริ่มแปลงสภาพเป็นโคลน ม้าของทหารม้า ไม่สามารถวิ่งได้อีก และคนที่ต่อสู้กันอยู่ก็เริ่มแยกตัวออกจากกันได้ยาก
กลวิธีในการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศในวงกว้าง นี่เป็นคาถาเวทที่ มีค่าใช้จ่ายแพงที่สุดและช้าที่สุดของเบิร์กลีย์ แต่มันก็ช่วยให้เขา สามารถบรรลุวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์บางอย่างได้ เมื่อคืนดยุคได้ใช้ คาถาเวทนี้เพื่อปราบปรามราชาแห่งความหายนะ และวันนี้จุดประสงค์ ของมันก็เพื่อสกัดการเคลื่อนไหวของศัตรูและเปิดช่องให้ทหารของเขา พยายามอย่างเต็มที่เพื่อกําจัดอีกฝ่าย
หลังจากใช้คาถาเวทระดับนี้ แม้แต่เบิร์กลีย์ที่เป็นระดับแก่นแท้ 2 ก็ยังเหลือพลังเวทไม่มาก นี่เป็นช่วงจังหวะที่อันตรายอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะมันเท่ากับว่าเขาได้สละความได้เปรียบเชิงบุคคลไป เพื่อมอบ โอกาสให้กับทหาร แต่การเคลื่อนไหวนี้ก็ได้ดึงขวัญกําลังใจของกองทัพ ตระกูลไซส์ขึ้นไปจนถึงขีดสุด
เบิร์กลีย์ได้ยกดาบขึ้นสูงและก้าวขึ้นสู่แนวหน้าเสมอๆ ทําให้ไม่ว่า เขาจะไปที่ไหน อัศวินที่ติดตามเขาไปก็พร้อมที่จะยอมสละชีวิต ส่งผล ให้ทหารที่อยู่รอบๆ เขาต่อสู้ได้อย่างกล้าหาญ
เหมือนที่ข้ารับใช้ผู้ภักดียอมสละชีวิตเพื่อผู้เป็นนายที่ให้ ความสําคัญกับพวกเขา เหล่าทหารเองก็พร้อมสละชีพเพื่อผู้บัญชาการ ที่ไว้วางใจในตัวพวกเขาเช่นกัน เสียงแตรศึกดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นดยุค ที่นําทัพก็ได้พากองทัพของเขา พุ่งไปข้างหน้าเหมือนมีดคมทิ่มแทงเข้า ใส่กองทัพตระกูลแอสคาร์ด
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันดึงดูดความสนใจของอลิเซีย ในทันที แม้ว่าเด็กสาวจะไม่ได้มีแผนในการรับมือกับสถานการณ์นี้ แต่ก็ ไม่คิดที่จะใช้คาถาเวทที่มีความเสี่ยงสูงเหมือนกับเบิร์กลีย์เช่นกัน เธอ ไม่ได้คิดที่จะสละชีวิตที่นี่เฉกเช่นเขา มันเป็นการตัดสินใจที่ต้องใช้ความ เด็ดขาดอย่างน่าทึ่งในสนามรบ นี่ทําให้อลิเซียตระหนักถึงความ แข็งแกร่งของศัตรูได้ในที่สุด
ดยุคเบิร์กลีย์แห่งตระกูลไซส์ นับว่าคู่ควรแล้วกับการเป็นผู้ บัญชาการชั้นยอดที่มีชื่อเสียงในจักรวรรดิออสทีน เขาเลิกที่จะใช้คาถา เวท และเปลี่ยนไปนําทัพให้แก่เหล่าทหาร มันเป็นฉากที่ดูบ้าบิ่นมากๆ แต่หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว มันเป็นการกระทําที่เกิดจาก
ความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะพิชิตสนามรบนี้ อีกทั้งยังทําให้กลวิธีนี้เป็นกล ลวงอีกด้วย
หากตระกูลแอสคาร์ดเสี่ยงที่จะลงมือฆ่าเบิร์กลีย์ พวกเขาก็จะตก หลุมพรางของดยุค ทําให้สงครามครั้งนี้เปลี่ยนจากการรบยืดเยื้อเป็น การต่อสู้ชี้ขาด หากพวกเขาถอยกลับ ความเร็วก็จะช้าลงอย่าง หลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากภูมิประเทศที่เปลี่ยนไป และขวัญกําลังใจของ กองทัพศัตรูก็จะเพิ่มขึ้นก่อให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ เช่นเดียวกับ ความแตกต่างทางกําลังพลก็อาจทําให้เกิดหายนะได้
ในช่วงเวลาสั้นๆ เบิร์กลีย์ได้เลือกตัวเลือกที่แน่วแน่และถูกต้องใน การใช้คาถาเวทให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ความได้เปรียบของผู้ แข็งแกร่ง ขวัญกําลังใจ และความได้เปรียบของกองกําลัง นี่ถือเป็น รูปแบบความคิดของผู้มีชื่อเสียงโด่งดังด้านการทหารโดยแท้ ทําให้อ ลิเซียทําได้เพียงพยายามจัดการกับช่องว่างทางยุทธวิธีให้ดีที่สุดเท่านั้น
ระหว่างที่กองทัพตระกูลแอสคาร์ดถอยทัพเข้าไปในป่า นักรบจาก ลัทธิแห่งความแน่วแน่ก็ได้พาอลิเซียถอยร่นออกมา ด้วยการคุ้มครอง ของเทพธิดาแห่งผืนปฐพี พวกเขาจึงไม่ถูกจํากัดโดยผืนดินที่กลายเป็น โคลน ซึ่งอลิเซียเองก็ได้คอยช่วยระวังหลังให้กับคนอื่นๆ ด้วย เพื่อแสดง ความจริงใจในการต่อสู้ร่วมกับทหาร
กองทัพทั้งสองฝ่ายต่างก็มีขวัญกําลังใจในระดับสูงสุด พวกเขาได้ ปะทะกันอีกครั้ง จึงก่อให้เกิดการต่อสู้อันดุเดือด อย่างไรก็ตาม ไม่มีใคร สังเกตเห็นว่าบนท้องฟ้า นกอินทรีปีกสีเงินกําลังบินมาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ดวงตาที่ถูกสร้างจากอัญมณีของมันมองลงไปที่สนามรบอัน วุ่นวาย
————————-
แนวหน้าเริ่มจะไม่ไหวแล้วสินะ
เด็กสาวผมสีเงินคิดในใจ ภายในสนามรบอันอึกทึก เธอจึงทําได้ เพียงยิงคาถาเวทในมือให้ถี่ขึ้น
หลังจากที่ตระกูลไซส์บุกเข้ามาโจมตีกองทัพของตระกูลแอสคาร์ด การต่อสู้ก็รุนแรงเกินกว่าที่อลิเซียจินตนาการไปมาก จนเกินกว่าเวลาที่ คาดหมายเอาไว้ ในขณะที่การต่อสู้กําลังยืดเยื้อ ความเสียเปรียบของ กองทัพตระกูลแอสคาร์ดก็เริ่มปรากฏขึ้นทีละน้อย
การขาดซึ่งกําลังพล การไม่ประสานกันระหว่างกองทัพนอกรีต และกองทัพพันธมิตร ทําให้ความผิดพลาดตามปกติ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่ กลายเป็นข้อบกพร่องอันร้ายแรง และแล้วอลิเซียก็ได้เข้าใจถึง ความสําคัญของประสบการณ์การต่อสู้จริงในที่สุด
ต่างจากอลิเซียที่เรียนภาคทฤษฎีเป็นหลักมาตลอด เบิร์กลีย์เป็น นักรบโดยแท้จริง ความเข้าใจในสนามรบและยุทธวิธีของเขาเหนือกว่า ผู้บัญชาการคนอื่นๆ มาก อีกทั้งยังเจนศึกจนยากที่จะหาคนที่สามารถ เทียบเคียงกับเขาหรือเหนือกว่าเขาในด้านประสบการณ์ได้ ตอนนี้ ทางเลือกของเด็กสาวจึงเริ่มน้อยลงไปเรื่อยๆ
ถ้ายังสู้ต่อไป ออกไปไม่ได้เลย หากคุณเรียกมอนสเตอร์เข้ามาใน สนามรบ มอนสเตอร์ที่ไม่สามารถแยกแยะระหว่างศัตรูและศัตรูจะ โจมตีโดยไม่เลือกปฏิบัติ ในเวลานั้นกําลังพลของตระกูลแอสคาร์ดจะ ได้รับบาดเจ็บสาหัส
เราควรจะทําอย่างไรดี?
เมื่อคิดว่ากองทัพที่เก่งที่สุดในตระกูลอาจจะต้องถูกทําลายด้วยมือ ของตัวเอง เด็กสาวผมสีเงินก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านด้วยความโกรธ อารมณ์ที่เกิดจากการตําหนิตนเองอย่างรุนแรงของอลิเซียทําให้ดวงตา ของเธอเริ่มแดงก�า อย่างไรก็ตามในขณะที่เด็กสาวกําลังสิ้นหวังกับ ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอก็พบว่าจู่ๆ การบุกของกองทัพศัตรู เริ่มช้าลงอย่างลึกลับ
ทหารที่ต่อสู้ในแนวหน้ายังคงปะทะกันอยู่ อย่างไรก็ตามกองทหาร ที่กําลังจะตามมากลับหยุดลง เบิร์กลีย์ขมวดคิ้วและมองไกลออกไป
พร้อมตั้งดาบขึ้น ทว่าสายตาของดยุคไม่ได้มองมาที่ทิศทางของอลิเซีย แต่เป็นอีกด้านหนึ่งของภูเขา
เอ๋? นี่มัน…
ทันทีที่ความสนใจถูกดึงออกไป คลื่นพลังเวทอันคุ้นเคยก็เข้ามาใน ระยะตรวจจับของอลิเซีย บนภูเขาที่ห่างไกล เด็กหนุ่มคนหนึ่งได้ควบม้า เข้ามา
ที่ด้านบนของภูเขา โรเอลจับบังเหียนม้าของตนก่อนจะจ้องมองลง ไปที่สนามรบอันวุ่นวายบนที่ราบ นกอินทรีปีกสีเงินลอยอยู่เหนือหัว สะท้อนตําแหน่งของศัตรูและพันธมิตรให้กับเขา
เมื่อมองไปยังสนามรบอันร้อนระอุและ ร่างกายของอลิเซียที่เต็ม ไปด้วยเลือด สีหน้าของโรเอลก็มืดมนไปชั่วครู่ ความโกรธอันท่วมท้นได้ เผาผลาญหัวใจของเขา ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่ได้รีบเร่งออกไปด้วย ความโกรธเกรี้ยว แต่สังเกตแนวรบอย่างระมัดระวัง เขารู้ดีว่าอารมณ์ไม่ สามารถแก้ปัญหาใดๆ ในสนามรบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีกําลังพล น้อยกว่าอีกฝ่าย
เหตุผลที่โรเอลปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้เป็นเพราะอุปกรณ์เวทที่โบยบิน อยู่บนท้องฟ้า [อินทรีปีกเงิน] ที่เขาปล่อยออกมาด้วยความกังวล เกี่ยวกับแนวหน้าเมื่อคืนนี้ มันมีความเร็วพอที่จะทําให้โรเอลได้เห็นค�า
คืนอันยิ่งใหญ่ของแนวหน้า และการต่อสู้ระหว่างสัตว์อสูรในตํานาน กับเบิร์กลีย์
เมื่อโรเอลพบว่าอีกฝ่ายมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 2 อยู่ในกองทัพ เขาก็คาดเดาสถานการณ์และความเสียเปรียบที่จะ เกิดขึ้นในวันต่อมาได้ทันที และตัดสินใจออกเดินทางล่วงหน้ามาก่อน การเริ่มต้นของสงครามอย่างเป็นทางการระหว่างสองกองทัพในช่วง กลางวัน ทําให้โรเอลเร่งความเร็วของตนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ซินเทีย และคนอื่นๆ ห่างจากเขาเป็นระยะทางกว่าครึ่งวัน
โรเอลไม่ได้เป็นผู้บัญชาการของกองทัพนักรบชั้นยอดอีกต่อไป แล้ว เขามาที่นี่เพียงลําพัง และอิทธิพลของบุคคลเพียงคนเดียวใน สงครามก็น้อยกว่ากองทัพมาก หากเขาต้องการที่จะพลิกสถานการณ์นี้ เด็กหนุ่มจะต้องทุ่มกําลังทั้งหมดไปที่แกนหลักของกองทัพศัตรู
เด็กหนุ่มปล่อยคาถาเวทขนาดใหญ่ เผยออร่าสังหารออกมา และ พลังที่ผันผวนอย่างกะทันหันเบื้องหลังเขาก็ดึงดูดความสนใจจาก กองทัพตระกูลไซส์ ทหารมองไปที่โรเอลหัวเราะเยาะความโง่เขลาของ เด็กหนุ่มที่กรีดร้องที่หญ้า แต่พวกเขาไม่รู้ว่านี่เป็นข้อกําหนดเบื้องต้นที่ โรเอลสร้างขึ้นเพื่อเปิดใช้งานทักษะ
ทันทีที่ทักษะ [สัญชาตญาณของเทพเจ้าแห่งการรบ] เปิดใช้งาน โร เอลรู้สึกว่าโลกดูเหมือนจะถูกปกคลุมด้วยชั้นสีเทาในทันที ทหารที่มี
ความเป็นปรปักษ์รุนแรงและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้นั้นโดดเด่นราว กับกองไฟในตอนกลางคืน และจุดที่แสงไฟส่องชัดมากที่สุด…ผู้ชายบน หลังของเขาอยู่รอบชายวัยกลางคนที่แต่งตัวเป็นผู้บัญชาการกลาง กองทัพของศัตรู!
ไม่ผิดแน่ นั่นคือกําลังหลักของศัตรู
ภายใต้ผลของทักษะ [สัญชาตญาณของเทพเจ้าแห่งการรบ] โรเอ ลจึงสามารถระบุตําแหน่งที่ชัดเจนของศัตรูได้อย่างรวดเร็ว เขาควบม้า วิ่งลงมาจากเขา โดยมีอินทรีสีเงินบินตามมาด้วย พลังเวทในร่างกาย ของเด็กพุ่งออกมาราวกับเปลวเพลิงขณะที่เขาควบม้าไปข้างหน้า ณ ปลายสายตาของเขา ดวงตาของดยุควัยกลางคนเองก็เฉียบแหลมขึ้น เช่นกัน
เบิร์กลีย์มองดูร่างของเด็กหนุ่มที่กําลังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับแสงเจิดจ้า ก่อนจะโบกมือสร้างลิ่มน�าพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า บีบ อัดมันด้วยแรงกดดัน จังหวะนั้นเองอลิเซียที่เห็นเหตุการณ์ก็รีบส่งเสียง เตือนพี่ชายของตนในทันที
“ท่านพี่ รีบหลบเร็ว…”
“ปัง!”
เสียงอันแหลมคมของแรงอัดอากาศที่สั่นสะเทือนดังขึ้น พร้อมๆ กันกับตอนที่อลิเซียกล่าวเตือน กระสุนน�าที่ถูกบีบอัดพุ่งทะลุผ่านชั้น อากาศตรงเข้าไปที่อกของโรเอล การโจมตีปลิดชีพครั้งนี้ไม่ได้มีนกสี ขาวคอยเบี่ยงเบนเหมือนกับในกรณีของอลิเซีย ทว่าเด็กหนุ่มผมดํากลับ ไม่ได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย
หลังจากผ่านประสบการณ์เสี่ยงชีวิตมาที่ชายแดนตะวันออก ความแข็งแกร่งของโรเอลก็ได้พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด และไม่ได้ถูก จํากัดเอาไว้เหมือนในอดีต พลังเวทที่กําลังลุกโชนบนร่างกายของโรเอล ได้ไหลเวียนไปตามความต้องการของเขา กลายเป็นเกราะพลังเวท มากมายหลายชั้น ส่งผลให้กระสุนน�าที่พุ่งทะลวงเข้ามาค่อยๆ ถูก เบี่ยงเบนวิถี จนในที่สุดก็ผ่านเขาไปในที่สุด
“ตูม!”
เสียงระเบิดอย่างรุนแรงดังขึ้นข้างหลังโรเอล จากนั้นพลังเวทที่ห้อ หุ้มร่างกายของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นแสงเข้ม สร้างหมอกอันร้อนระอุ รวมตัวกันเป็นโครงกระดูกขนาดยักษ์ จุติลงมาบนพื้นโลกราวกับปีศาจ ร้าย
ทันทีที่กรันด้าปรากฏตัวขึ้น เสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นก็ดังมา จากกองทัพของตระกูลแอสคาร์ดอย่างควบคุมไม่ได้ เหล่าทหารตะโกน ชื่อของโรเอลด้วยความฮึกเหิม ขณะที่อีกด้านหนึ่ง กองทัพของตระกูล
ไซส์ต่างก็ถอยร่นกลับไปด้วยความกลัว พลังแห่งเทพเจ้ากดดันพวกเขา เสียจนต้องก้มหน้าลง
ภายใต้แรงกดดันมหาศาลของพลังอันยิ่งใหญ่ ร่างกายของเบิร์กลีย์ ก็แข็งทื่อไปในทันที แต่แล้วในช่วงเวลาวิกฤตนี้ชายวัยกลางคนผู้มาก ประสบการณ์ก็ได้ปล่อยพลังเวทหยดสุดท้ายในร่างกายออกมา ก้อนน�า พองขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลายเป็นผนังของเหลวกางออกไปเพื่อ ปกป้องทุกสรรพสิ่ง กลายเป็นกําแพงขนาดยักษ์ขวางกั้นเด็กหนุ่มและ ราชายักษ์ที่กําลังยกกําปั้ นขึ้น
หมัดสีแดงวาววับพุ่งไปข้างหน้า ในขณะที่กําแพงน�ายังคงขยาย ตัวอย่างต่อเนื่อง การโจมตีปะทะกับการป้องกัน ราวกับหอกชั้นยอด ปะทะกับโล่ชั้นยอด ผลลัพธ์ของการปะทะครั้งนี้นั้นจะเป็นตัวกําหนด ทิศทางของสงครามโดยสิ้นเชิง
การดวลอันดุเดือดระหว่างสองนักรบผู้มีประสบการณ์การต่อสู้โชก โชนได้อุบัติขึ้น กําแพงน�าระเหยกลายเป็นไอ เหล่าทหารต่างแตกตื่น ด้วยความสะพรึงกลัว ขณะที่สายฟ้าสีชาดผ่าลงมา ส่งเสียงอึกทึกไปทั่ว ท้องฟ้า
ผลกระทบของพลังเวทมหาศาลที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าทําให้กรวด และทรายลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ปัดเป่าเมฆให้หายไป การปะทะอัน รุนแรงมาพร้อมกับเสียงคํารามของทั้งสองฝ่าย ขณะเดียวกันไกล
ออกไปภายนอกสนามรบอันดุเดือด ชายชราผมขาวคนหนึ่งก็ได้แหงน มองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“มันเริ่มแล้วงั้นเหรอ?”
หลังจากพูดด้วยสีหน้าเปี่ ยมสุขราวกับกําลังดูดอกไม้ไฟ ชายชราก็ ก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง