ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 525: ความเป็นเจ้าของ (1)
อาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนล เมืองเลนสเตอร์
โรเอล แอสคาร์ด นั่งอยู่ริมหน้าต่าง มือหยิบถ้วยชาขึ้นมาพลาง มองดูผู้คนที่เดินผ่านถนนไปมา จิบชา และเพลิดเพลินไปกับช่วงเวลา แห่งความสงบสุข
สงครามและสันติภาพ สองสิ่งนี้อยู่คู่กับประวัติศาสตร์ของ มนุษยชาติมาโดยตลอด สองสิ่งนี้เป็นดั่งชะตากรรมที่ผู้คนในทุกวัยไม่ สามารถหลบหนีได้ อย่างไรก็ตามสําหรับจักรวรรดิเซนต์เมซิทแล้ว ด้วย ผลงานอันโดดเด่นของตระกูลแอสคาร์ด ทําให้อาณาจักรสามารถ หลีกเลี่ยงสงครามครั้งใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นไปได้ ส่งผลให้ในที่สุด ช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนก็มาถึง
อย่างไรก็ตาม เหมือนกับการขว้างก้อนหินลงไปในบ่อน�าอันนิ่งสงบ แม้ว่าหินจะจมลงไปในน�า แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาก็ทําให้พื้นผิวในบ่อน�า สั่นสะเทือน เฉกเช่นเดียวกัน แม้กระทั่งในอาณาจักรแห่งการศึกษาอัน ห่างไกลจากความวุ่นวาย และเต็มไปด้วยผู้คนมากมายจากทั่วทุก สารทิศ ความเปลี่ยนแปลงก็ส่งผลกระทบมาถึงที่นี่
ไม่สิ น่าจะบอกว่าเป็นเพราะที่นี่เป็นศูนย์รวมของเหล่าผู้มี พรสวรรค์จากทุกๆ อาณาจักรเสียมากกว่า ที่ทําให้การเปลี่ยนแปลง ทุกๆ อย่างที่นี่ชัดเจนยิ่งขึ้น?
ใบหน้าที่แข็งทื่อของนักเรียนชาวออสทีนที่พบปะกับนักเรียนจาก อาณาจักรอื่น ทําให้โรเอลอดไม่ได้ที่จะหยุดสายตาลงครู่หนึ่ง หลังจาก สังเกตอย่างระมัดระวังแล้ว นักเรียนของทั้งสองอาณาจักรบนถนนก็ เดินเข้าหากันด้วยความสนิทสนม ถ้าจําไม่ผิดพวกเขาน่าจะเคยรู้จักกัน มาก่อน และหลังจากแยกทางกันไปทั้งสองก็โบกมือทักทายกันอย่าง เป็นธรรมชาติ
นักเรียนในเมืองนี้ส่วนใหญ่เป็นบุตรจากตระกูลขุนนาง ทําให้พวก เขามีจุดยืนทางการเมืองในการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างอย่าง หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่างจากนักเรียนรุ่นพี่ที่มีความสมดุลปรองดองเป็นหมู่ คณะ นักเรียนใหม่มักจะแสดงกิริยาแบ่งฝ่ายออกมาอย่างชัดเจน
“เห้อ มันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ”
โรเอลถอนหายใจเบาๆ พลางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์วุ่นวาย เมื่อสองเดือนก่อน หลังจากการต่อสู้กับวีรชนสงครามอย่างเลย์ตัน และ ได้รับมรดกตกทอดของตระกูลมา กองทัพตระกูลไซส์ก็ถอนทัพกลับไป ส่งผลให้กองทัพทั้งสองของจักรวรรดิเซนต์เมซิทได้รับชัยชนะใน
สงคราม เมืองเอ็ดการ์พ่ายแพ้ และโรเอลก็ได้ตรวจสอบฐานทัพของ สมาคมนักปราญ์ตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ ก่อนจะเดินทางกลับ
ตั้งแต่ที่เกิดสงครามกลางเมือง เมืองเอ็ดการ์ก็ตกอยู่ในความ โกลาหลมาโดยตลอด ทําให้ทางกองทัพของจักรวรรดิเซนต์เมซิทต้อง จัดการฟื้ นฟูความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก ครั้ง อย่างไรก็ตามกระบวนการดังกล่าวไม่ใช่ขั้นตอนที่ต้องการทหาร ระดับหัวกะทิ หรือผู้นับถือลัทธินอกรีต ดังนั้นโรเอลจึงถูกจัดสรรให้ เดินทางกลับไปก่อนเป็นกลุ่มแรกๆ ส่วนอลิเซียนั้นเลือกที่บริหารจัดการ หน่วยข่าวกรองต่อ ร่วมมือกับเหล่าอัครสาวกเพื่อจับกุมพวกลัทธิชั่ว ร้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ในเมือง
แน่นอนว่าเด็กหนุ่มไม่ได้คัดค้านข้อตกลงดังกล่าว ด้วยที่เขาจะต้อง กลับไปเรียนที่สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าซึ่งกําลังจะเปิดภาคเรียน ใหม่ในอีกไม่นาน หลังจากต้องประสบกับอันตรายเสี่ยงตายที่ชายแดน ตะวันออกและสงครามภายในของจักรวรรดิเซนต์เมซิท โรเอลก็เหนื่อย เสียจนรู้สึกว่าการไปโรงเรียนสบายยิ่งกว่าวันหยุดเสียอีก
ภายใต้การคุ้มครองของกองทหาร โรเอลได้เดินทางกลับไปที่เขต การปกครองแอสคาร์ดเพื่อพักฟื้ นจากอาการบาดเจ็บ เรียกได้ว่าโรนั้น ไว้ใจคนได้ถูก เลย์ตันเป็นสหายที่พึ่งพาได้มากจริงๆ นอกจากชายชรา จะรักษามรดกของตระกูลแอสคาร์ดเอาไว้เป็นอย่างดี หมัดที่เขาใช้
ทดสอบก็ยังไม่มีการยั้งมือใดๆ ทําให้โรเอลซึ่งได้รับบาดเจ็บมาจากเรื่อง ที่ชายแดนตะวันออกก่อนหน้านี้จนต้องนอนซมอยู่บนเตียงใน โรงพยาบาล
เนื่องจากโรเอลและอลิเซียสามารถขัดขวางการรุกรานของกองทัพ ตระกูลไซส์ได้สําเร็จ ทั้งสองจึงได้รับเหรียญผู้พิทักษ์อาณาจักรแห่ง จักรวรรดิเซนต์เมซิท อย่างไรก็ตามเนื่องจากพวกเขาไม่ได้กลับมาที่ เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ตระกูลเซไซต์จึงส่งคนไปที่เขตการปกครองแอส คาร์ดโดยตรง ซึ่งโรเอลก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจนั้น
ประการแรกโรเอลที่นอนบาดเจ็บอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลไม่ สามารถไปที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เพื่อรับรางวัลได้อยู่แล้ว อีกทั้งตอนนี้ สถานการณ์โดยรวมของจักรวรรดิเซนต์เมซิทเองก็ยังอยู่ในสภาพที่ ยากลําบาก พวกกลายพันธุ์ที่ชายแดนจะตื่นตัวมากขึ้นเมื่อฤดูใบไม้ผลิ มาถึง จึงทําให้ต้องรีบส่งกําลังเสริมไปสนับสนุนโดยเร็วที่สุด
โลกมนุษย์นั้นไม่ได้สงบสุข และชีวิตเองก็ไม่ได้ง่าย การติดพันอยู่ ในระบบอํานาจการเมืองการปกครองส่งผลต่อชีวิตประจําวันของโรเอ ลอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะตอนที่เขาเดินทางมายังสถาบันการศึกษา เซนต์เฟรย่า
ปีนี้การเดินทางอันยาวนาน ตั้งแต่เขตการปกครองแอสคาร์ดไป จนถึงสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าของโรเอลนั้นเต็มไปด้วยความเหงา
หงอย ไม่มีทั้งองค์หญิงผมสีทองที่เดินทางมาด้วยกันในปีก่อน หรือเด็ก สาวผมสีแดงผู้สูงศักดิ์ ทั้งสองต่างมีธุระของตน ทําให้เด็กหนุ่มผมดํา ต้องเดินทางอย่างเดียวดาย
หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้โรเอลได้แต่มองดูทิวทัศน์ที่ไม่มีการ เปลี่ยนแปลงนอกหน้าต่าง ดื่มด�ากับความเหงาของชีวิตเพียงลําพัง คร�า ครวญถึงอาการบาดเจ็บเล็กน้อย โดยมีซินเทียเข้ามาสอบถามเป็นครั้ง คราว พูดคุยกันได้ไม่กี่คํา ราวกับเขาได้กลายเป็นชายชราผู้โดดเดี่ยว ซึ่ง เหตุผลที่โรเอลต้องเผชิญกับสถานการณ์นี้ก็เป็นเพราะการประชุมครั้ง สําคัญที่กําลังจะถูกจัดขึ้น
การประชุมสหประชาชาติของอาณาจักร มันคือการประชุมครั้ง สําคัญที่จัดขึ้น เมื่ออาณาจักรต่างๆ ต้องเผชิญกับวิกฤตการ์ณที่คุกคาม ความอยู่รอดของมนุษยชาติ ซึ่งการบุกรุกของพวกกลายพันธุ์มักจะเป็น หัวข้อหลักมาโดยตลอด เดิมทีการประชุมนี้ควรจะจัดขึ้นหลังจาก โศกนาฏกรรมที่ป้อมปราการทาร์ก ทว่าด้วยสงครามกลางเมืองที่ เกิดขึ้นล่าสุด การประชุมจึงถูกเลื่อนออกไปชั่วคราว ประกอบกับการ พยายามบังคับให้จักรวรรดิออสทีนมาเข้าร่วม ทําให้ยิ่งล่าช้าลากยาวไป อีกหลายเดือน
หลังจากสถานการณ์ต่างๆ เริ่มคลี่คลาย ในที่สุดการประชุมก็ถูกจัด ขึ้นอีกครั้ง ในฐานะผู้สืบทอดทางกฎหมายเพียงคนเดียวของอาณาจักร
มหาอํานาจ นอร่า ชาร์ล็อต วิลเฮลมินา และคนอื่นๆ จึงต้องไปเข้าร่วม การประชุมครั้งนี้ ทําให้โรเอลถูกทิ้งให้เหลืออยู่เพียงคนเดียวใน สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า
ด้วยที่การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นในนามของทวีปเซียทั้งหมด ทําให้โร เอลสามารถเข้าร่วมการประชุมในฐานะขุนนางชั้นสูงและวีรบุรุษของ จักรวรรดิเซนต์เมซิทได้ อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มผมดําก็ไม่สนใจที่จะเข้า ร่วมการประชุมครั้งนี้
การจัดตั้งกองทัพพันธมิตร การกําหนดพื้นที่ป้องกันและแผนการ เสริมกําลังพล แค่คิดถึงหัวข้อการประชุมเหล่านี้ โรเอลก็พอจะ จินตนาการบรรยากาศในการประชุมได้แล้ว ทั้งการต่อรองและการ ทะเลาะวิวาทเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการประชุมระดับนี้ โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง เมื่อมีจักรวรรดิออสทีนและจักรวรรดิเซนต์เมซิทอยู่ร่วม ประชุมในห้องเดียวกัน จนกลายเป็นการต่อสู้ปะทะคารมที่ สมน�าสมเนื้อ ซึ่งโรเอลก็ขี้เกียจเกินกว่าจะไปนั่งฟังเรื่องพวกนั้น นอกจากนี้เขาก็ยังมีเรื่องสําคัญที่ต้องจัดการอยู่อีกมาก
หลังจากดื่มชาอย่างสงบเงียบไปหนึ่งถ้วย เด็กหนุ่มผมดําก็ลุกขึ้น เดินออกจากร้านอาหารมุ่งหน้าไปยังสถาบันการศึกษา
————————-
แม้ว่าโลกมนุษย์ในปีนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและมี ความตึงเครียดและขึ้นๆ ลงๆ ในหมู่ชนชั้นผู้มีอํานาจระดับสูงมากมาย แต่มันก็ไม่ได้กระทบการลงทะเบียนของนักศึกษาในสถาบันการศึกษา เซนต์เฟรย่าเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงด้วยความนิยมของศึกชิงถ้วยในปี ที่แล้ว ทําให้อัตราการลงทะเบียนของนักศึกษาเพิ่มขึ้นมามากกว่าปีที่ แล้วเสียอีก
หน่วยรักษาความปลอดภัยของสถาบันการศึกษายังคงรักษาความ สงบเรียบร้อยตามปกติ ต่างจากปีที่แล้ว ไม่มีคนดังอย่างนอร่าและชาร์ ล็อต หรือเหตุวุ่นวายที่เกิดจากพอลและโรเอล ทําให้การบริหารจัดการ ง่ายขึ้นมาก ทว่าความวุ่นวายก็ปะทุขึ้นอีกครั้งด้วยการปรากฏตัวของ คนๆ หนึ่ง
เด็กสาวมีผมยาวสีเงินในชุดสีขาว สวยงามราวกับนางฟ้าใน ตํานาน สีผิวอ่อนและสีผมอันเป็นเอกลักษณ์ จนสายตาของผู้คนมองมา ที่เธอโดยธรรมชาติ บรรยากาศโดยรอบของเธอชวนให้นึกถึงน�าแข็ง และหิมะอันเยือกเย็น ตัดกับนัยน์ตาสีแดงเหมือนทับทิมอันไหม้เกรียม ฉากอันสวยงามของบรรยากาศที่ตัดกันนี้ ทําให้ทุกๆ คนต่างตกตะลึง กับสาวงามตรงหน้า
เมื่ออลิเซีย แอสคาร์ดปรากฏตัวที่สนามหญ้าในฐานะนักเรียนของ สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ความโกลาหลก็ปะทุขึ้นในทันใด เสน่ห์
อันเกินจะต้านของเด็กสาวได้ดึงดูดสายตาของคนรอบข้างในทันที อีก ทั้งยังส่งผลกระจายออกไปเป็นวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ
เธอเป็นอาวุธทําลายล้างวงกว้างรึไงเนี่ย?
ขณะมองลงไปยังเด็กสาวจากบนห้องใต้หลังคา เด็กหนุ่มผมดําก็ อดไม่ได้ที่จะคิดถึงประโยคนี้อย่างหมดหนทาง แต่แน่นอนว่า สถานการณ์ปัจจุบันก็ยังไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจเท่าไหร่สําหรับโร เอล เพราะในเกม ‘อายออฟโครนิเคิล’ การเปิดตัวของอลิเซียก็ ก่อให้เกิดปัญหาเช่นกัน
ในแง่ของความงามและความประทับใจแรก อลิเซียเหนือกว่าของ นอร่าและนางเอกคนอื่นๆ นอกจากนี้ด้วยที่เธอไม่ได้มีสถานะสูงส่งเป็น ผู้สืบทอดอาณาจักรเหมือนคนอื่นๆ เด็กสาวผมเงินจึงดูจะเป็นคนที่ เข้าถึงได้มากกว่า ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่จะมีคนเข้ามาเกาะแกะ
แม้ว่านักเรียนชนชั้นสูงส่วนใหญ่ของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟร ย่าจะเข้าใจมารยาทพื้นฐาน แต่จํานวนนักเรียนที่มีมากมหาศาลก็ทําให้ มักจะมีนักเรียนชายสองถึงสามคนที่ใช้อารมณ์ขึ้นนําหลักเหตุผล มันจึง เป็นปรากฏการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ตามความน่าจะเป็น และโรเอลก็อยู่ ที่นี่เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น…ด้วยการเชือดไก่ให้ลิงดู
อย่างไรก็ตามสิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น เพราะยังไม่มีคน ตบะแตกกระโดดออกมาให้โรเอลเชือดซะที