ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 516: อย่าทิ้งฉัน (2)
ภายในค่ายบัญชาการ เด็กสาวผมสีเงินนั่งเงียบๆ ก้มหน้าก้มตา มองพื้น ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ แม้ว่าผู้บัญชาการคนอื่นๆ จะเดิน ออกไปกันหมดแล้วก็ตาม เธอก็ยังไม่หลุดออกจากอาการซึมกะทื่อนั้น และไม่ได้เดินเข้าไปหาโรเอลเหมือนกับปกติ
โรเอลนั้นเคยเห็นท่าทางแบบนี้ของอลิเซียมาก่อนแล้วในอดีต เห็น ได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับเธอ อลิเซียนั้นดูหดหู่มาก อีกทั้ง ยังกลัวสายตาของโรเอลเป็นพิเศษ นอกจากกล่าวทักทายแล้ว เธอก็เอา แต่ก้มหน้าไม่พูดอะไรแบบนั้นมาจนถึงตอนนี้
ปฏิกิริยาของอลิเซียตรงกันข้ามกับสิ่งที่โรเอลจินตนาการเอาไว้ โดยสิ้นเชิง นี่ทําให้เด็กหนุ่มสับสนมาก ก่อนหน้านี้เขามีภารกิจสําคัญทํา ให้ต้องเดินทางไปที่ชายแดนตะวันออก ประกอบกับการเปลี่ยนแปลง หลายอย่างหลังจากนั้น ทําให้เขาไม่ได้ใช้เวลารวมกับเธอในวันปีใหม่ ด้วยกันเป็นครั้งแรก ตามปกติอลิเซียน่าจะดีใจมากที่ได้เจอโรเอลอีก ครั้ง แต่แล้วทําไมปฏิกิริยาของเธอถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้กัน?
ห…หรือว่า สนามรบจะทําให้อลิเซียป่วยเป็นอาการทางจิต?!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็ซีดลงและเขาอยากจะถาม ว่าเกิดอะไรขึ้นในทันที แต่หลังจากที่เห็นการหลบตาของอลิเซีย เขาก็รู้ ได้ทันทีว่าเธอคงไม่ยอมพูดออกมาง่ายๆ แน่
…ถ้ามันเป็นเพราะอาการทางจิตจริงๆ มันจะดีกว่าไหม ถ้าเราจะ ไม่ถามอะไรเธอในตอนนี้?
ความกังวลทําให้โรเอลกระวนกระวายใจจนทําอะไรไม่ถูก ทําได้ เพียงแค่คงบรรยากาศอันเงียบสงบนี้เอาไว้ จนกระทั่งเมื่อทุกอย่างเริ่ม เรียบร้อย เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจถามอลิเซียว่าเกิดอะไรขึ้น
โรเอลรอสักพัก และเมื่อพบว่าอีกฝ่ายไม่คิดที่จะยอมปริปากพูด อะไร หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เดินเข้าไปหาเธออย่างสงบ
—————————-
เราควรจะคุยกับพี่ใหญ่ยังไงดี?
ตั้งแต่กลับมาจากสนามรบ เด็กสาวผมเงินก็คิดถึงเรื่องนี้มาโดย ตลอด
เพื่อที่จะได้อยู่เคียงข้างโรเอล อลิเซียพยายามอย่างสุด ความสามารถ เพื่อที่จะได้ออกมายังแนวหน้า เธอได้ร้องขอต่อคาร์เตอร์ ด้วยความมั่นใจอันเต็มเปี่ ยมในชัยชนะจากข้อมูลมากมายที่เธอมี ความ
ได้เปรียบนี้ทําให้อลิเซียรู้ว่ามีราชาสัตว์อสูรที่กําลังบาดเจ็บพํานักอยู่ใน ป่าแห่งนี้
ถึงเราจะไม่รู้ว่าจะต้องทํายังไงจริงๆ ก็เถอะ แต่พลังชีวิตในเลือด ของเรา ก็น่าจะทําให้สัตว์อสูรตัวนั้นฟังคําสั่งของเราได้ นี่คือสิ่งที่อลิเซีย คิด เธอได้ทําการทดลองมันด้วยตัวเอง ในตอนที่พี่ชายของเธอไม่อยู่ จนมั่นใจแล้วว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างราบรื่น
ตามหลักแล้วราชาแห่งความหายนะควรจะเป็นสัตว์อสูรที่เกินกว่า ขีดความสามารถของอลิเซีย แต่อาจจะเป็นเพราะอาการบาดเจ็บของ มัน ทําให้หลังจากที่มันได้สัมผัสกับพลังชีวิตจากอลิเซียแล้ว มันก็ยอม จํานนไม่ได้ต่างไปจากสัตว์อสูรตัวอื่นๆ นอกจากนี้ท่าทีของมันก็ อ่อนโยนมากกว่าสัตว์อสูรปกติทั่วๆ ไป ทําให้ทันทีที่เธอสั่งมันก็ยอมทํา ตามอย่างว่าง่าย และกองทัพตระกูลแอสคาร์ดเองก็ให้การสนับสนุนกับ เธอด้วยเช่นกัน
บางทีอาจจะเป็นเพราะช่วงแรกทุกอย่างเป็นไปตามแผนอย่าง ราบรื่นเกินไปก็ได้ ที่ทําให้เรารู้สึกล้มเหลวถึงขนาดนี้
อลิเซียคิดพลางกัดริมฝีปากของเธออย่างเจ็บใจ เพราะหลังจาก นั้นในช่วงกลางวันกองทัพตระกูลแอสคาร์ดที่นําโดยเธอก็ประสบ ปัญหาใหญ่ เด็กสาวประเมินทั้งความแข็งแกร่งของกองทัพศัตรู และ การตัดสินของดยุคแห่งตระกูลไซส์ในสนามรบต�าเกินไป เป็นผลให้
กองทัพตระกูลแอสคาร์ดพลาดพลั้งจนเกือบจะเสียท่าให้กับศัตรู ที่มอง กลยุทธ์ของพวกเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
ในสนามรบ กองทัพที่เหนื่อยล้ากว่ามักจะเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ แต่ เนื่องจากภูมิประเทศมีการเปลี่ยนแปลง และฝั่ งของอลิเซียไม่สามารถ จัดการปิดฉากกองทัพศัตรูลงได้ทันท่วงที สถานการณ์ในสนามรบจึงแย่ ลงไปเรื่อยๆ วินาทีนั้นเธอจึงได้รู้สึกถึงความกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมา ก่อน แต่เหตุผลไม่ใช่เพราะว่าเธออาจจะตายในสนามรบนี้ แต่เพราะ ความพ่ายแพ้ของเธอที่นี่จะทําให้กองกําลังชั้นยอดของตระกูลแอส คาร์ดสูญสิ้น ซึ่งสําหรับอลิเซียสิ่งนั้นน่ากลัวเสียยิ่งกว่าความตาย
แม้ว่าการปรากฏตัวของโรเอลจะช่วยพลิกสถานการณ์ขึ้นมาได้ และทําให้ศัตรูต้องถอยกลับไป แต่มันกลับยิ่งทําให้อลิเซียอับอายมาก กว่าเดิม
ความผิดพลาดครั้งใหญ่เช่นนี้ หากเป็นผู้บัญชาการคนอื่นล่ะก็ คง โดนโทษสถานหนักไปแล้ว ทว่าทันทีที่อลิเซียสบตากับโรเอล เด็กสาวก็ รู้ได้ทันทีว่าเธอจะไม่เป็นไร เพราะเขามองเธอด้วยสายตาของคนที่ กําลังมองมายังความปลอดภัยของคนสําคัญ มันเป็นสายตาที่มีเพียง ความโล่งใจ
ทว่าสําหรับอลิเซียแล้ว เรื่องนี้นั่นแหละที่ทําให้เธอไม่สามารถให้ อภัยตัวเองได้
“ไม่เป็นไรใช่ไหม อลิเซีย?”
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน โรเอลก็เดินเข้ามาหาน้องสาวพร้อมถาม เบาๆ ว่าเธอรู้สึกยังไง อย่างไรก็ตามเมื่อได้ยินคําพูดอันเต็มไปด้วยความ กังวลของเด็กหนุ่ม มันก็ยิ่งทําให้เด็กสาวผมสีเงินละอายใจยิ่งขึ้นไปอีก เธอพยายามจะอ้าปากพูด แต่คําพูดเหล่านั้นก็ติดอยู่ที่คอของเธอ ราว กับว่ามีอะไรขวางกั้นเอาไว้
“พูดอะไรสักหน่อยสิ อลิเซีย มีอะไรรึเปล่า?”
“…”
เมื่อเห็นว่าเด็กสาวผมสีเงินพยายามจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ โรเอลก็ชะงักไปครู่หนึ่ง วินาทีต่อมา ดวงตาของเขาเบิกกว้าง เนื่องจากนึกถึงอาการพิการทางสมองที่เกิด จากความเครียดในสนามรบขึ้นมา
เดี๋ยวก่อนสิ คงไม่ใช่แบบนั้นหรอกใช่ไหม?
หัวใจของโรเอลสลายไปทันทีที่คิดถึงเรื่องนี้ เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับว่า สมองของเขากําลังหยุดทํางาน เขาย่อตัวลงเอื้อมมือไปลูบแก้มของเด็ก สาว อดไม่ได้ที่จะถามยืนยันด้วยความกังวล
“พูดไม่ออกงั้นเหรอ? เพราะอาการบาดเจ็บจากงั้นเหรอ? หรือ เพราะความเครียดในสนามรบ? ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ พี่จะพาเธอไปหา หมอเดี๋ยวนี้แหละ!”
ความกังวลในหัวใจทําให้โรเอลกระวนกระวายใจจนทําอะไรไม่ถูก แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้ลงมือทําอะไร เด็กสาวผมสีเงินก็คว้าแขนของ เขาเอาไว้ แล้วเงยศีรษะขึ้นช้าๆ
นับตั้งแต่ที่โรเอลกลับมา นี่เป็นครั้งแรกที่อลิเซียสบตาเขา ทว่าต่าง จากสถานการณ์ปกติ นัยน์ตาสีแดงของเด็กสาวนั้นเต็มไปด้วย ความรู้สึกผิด จากนั้นน�าตาก็ไหลเอ่อออกมาในดวงตาของเธอ
“…หนูขอโทษค่ะพี่ ขอโทษด้วยจริงๆ”
“หืม? อะไรนะ?”
“หนูแพ้ หนูทําให้ตระกูลของเราเสียชื่อเสียง ทําให้ทหารบาดเจ็บ เป็นจํานวนมาก หนูขอโทษ…”
“…”
เสียงแหบแห้งอันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเปล่งออกมาจากลําคอ ของอลิเซีย หลังจากอดทนมานาน ในที่สุดเด็กสาวก็ทนความรู้สึก เจ็บปวดในใจต่อไปไม่ไหว เธอเข้าไปซุกที่อกของโรเอลและเริ่มร้องไห้
ฟูมฟาย เมื่ออลิเซียยอมระบายความในใจที่เก็บงําเอาไว้ โรเอลก็ถอน หายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะกอดเธอเอาไว้แน่น
การที่อลิเซียระบายความในใจออกมาย่อมดีกว่าทนทุกข์เก็บเอาไว้ ในใจอย่างไม่ต้องสงสัยในเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เพิ่งผ่าน ประสบการณ์เสี่ยงชีวิตในสนามรบอันโหดร้ายด้วยแล้ว โรเอลนั้นเข้าใจ ดี เขาจึงไม่ได้ขัดจังหวะการร้องไห้ของอลิเซีย แต่โอบรับเธอเอาไว้ ลูบ หลังเธอ พยายามอย่างเต็มที่เพื่อบรรเทาอารมณ์และปลอบโยน
ทั้งสองกอดกันแน่น ผ่านไปพักใหญ่ๆ น�าตาของเด็กสาวก็ค่อยๆ หยุดลง จากนั้นอารมณ์ของเธอเองก็ค่อยๆ สงบลงเช่นกัน และในที่สุด โรเอลก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ดีขึ้นบ้างไหม?”
“…ค่ะ”
“ดีแล้วล่ะ พี่ไม่ได้เห็นเธอร้องไห้แบบนี้มานานมากแล้ว ครั้ง สุดท้ายน่าจะเป็นสมัยเด็กล่ะมั้ง?”
“ขอโทษด้วยค่ะ พี่ใหญ่ หนูทนไม่ไหวแล้วจริงๆ…”
“เธอไม่จําเป็นต้องฝืนทนหรอก อย่างน้อยๆ ก็ต่อหน้าพี่ แต่…อลิ เซีย พี่ว่าพี่ต้องอธิบายบางอย่างให้เธอเข้าใจก่อน”
โรเอลสัมผัสผมสีเงินขาวสลวยของอลิเซีย ยืดตัวขึ้นเล็กน้อยแล้ว จ้องเข้าไปที่ดวงตาสีแดงของเธอ
“เธอไม่ได้แพ้ แล้วก็ไม่ได้ทําให้ชื่อเสียงของตระกูลเราเสื่อมเสีย ด้วย พี่ขอรับประกันเลย”
“ขอบคุณค่ะ แต่พี่ไม่ต้องปลอบหนูหรอก…”
“ไม่ๆ พี่ไม่ได้ต้องการจะปลอบเธอ นี่เป็นความจริง เธอคิดว่าจะมี ใครทําได้ดีกว่านี้อีกเหรอ นอกจากเธอแล้ว ใครจะควบคุมราชาแห่ง ความหายนะได้แบบนั้นอีกเล่า?”
เด็กหนุ่มผมดําพูดพร้อมบีบแก้มของเด็กสาวเบาๆ ดวงตาของเขา เต็มไปด้วยความเป็นห่วง จนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
อลิเซียรู้สึกว่ามันเป็นความผิดของเธอที่ไม่สามารถเอาชนะ กองทัพศัตรูได้ อีกทั้งยังเกือบจะเสียท่าให้กับอีกฝ่าย แต่อันที่จริงแล้ว กองทัพที่นําโดยเธอนั้นประสบความสําเร็จเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการ ได้ในสงครามครั้งนี้
แม้จะเผชิญกับความเสียเปรียบทางด้านกําลังพล และ ประสบการณ์ในการรบ แต่อลิเซียก็สามารถต่อกรกับผู้นําตระกูลไซส์ และกองทัพอันเลื่องชื่อของเขา ซึ่งได้รับฉายาในจักรวรรดิออสทีนว่า
ภาคีอัศวินแห่งเทพสงครามได้อย่างสูสี อีกทั้งอัตราการสูญเสียก็ยังไม่ มากเท่าไหร่ด้วย เรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์ในสนามรบก็ว่าได้
หากเปลี่ยนผู้บัญชาการรบเป็นคนอื่นแล้วล่ะก็ อย่าว่าแต่จะทําให้ เทียบเคียงอลิเซียได้เลย ตระกูลไซส์ที่มีความได้เปรียบเช่นนี้คงจะไม่ ยอมให้อีกฝ่ายได้หลบเข้ามาตั้งค่ายในป่าแบบนี้แน่ นอกจากนี้ตามที่ คาร์เตอร์และคนอื่นๆ คาดเดาไว้ หากพวกเขาต้องมารับศึกที่นี่ล่ะก็ กองทัพตระกูลแอสคาร์ดคงจะสูญเสียกําลังไปเกือบครึ่งหนึ่งในตอนที่ โรเอลมาถึง แต่ภายใต้การบัญชาการของอลิเซีย จํานวนผู้เสียชีวิตนั้น น้อยกว่าจํานวนที่ประเมินเอาไว้ไปมาก
“ตอนที่พี่มาถึง เธอก็แค่กําลังเสียเปรียบ ตราบใดที่เธอสละทหาร บางส่วนไป ทหารคนส่วนใหญ่ที่เหลือก็น่าจะหนีเข้าไปในป่าได้ไม่ยาก หลังจากนั้นไม่มีทางเลยที่เบิร์กลีย์จะกล้าไล่ตามกองทัพ เธอจะนับว่านี่ เป็นความพ่ายแพ้จริงๆ งั้นเหรอ?”
“แต่กลยุทธ์ของหนูถูกเขามองออก แล้วก็ยังมีผู้บาดเจ็บมากมาย ด้วย…”
“มันไม่ได้ผิดที่กลยุทธ์ของเธอหรอก สาเหตุที่ศัตรูพลิก สถานการณ์ได้เป็นเพราะพวกเขาสามารถเปลี่ยนสภาพแวดล้อมใน สนามรบได้ มันไม่ใช่ความผิดของเธอ ส่วนเรื่องความสูญเสีย ถ้าเธอไม่
นํากองทัพสัตว์อสูรออกไปสู้ ความสูญเสียของพวกเราคงจะหนักหนา สาหัสกว่านี้มาก”
เด็กหนุ่มผมดําสางผมของเด็กสาวเบาๆ พร้อมพูดด้วยน�าเสียงอัน หนักแน่นแต่ก็สงบ
“เธอทําดีที่สุดแล้ว ทั้งบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ และพยายาม ปกป้องทหารอย่างเต็มที่ เธอจะทําให้ชื่อเสียงตระกูลเราเสื่อมเสียไปได้ ยังไงกัน อันที่จริงมันกลับกันเลยด้วยซ�า…”
โรเอลค่อยๆ ยกคางของอลิเซียขึ้น มองเข้าไปในนัยน์ตาสีแดงเข้ม แล้วกล่าวอย่างจริงจัง
“ทั้งพี่และตระกูลของเราภูมิใจในตัวเธอ อลิเซีย”
“!”
เด็กสาวผมสีเงินเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคํายืนยันที่ไม่เคยได้ยินมา ก่อนจากปากของโรเอล เธออดไม่ได้ที่จะร้องไห้อีกครั้ง เด็กสาวพุ่งเข้า ไปในอ้อมแขนของพี่ชาย และแล้วในที่สุดปมหัวใจของอลิเซียก็ได้ คลายออก โรเอลได้ปลดปล่อยหัวใจของเธอให้เป็นอิสระโดยสมบูรณ์
สําหรับเรื่องในคราวนี้อลิเซียตั้งมาตรฐานให้กับตัวเองสูงเกินไป ซึ่ง ปัญหาหลักก็คือประสบการณ์ของเธอ
ต่างจากโรเอล ผู้เคยชินกับสงครามและการเสี่ยงชีวิตในสถานะผู้ เฝ้ามอง อลิเซียนั้นยังเด็กมาก และไม่เคยได้มีประสบการณ์ด้าน สงครามมาก่อน การสูญเสียของผู้ใต้บังคับบัญชาจึงกระตุ้นให้เธอ ตําหนิตัวเองอย่างรุนแรง
ความรักไม่ใช่สิ่งที่อยู่เคียงคู่กับสงคราม อลิเซียนั้นอ่อนโยนเกินไป ด้วยที่เธอถูกรังแกมาตั้งแต่เด็กๆ ทําให้ตกอยู่ในความสิ้นหวังและความ เจ็บปวด เธอจึงอ่อนไหวต่อสิ่งเหล่านี้มาก เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ โรเอลก็ ขมวดคิ้ว ด้วยความทุกข์เกินจะบรรยาย เขาอดที่จะบ่นไม่ได้ถึงการ ตัดสินใจของบิดา
“อลิเซีย หน้าที่ของเธอเสร็จสิ้นแล้ว หลังจากนี้ให้พี่จัดการเถอะ วันพรุ่งนี้พี่จะให้คนส่งเธอกลับไป…”
“ไม่ค่ะ!”
“เอ๋ ?”
เพื่อส่งน้องสาวของตนออกจากสนามรบ โรเอลได้พูดการตัดสินใจ ของเข้าด้วยน�าเสียงอันนุ่มนวล ทว่าเมื่ออลิเซียได้ยินเธอก็ปฏิเสธอย่าง รุนแรง จนทําให้เขาประหลาดใจ อลิเซียเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปใน นัยน์ตาสีทองของโรเอล ด้วยดวงตาที่รื้นไปด้วยน�าตาพร้อมอ้อนวอน
“พี่ใหญ่ ได้โปรด…อย่าทิ้งหนูไปอีกเลยนะคะ”
“!”