ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 532: ปีนขึ้นเตียง (2)
ในห้องสมุดซึ่งมีห้องประชุมอยู่ข้างๆ เด็กหนุ่มผมดําและชายร่าง สูงจําแนกสิ่งที่มาร์กาเร็ตเลือกมา ระหว่างการจัดเรียงนั้น จู่ๆ เคิร์ตก็ เอ่ยปากพูดกับโรเอลว่า…
“หลังจากการตรวจสอบในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา พวกเราสืบหา เรื่องของยูโทเปียได้ไม่มาก แต่ว่าเราก็มีความคืบหน้าอยู่บ้างนะ”
“หือ? ดูเหมือนว่านายสืบค้นอย่างจริงจังในช่วงที่นายกลับไป เป็นไงล่ะ นายพบอะไรบ้าง?”
“ท่านกรันด้าน่าจะเป็นหนึ่งในราชายักษ์รุ่นสุดท้าย และความตาย ของเขาก็ดูจะเกี่ยวข้องกับผู้กอบกู้ เนื้อหาจริงๆ กําลังอยู่ในระหว่างการ เรียบเรียง แต่ว่าคําสั่งพิพากษามารกลับถูกยกเลิกภายในเผ่า”
“นั่นไง…”
ฟังสิ่งที่เคิร์ตพูด สีหน้าของเด็กหนุ่มผมดําก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลเยอะมากในเชิงปริมาณ แต่หากคิดถึงเรื่องของการ ขาดข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เคิร์ตทําได้ขนาดนี้ระหว่างช่วงวันหยุดก็ นับว่าเหนือกว่าความคาดหมายของโรเอลแล้ว สิ่งที่สําคัญที่สุดก็คือล้าง มลทินให้กับกรันด้า ซึ่งนั่นทําให้เด็กหนุ่มรู้สึกสบายใจ
ทว่าในฐานะของราชายักษ์ กรันด้าก็ยังเป็นราชาองค์สุดท้ายของ เหล่ายักษ์ด้วย ถ้าการตายของเขาเกี่ยวพันกับสภาผู้กอบกู้ หมายความ ว่าการหายตัวไปของเผ่าพันธุ์ยักษ์ก็เกี่ยวข้องกับสภาผู้กอบกู้ด้วยหรือ เปล่า?
สําหรับคําถามนี้ โรเอลผู้ครุ่นคิดเป็นเวลานานก็ไม่สามารถหา คําตอบได้ และเขาเองก็ไม่ได้จะถามกรันด้าด้วย เพราะถึงอย่างไรเรื่อง เหล่านี้ก็อาจจะเป็นเพียงความลึกลับของประวัติศาสตร์ในสายตาของ โรเอลเท่านั้น แต่ในสายตาของผู้ที่เกี่ยวข้อง เขาอาจจะไม่เต็มใจ เปิดเผยเรื่องราวในอดีต และที่สําคัญที่สุด เรื่องของเรื่องก็คือ กรันด้า อาจจะจําไม่ได้ก็ได้
ถ้าหากว่ามันเกินทนที่จะมองกลับไป การจํามันไม่ได้จึงอาจจะเป็น สิ่งที่ดีกว่า เด็กหนุ่มผู้คิดเช่นนั้นก็พ่นลมหายใจยาวแล้วเบนความสนใจ ของเขากลับมาที่ข้อมูลตรงหน้า และค้นหาต่ออย่างจริงจัง
—————————
ในอดีตชาติของโรเอล เมืองโบราณที่มีอารยธรรมยิ่งใหญ่นับพันปี เคยมีคําพูดที่ว่า ‘จงมองอดีตให้เหมือนกระจก’ นี่เป็นประโยคทั่วไปใน ประเทศจีน ซึ่งประวัติศาสตร์ซ�ารอยไปมานานนับสหัสวรรษ แต่ถ้าหาก นํามาใช้กับโลกนี้แล้วล่ะก็ มันจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่ปกติไป
เว้นแต่เพียงอาณาจักรบางส่วน การเก็บรักษาวัฒนธรรมมนุษย์นั้น ค่อนข้างแย่ และการสืบค้นย้อนหลังก็ทําได้เพียงไม่กี่ร้อยปีก็ตันแล้ว เพราะว่าความแพร่หลายของหนังสือนั้นเป็นเพียงวงแคบๆ ภาษาและ องค์ประกอบต่างๆ ก็ปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เช่นเดียวกับภาษาที่ ใช้โดยเหล่าบรรพบุรุษเมื่อศตวรรษต่างๆ ก็อาจจะไม่เป็นที่เข้าใจของ ลูกหลานในอนาคตก็ได้
ทว่าในโลกแห่งนี้ สถานการณ์ดีกว่ากันมาก ไม่ใช่เพราะว่าคุณภาพ และการสืบทอดของคนที่นี่จากรุ่นสู่รุ่นหรอก แต่เป็นเพราะผู้คนมี อายุขัยที่ยืนยาวต่างหาก
มันไม่ได้แปลกอะไรหากบุคคลผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจะมีอายุขัย อยู่ได้เป็นร้อยๆ ปี แต่การที่เขามาถึงอายุนั้นได้ ตราบใดที่บุคคลนั้นเป็น บุคคลระดับสูงที่สภาพจิตใจปกติ เขาก็คงไม่ปล่อยให้มนุษย์รุ่นหลังใน ศตวรรษถัดๆ ไปมาพูดได้หรอกว่าพวกเขาไม่เข้าใจภาษาของคนๆ นั้น เลย ดังนั้นจึงบอกได้ว่าคนเหล่านั้นแหละที่เป็นผู้เผยแพร่และดํารงไว้ซึ่ง อารยธรรม
แต่ถึงอย่างนั้น มรดกทางวัฒนธรรมของมนุษย์ในทวีปเซียก็ไม่ได้ ราบรื่นอย่างที่คิด การอพยพสู่ตะวันตกในท้ายยุคที่สองนั้นเรียกได้ว่า อารยธรรมโบราณที่ถูกทําลายไปเกือบครึ่ง และผลก็คือจากการรวม
ตัวอย่างยากลําบากของจักรวรรดิออสทีนในยุคที่สอง ข้อมูลก็กลับมา ไม่สมบูรณ์อีกครั้ง
ส่วนข้อมูลของหกภัยพิบัตินั้นก็ยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่ และสาเหตุนั้น โรเอลเองก็เข้าใจ เพราะถึงอย่างไร เมื่อพวกสัตว์ประหลาดพวกนั้น เติบโตเต็มที่ อารยธรรมก็จะถูกกวาดล้างในเวลาอันสั้น ไม่ว่าจะด้วย การแช่แข็งผืนแผ่นดินหรือพายุคลั่งที่สูบอายุขัยของผู้คน สิ่งเหล่านี้ไม่ เปิดโอกาสให้คนมัวมาบันทึกถึงมันหรอก
แต่ว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น โรเอลก็ยังเจอเบาะแสตรงโน้นตรงนี้อยู่บ้าง แต่ราวกับจะประชดกัน ข้อมูลพวกนั้นส่วนใหญ่แล้วล้วนแต่มาจากภาคี แห่งนักบุญ
ในเลนสเตอร์เคยมีสาขาย่อยของภาคีแห่งนักบุญอยู่ หลังจากภัย พิบัติเมื่อหลายศตวรรษก่อน สิ่งของบางส่วนของพวกเขาจึงถูกเก็บ รักษาในฐานะของโจร และด้วยสิ่งเหล่านั้นเอง โรเอลก็ค้นพบบางอย่าง
ภาคีแห่งนักบุญยังพอมีความเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าทูต สวรรค์อยู่ แต่พวกเขามักจะใช้คําที่เป็นนามธรรมและเลื่อนลอย
เหล่าสาวกของมารดาแห่งเทพธิดา เชื่อว่าหกภัยพิบัติทําตามพระ ประสงค์ที่ถูกสั่งการลงมา ถ้ามารดาเทพธิดาเข้าสู่ภาวะจําศีล [หกภัย พิบัติ] เองก็ต้องเข้าสู่การภาวะจําศีลเป็นครั้งคราวด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามปัจจุบันเนื่องด้วยมารดาเทพธิดาได้เข้าสู่สภาวะจํา ศีลอย่างไม่มีกําหนด พวกมันจึงตื่นขึ้นมาอาละวาดอย่างรุนแรงเป็นครั้ง คราว เพื่อสั่งสมพลังไว้สําหรับการกลับมาของมารดาเทพธิดา
เมื่อเห็นข้อมูลตรงนี้แล้ว โรเอลก็แทบจะระลึกถึงฝันร้ายของเขาใน โรงแรมในคืนที่เกิดเหตุที่ป้อมปราการทาร์กขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ โร เอลในตอนนั้นคิดว่าการมาถึงของม่านหมอกมรณะกระตุ้นจิตใต้สํานึก ของเขาและเป็นต้นเหตุที่ทําให้เขาฝันถึงมารดาเทพธิดา แต่ตอนนี้ดู เหมือนว่ามันจะมีคําอธิบายอื่น
นั่นคือ ในชั่วขณะนั้น มารดาเทพธิดาได้ลืมตาตื่นขึ้นในชั่วขณะ สั้นๆ แต่ว่าไม่ได้มองมาที่เขา ทําให้ความรู้สึกของโรเอลไม่ได้รุนแรง อะไรเท่าครั้งก่อนๆ ที่เคยเกิดขึ้น แต่อสุรกายหมอกที่รับรู้ได้ถึงการลืม ตาตื่นของมารดาแห่งเทพธิดานั้นตื่นตัวและจ้องมาทางเขา แล้วจึงมาที่ ป้อมปราการที่เต็มไปด้วยเหยื่อนับพัน ซึ่งได้กลายเป็นโศกนาฎกรรมนี้ ขึ้น
เด็กหนุ่มกุมหน้าผากครุ่นคิดอยู่นาน เขาพอจะเดาสาเหตุของเหตุ นั้นออกอย่างคร่าวๆ แล้ว แต่สาเหตุนั้นไม่ได้สําคัญอะไรขนาดนั้น ในตอนนี้ สิ่งที่สําคัญที่สุดคือหาม่านหมอกมรณะให้เจอ ทว่าโรเอลก็ ต้องผิดหวังที่ข้อมูลส่วนนี้ยังหาไม่พบเลย
เฮ้ย พวกนายน่ะเป็นสาวกที่โหล่ยโท่ยที่สุดที่ฉันเคยเห็นเลย
ศึกษากันมาก็ตั้งนาน ได้ข้อมูลแค่นี้อ่ะนะ?
โรเอลคิดอย่างขุ่นเคืองขณะพลิกหน้าหนังสืออยู่สักพักก็ยังไม่เจอ อะไรเลย แต่เขาก็ทําอะไรไม่ได้ และตัดสินจากเศษเสี้ยวของข้อมูลที่มี พวกภาคีแห่งนักบุญที่เลนสเตอร์เมื่ออย่างน้อยศตวรรษก่อนนั้นก็ดูจะ ไม่รู้เรื่องนี้อย่างแน่ชัดจริงๆ
“ช่างมันเถอะ นี่เป็นแค่วันแรกเท่านั้น…”
มองไปที่หนังสือโบราณและวัตถุต่างๆ บนโต๊ะข้างๆ เขา โรเอลก็ ส่ายหัว และรู้สึกโล่งอกเล็กน้อย เนื่องด้วยนี่เป็นวันแรกของการหา เบาะแส ซึ่งก็นับว่าโชคดีแล้วที่พอจะเจออะไรบ้าง
ในเวลาหลังจากนั้น เด็กหนุ่มผมดําและลูกหลานแห่งยักษ์ที่ได้หมก ตัวศึกษาอย่างหนักจนล่วงเลยไปกลางดึก พวกเขาก็กลับออกไปด้วยกัน ก่อนจะแยกทางเมื่อห้องสมุดกําลังจะปิดลง หลังจากทําความสนิทชิด เชื้อกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง โรเอลก็พบว่าระหว่างตัวเขาและเคิร์ต ทั้ง คู่เหมือนกันเป็นพิเศษตรงที่สนใจในประวัติศาสตร์ และการจับต้องวัตถุ ทางประวัติศาสตร์นั้นไม่ได้ทําให้ทั้งคู่รู้สึกว่ามันน่าเบื่อแต่อย่างใด
ต้องบอกว่าในทวีปเซียนั้น ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่มีสิทธิ์พูด ดังนั้น ความเหมือนนี้จึงไม่ได้หากันได้ง่ายๆ ผลก็คือความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง
สองกลายมาเป็นสนิทแน่นแฟ้นขึ้นมาก ความเข้าใจในอีกฝ่ายก็สูงขึ้น มากเช่นกัน
ความสามารถของสายเลือดของโรเอลทําให้เขาสามารถแยกสิ่งที่ เป็นบันทึกจริงออกจากสิ่งไร้สาระทั้งหลายได้อย่างง่ายดาย และ ความสามารถในการสืบย้อนความหลังของเคิร์ตก็ไม่เพียงแข็งแกร่งใน การต่อสู้เท่านั้น แต่ยังใช้ได้ผลอย่างวิเศษสุดในทางโบราณคดีอีกด้วย มันคือการอ่านความทรงจําจากสิ่งของ
พูดง่ายๆ ก็คือเป็นความสามารถในการพินิจอดีต เหมือนกับนักสืบ ที่มีพลังพิเศษในละครทีวีในอดีตชาติของโรเอล เขาสามารถมองเห็น เหตุการณ์ในขณะเกิดอาชญากรรมเมื่อแตะต้องอาวุธสังหาร แต่ว่า เทียบกับพวกนั้นแล้ว การย้อนเวลาของเคิร์ตจะสามารถเห็นอะไรได้ มากกว่านั้น แต่ก็ยังมีข้อเสีย นั่นคือเขาไม่สามารถควบคุมช่วงเวลาที่จะ ย้อนไปได้เลย
สิ่งของโบราณสักชิ้นย่อมมีการเปลี่ยนผ่านมือมานับสหัสวรรษ ไม่ ต้องพูดถึงสถานที่เก็บเลย แม้แต่ผู้ครอบครองเองก็เปลี่ยนไปเป็นโหล ไม่ก็เป็นร้อยๆ คน แต่การสืบย้อนของเคิร์ตนั้นสามารถเห็นได้เพียงเศษ เสี้ยวของมัน เช่นถ้าวัตถุเป็นเศษผ้า เคิร์ตก็อาจจะเห็นตอนที่มันถูกใช้ ในฐานะผ้า และอาจจะเห็นได้เหมือนกันว่าผู้ใช้ของมันเป็นเด็กผู้หญิง ภาพพวกนี้จะสุ่มขึ้นมา
“ก็นั่นแหละ แต่ความสามารถนี้…”
จะใช่พลังพิเศษของมนุษย์เหรอ?
ตอนที่เขาได้ยินบุรุษตัวสูงพูดถึงคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกําเนิดที่ว่า โรเอลก็อดตะลึงไปไม่ได้ เขาไม่คาดคิดเลยว่าจะมีอะไรแบบนี้ด้วยบน โลก
เขาส่ายหัวแล้วทิ้งความคิดไม่ดีบางส่วนไว้ในหัว ในที่สุดเด็กหนุ่ม ผมสีดําก็กลับมาถึงคฤหาสน์สีกรมท่าได้ในเวลาเกือบๆ เที่ยงคืน ในตอนนี้ไฟห้องส่วนใหญ่ในคฤหาสน์ได้ถูกดับลง และพวกนักเรียนก็ เข้าสู่ห้วงนิทรากันไปแล้ว โรเอลผู้ไม่ต้องการรบกวนคนอื่นจึงไม่ได้เข้า ไปข้างในทันทีหลังจากเห็นสถานการณ์ แต่ยืนอยู่ที่ลานแล้วจ้องมอง อย่างระมัดระวัง
ด้วยความที่เป็นคนที่มักจะหลบใต้เตียงอยู่ตลอดทั้งปี โรเอลจึงยังมี ความตื่นตัวอยู่ในระดับหนึ่ง แน่นอนว่าอลิเซียไม่สามารถมาหาเขาได้ ระหว่างการสอบเมื่อวานนี้ แต่วันนี้เธอว่างอยู่และไม่ได้เจอกันมาทั้งวัน อลิเซียอาจจะดักรอเขาอย่างฉุนเฉียวอยู่แถวนี้ก็ได้
เมื่อในตอนนี้พวกเขาทั้งคู่เป็นนักเรียนของสถาบันการศึกษาเซนต์ เฟรย่า แล้วยังเป็นผู้ถือแหวนทั้งคู่อีก แน่นอนว่าพวกเขาจึงนอนด้วยกัน
ไม่ได้ ดังนั้นเด็กหนุ่มผมดําจึงตรวจสอบสิ่งรอบๆ ตัว แต่ก็ต้องแปลกใจ ที่หาอะไรผิดปกติไม่ได้เลย
โอเค? เป็นไปได้ไหมที่อลิเซียจะมีสติมากกว่าเดิมแล้ว?
เด็กหนุ่มผู้เคลือบแคลงก้าวเข้าไปในห้องโถง หลังจากที่คิดเรื่องนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะยังไงเสียคฤหาสน์สีกรมท่า ของเขาก็ตั้งอยู่ในภูเขาที่ค่อนข้างสันโดษ ในขณะที่หอพักของอลิเซีย ตั้งอยู่ชั่วคราวกลางโรงเรียน ระยะห่างระหว่างสองที่นี้ก็ไกลกันมาก จริงๆ ดังนั้นต่อให้อลิเซียจะมีความสามารถสูงภายใต้แสงจันทร์ แต่เธอ คงเดินทางไกลขนาดนี้ไม่ได้หรอกมั้ง?
โรเอลยิ้มแล้วส่ายหัวเมื่อนึกถึงที่นี่ เขาเดินทอดน่องผ่าน ห้องนั่งเล่นแล้วผลักประตูห้องนอนเปิดออก จากนั้นตรงหน้าของเด็ก หนุ่มก็ปรากฏเตียงที่คุ้นเคยและร่างบอบบางที่คุ้นเคยในชุดนอนบนนั้น
“…”
ภายใต้แสงจันทร์ เด็กหนุ่มยืนอยู่ที่ประตู เงียบเป็นเป่าสาก