ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 517: การสืบสวนของอลิเซีย (1)
ภายในค่ายพักแรมชั่วคราว เด็กหนุ่มผมดําจ้องมองไปยังเด็กสาวที่ มีน�าตานองหน้า ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ ก่อนที่จะนึก ย้อนกลับไปถึงวันคืนในอดีต
อย่าทิ้งหนูไป นานมากแล้วที่อลิเซียไม่ได้พูดแบบนี้ออกมา ครั้ง สุดท้ายที่เราได้ยินประโยคนี้ น่าจะเป็นในตอนที่พวกเรายังเด็กสินะ
ในตอนที่พวกเขายังเด็ก อลิเซียผู้ระหวาดระแวงมักจะตามติดโร เอลอยู่เสมอ พลางดึงชายเสื้อของเขาและจ้องมองไปข้างหน้าอย่าง ประหม่า ด้วยความเกรงกลัวต่ออันตรายทั้งปวง
อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป พลังทางสายเลือดของอลิเซียก็ ค่อยๆ พัฒนาขึ้น ทําให้ตอนนี้เธอไม่ใช่สาวน้อยผู้อ่อนแออีกต่อไปแล้ว และโรเอลเองก็ค่อยๆ ทิ้งระยะห่างจากเธอ พยายามทําให้อลิเซียเลิก พึ่งพาเขา แต่น่าเสียดายที่ทันทีที่เผชิญกับน�าตาของเด็กสาว ความคิด เหล่านั้นก็เปราะบางราวกับกระจกไปในทันที
“อืม พี่ไม่ทิ้งเธอไปไหนหรอก”
เมื่อได้ยินคําวิงวอนของอลิเซีย โรเอลก็แทบจะตอบกลับไปในทันที เป็นการตอบสนองอันรวดเร็วเหนือความคิด ราวกับสัญชาตญาณของ สิ่งมีชีวิต
การเอาใจปรนเปรอจนเลยเถิดนั้นเป็นเหมือนพิษในไขกระดูก โรเอ ลอดไม่ได้ที่จะกอดเด็กสาวที่กําลังร้องไห้ ในขณะที่อลิเซียผู้ได้รับคํามั่น สัญญาเองก็กอดเด็กหนุ่มกลับไปเช่นกัน หลังจากผ่านไปพักใหญ่ๆ อารมณ์ของเด็กสาวก็ค่อยๆ สงบลง
“แต่อลิเซีย ถ้าพวกเราไม่แยกกันบ้าง พวกเราก็ต้องลงสนามรบ ด้วยกันนะ”
“ถึงอย่างนั้น หนูก็ยังไม่อยากแยกจากพี่อยู่ดีค่ะ แล้วหนูก็จะ อารมณ์เสียมากกว่านี้ด้วย”
“…”
หลังจากได้ยินคําพูดของโรเอล อลิเซียก็ตอบทั้งน�าตา เด็กหนุ่ม เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าหลังจากพิจารณาอารมณ์ของน้องสาว เป็นเวลานาน
หากพิจารณาจากสถานการณ์สงครามในปัจจุบันแล้วล่ะก็ มันก็ไม่ มีเหตุผลเลยที่จะต้องส่งอลิเซียกลับไป ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งกองกําลัง เพื่อคุ้มกันเธอ หรือการสูญเสียความได้เปรียบด้านกําลังรบจากสัตว์ อสูร เพราะมันคือการสูญเสียครั้งใหญ่สําหรับกองทัพตระกูลแอสคาร์ด ในปัจจุบัน
อันที่จริงแล้ว ด้วยผลงานอันโดดเด่นของอลิเซีย ทําให้ตอนนี้เธอมี อิทธิพลต่อขวัญกําลังใจของทหารในกองทัพตระกูลแอสคาร์ด นอกจากนี้ด้วยการที่มีโรเอลเข้ามาเสริมกองทัพ ยิ่งทําให้พวกทหารมี ขวัญกําลังใจมากกว่าเดิม ฉะนั้นแล้วการไม่แยกพวกเขาออกจากกันดู จะเป็นทางเลือกที่รักษาเสถียรภาพและขวัญกําลังใจของกองทัพได้ดี ที่สุด
โรเอลครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทําให้ในที่สุดเขาก็ล้มเลิกความคิดที่ จะส่งน้องสาวกลับไป ขณะเดียวกันอลิเซียเองก็กําลังครุ่นคิดอย่าง เงียบๆ เช่นกัน ที่เธออยากจะออกมานําทัพในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะ เธอต้องการอยู่เคียงข้างโรเอลเท่านั้น นอกจากนั้นแล้วเธอยังต้องการ พิสูจน์คุณค่าของตัวเองอีกด้วย
ความโดดเดี่ยว เป็นคําที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอลิเซียมานานหลายปี แล้ว ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ ชื่อเสียงของโรเอลได้แพร่กระจายออกไปเป็น วงกว้าง ทําให้คําๆ นี้กลายเป็นเหมือนคาถาเวทที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะปะทุ ขึ้นมาอีก
ศึกชิงถ้วยถือเป็นเกียรติสูงสุดสําหรับเด็กวัยรุ่นทุกๆ คน ซึ่งโรเอลก็ สามารถเอาชนะทุกคนในงานประลองนั้น และคว้าตําแหน่งชนะเลิศมา ได้ มันทําให้อลิเซียมีความสุขจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่ในขณะเดียวกัน
ในตอนที่ชื่อเสียงของเขากระจายออกไปเรื่อยๆ เด็กสาวก็เริ่มมี ความรู้สึกแปลกๆ
ในอดีตคนเดียวที่เข้าใจถึงความแข็งแกร่งและบุคคลิกของโรเอลได้ ดีที่สุด มีแค่อลิเซียเท่านั้น อย่างไรก็ตามเมื่องานประลองศึกชิงถ้วยจบ ลง ผู้คนก็เริ่มเข้าใจตัวตนของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกที่มีผู้คน มากมายรู้ถึงความลับนี้ ทําให้อลิเซียเริ่มจะทนไม่ไหว ราวกับว่าพี่ชายที่ เคยเป็นของเธอเพียงคนเดียวกําลังจะค่อยๆ ถูกคนอื่นพรากไป นอกจากนี้เด็กสาวยังรู้สึกว่าเธอเริ่มห่างไกลจากเขาไปเรื่อยๆ
การหายตัวไปของโรเอลในช่วงปีใหม่ ส่งผลกระทบอย่างใหญ่ หลวงต่ออลิเซีย ความกังวลและความโดดเดี่ยวที่เธอไม่เคยประสบมา ก่อนทําให้เด็กสาวนอนไม่หลับ มันทําให้อลิเซียเข้าใจถึงความจริงที่ว่า ความสัมพันธ์ในครอบครัวนั้นยังไม่เพียงพอ เช่นเดียวกับนอร่าและคน อื่นๆ เด็กสาวต้องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเธอมีความสามารถพอที่จะเดิน เคียงข้างเขาได้
ด้วยเหตุนี้ อลิเซียจึงไม่อยากกลับไป แม้ว่าโรเอลจะไม่รู้ รายละเอียดถึงขั้นนั้น แต่เขาก็เริ่มจะเข้าใจความปรารถนาของอีกฝ่าย เมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น สัมผัสอันนุ่มนวลจากร่างกาย และกลิ่น หอมอันเป็นเอกลักษณ์ของอลิเซีย โรเอลก็ไม่สามารถทนได้อีก เขาเบน ความสนใจของตนไปทางอื่น และถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ
“ในช่วงปีใหม่ที่พี่ไม่อยู่ สบายดีไหม?” “ในส่วนของเรื่องงาน ก็ไม่ได้ต่างจากปีก่อนๆ เท่าไหร่ค่ะ” “อะไรที่ต่างออกไปล่ะ?”
“พอพี่ใหญ่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน วันหยุดก็เริ่มไม่มีความสุข หนูกลัวมาก เมื่อได้ยินเกี่ยวกับข่าวที่ชายแดนตะวันออก หนูกลัวว่าพี่ใหญ่จะไม่ กลับมาอีก หนูมักจะฝันร้ายในตอนกลางคืน หนูคิดถึงพี่ อยากรีบตาม ไปหาพี่ แต่ยังไงท่านพ่อก็คงไม่ยอม… “
“…ขอโทษนะ”
อลิเซียบ่นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นด้วยเสียงสะอื้น ทําให้โร เอลใจสลายและลูบผมของเธออย่างต่อเนื่องเพื่อขอโทษและเอาใจ ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกขยะแขยงรังเกียจสงครามยิ่งขึ้นไปอีก
ต่างจากโศกนาฏกรรมที่ชายแดนตะวันออก ซึ่งเป็นภัยธรรมชาติที่ อยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ สงครามครั้งนี้เป็นการสมรู้ร่วมคิดของ มนุษย์ในจักรวรรดิออสทีน และเป็นเรื่องไร้สาระที่เขย่าความสามัคคี ของมนุษยชาติอย่างไร้เหตุผล ซึ่งที่สําคัญที่สุดก็คือมันได้ทําร้ายคน สําคัญในหัวใจของโรเอล ทําให้เขาเกลียดแค้นมันจากก้นบึ้งของจิตใจ
“อลิเซีย ก่อนหน้านี้เธอบาดเจ็บนี่นา ดยุคจากตระกูลไซส์เป็นคน ทําร้ายเธองั้นเหรอ?”
“ไม่ค่ะ นั่นไม่ใช่อาการบาดเจ็บ แต่เป็นค่าใช้จ่ายสําหรับคาถาเวท ของหนู มันไม่ได้สําคัญเท่าไหร่หรอกค่ะ”
โรเอลลูบแขนข้างที่อลิเซียใช้มีดแทงลงไปเพื่อใช้คาถาเวท ต้องห้าม เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรเกี่ยวกับมันมากนัก เพราะด้วยพลังทาง สายเลือดของตระกูลซิลเวอร์แอซ บาดแผลจากมีดเหล่านั้นจึงหายเป็น ปกติโดยอัตโนมัติ ทําให้ตอนนี้แม้แต่รอยแผลถลอกๆ ก็ยังไม่มีด้วยซ�า แต่ถึงกระนั้นฉากที่ไหล่ของเธอเปื้ อนไปด้วยเลือดก็ยังคงฝังลึกติดอยู่ใน ใจของเขา
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ โรเอลก็ตัดสินใจอีกครั้งอย่างแน่วแน่ที่จะยุติ สงครามครั้งนี้ และหวนคืนสู่ชีวิตประจําวันให้ได้โดยเร็วที่สุด!
ภายใต้การปลอบอันอ่อนโยน อลิเซียผู้ประสบกับอารมณ์ แปรปรวนอย่างรุนแรงก่อนหน้านี้ก็ถูกความเหนื่อยล้าสะสมครอบงํา จนค่อยๆ หลับไปในอ้อมแขนของพี่ชาย
เมื่อมองไปยังเด็กสาวที่กําลังหลับใหลในอ้อมแขน โรเอลก็อดไม่ได้ ที่จะโน้มตัวเข้ามาจูบเบาๆ ที่ศีรษะของเธอ ก่อนจะมองออกไปใน
ระยะไกลด้วยสายตาอันเย็นชา ครุ่นคิดอย่างจริงจังถึงวิธีที่จะรับมือกับ ศัตรู
—————————–
ระหว่างที่เด็กหนุ่มผมดํากําลังคิดเกี่ยวกับกลยุทธ์ของวันต่อไปใน ป่า ขณะเดียวกันในค่ายทหารของตระกูลไซส์ที่อยู่ไกลออกไป ดยุคเบิร์ กลีย์กําลังเปิดอ่านข้อมูลของโรเอล ก่อนจะจมสู่ห้วงภวังค์แห่งความคิด
เรื่องราวมากมายเกิดขึ้นภายในวันสั้นๆ ทําให้แม้แต่ชายวัย กลางคนผู้เจนศึกก็ยังต้องการเวลาคิดและตอบสนองต่อสถานการณ์ มากมายนี้ เบิร์กลีย์รู้ดีว่าช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เป็น เพียงจังหวะเดียวที่เขาจะมีเวลาครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้
เมื่อตกกลางคืนสัตว์อสูรอาจจะกลับมาบุกโจมตีอีกครั้งภายใต้การ ควบคุมของเด็กสาว นอกจากนี้สัตว์อสูรในตํานานเองก็อาจจะกลับมา โจมตีอีกรอบในคืนนี้อีกเช่นกัน แต่สําหรับเบิร์กลีย์แล้ว สัตว์อสูรขนาด ยักษ์นั้นเป็นเพียงแค่ปัญหาใหญ่อันดับสองเท่านั้น สิ่งที่ทําให้ดยุคปวด หัวมากที่สุดคือเด็กหนุ่มผู้พลิกกระแสสงครามในวันนี้เสียมากกว่า
โรเอล แอสคาร์ด ชื่อนี้ได้กลายเป็นศัตรูอันดับหนึ่งของกองทัพ ตระกูลไซส์ไปแล้ว อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่เพียงเพราะความแข็งแกร่งที่
อยู่ไกลเกินกว่าจินตนาการเท่านั้น แต่สิ่งที่สําคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ความสามารถในการเพิ่มขวัญกําลังใจให้กับกองทัพของเขา
พลังในการอัญเชิญเทพเจ้าโบราณ วิธีการต่อสู้อันเป็นเอกลักษณ์ ของผู้ใช้สายเสือดตระกูลแอสคาร์ด ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนในประวัติศาสตร์ อันยาวนานนับพันปีเท่านั้นที่จะใช้พลังนี้ได้ พลังนี้มีประโยชน์อย่าง มากในสนามรบ เพราะแม้แต่เบิร์กลีย์เองก็ยังหนาวสันหลัง เมื่อต้อง เผชิญหน้ากับโครงกระดูกขนาดยักษ์ที่ห่อหุ้มไปด้วยเปลวเพลิงสีชาด นับประสาอะไรกับทหารธรรมดาทั่วๆ ไปในกองทัพ
ขวัญกําลังใจเป็นหนึ่งในส่วนที่สําคัญที่สุดในการทําสงคราม เพราะความแข็งแกร่งของกองทัพนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของตัวบุคคลใด บุคคลหนึ่ง ต่อให้มีกําลังพลมากกว่า กองทัพที่ขาดขวัญกําลังใจก็อาจ พ่ายแพ้ได้ หากเขาไม่เลือกที่จะสั่งถอยทัพในเวลาที่เหมาะสมแบบนี้ แล้วล่ะก็ กองทัพตระกูลไซส์ก็อาจจะต้องเผชิญกับจุดจบตั้งแต่ตอนนั้น
เบิร์กลีย์ค่อนข้างโชคดีที่สามารถหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดไปได้ ในวันนี้ ด้วยกําลังพลและยุทธวิธีที่ห่างชั้น ทําให้เขาสามารถล่าถอย กลับมาได้อย่างสมบูรณ์แบบและชนะศึก แต่ในเชิงกลยุทธ์แล้ว อีกฝ่าย ก็แค่ไม่ได้โจมตีลงมาที่กองทัพตระกูลไซส์ตรงๆ ก็เท่านั้น อันที่จริงพวก เขาแพ้ไปแล้วด้วยซ�า
สงครามในวันพรุ่งนี้จะต้องกลายเป็นสงครามที่เฉือนคมและ ดุเดือดยิ่งกว่าเดิมแน่ กําลังเสริมของฝ่ายศัตรูกําลังจะมาในเร็วๆ นี้ และ สถานการณ์ในฝั่ งของตระกูลไซส์ก็มีแต่จะยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ
ในช่วงระหว่างวัน โรเอล แอสคาร์ดผู้ใช้พลังของทวยเทพจะนํา กองทหารเข้าโจมตีพวกเขา ในขณะที่ตอนกลางคืน อลิเซีย แอสคาร์ดก็ จะควบคุมฝูงสัตว์อสูรให้บุกเข้ามา โดยมีราชาแห่งความหายนะ กวาง แปดขาขนาดยักษ์เพ่งเล็งมาที่เขา เรียกได้ว่าเป็นการผสานกันที่ลง ตัวอย่างพอดิบพอดี แม้แต่เบิร์กลีย์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในฐานะผู้ บัญชาการที่โด่งดังไปทั่วจักรวรรดิออสทีน ก็ยังทําได้เพียงแค่มองดูแผน ที่แล้วถอนหายใจซ�าแล้วซ�าเล่า
“พี่น้องตระกูลแอสคาร์ด ช่างเป็นศัตรูที่รับมือได้ยากเกินกว่าจะ จินตนาการจริงๆ พวกเขาเป็นเพียงแค่เด็กที่มีระดับแก่นแท้ 3 และ ระดับแก่นแท้ 4 จริงๆ เหรอเนี่ย?”
ขณะกําลังพูดคุยกับตัวเอง เบิร์กลีย์ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากที่เขาตระหนักได้ถึงศักยภาพของโรเอลและอลิเซีย ชายวัย กลางคนก็รู้สึกว่าตระกูลไซส์ไม่ควรตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลขุนนางของ จักรวรรดิเซนต์เมซิทตระกูลนี้เลยจริงๆ
เด็กสองคนที่มีระดับแก่นแท้เพียงระดับแก่นแท้ 3 และ 4 กลับมี บทบาทอันน่าสะพรึงกลัวในสนามรบได้ถึงเพียงนี้ ถ้าพวกเขาเติบโต
ขึ้นมาจะเป็นหายนะได้ถึงขนาดไหนกัน? นอกจากนี้การที่พวกเขา สามารถอยู่ในป่ารวมกับเหล่าสัตว์อสูรได้ ก็เรียกได้ว่าแทบจะอยู่ยงคง กระพันแล้ว
กลยุทธ์เดียวที่สามารถนํามาใช้ได้ในตอนนี้ ดูเหมือนจะเป็นการล่า ถอย หรือเรียกร้องขอกําลังเสริม แต่ไม่ว่าจะใช้กลยุทธ์ไหน พวกมันก็ ล้วนไม่สอดคล้องกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของจักรวรรดิออสทีน ซึ่งทํา ให้ผลประโยชน์ของตระกูลไซส์ในสงครามครั้งนี้ดูเหมือนจะน้อยลงไป เรื่อยๆ