ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 536: เหยื่อล่อที่อันตราย (2)
“คุณโรเอล แอสคาร์ด คุณคิดอย่างไรกับข้อมูลนี้?”
“ขออภัยด้วยครับ แต่หลังจากศึกษาอย่างละเอียด ผมไม่คิดว่ามัน จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายไปของป้อมปราการทาร์กหรอกครับ”
“แล้วเหตุผลคืออะไรล่ะ?”
“เนื่องมาจากเหตุการณ์ที่ป้อมปราการทาร์กที่ผ่านมา ลักษณะเฉพาะของม่านหมอกมรณะน่าจะเป็นการกลืนกินมิติ ถ้าเป็น อย่างนั้น มันก็ไม่ควรจะมีร่องรอยอะไรในสถานที่เกิดเหตุ ทว่า เมื่อดู จากเนื้อหาที่เขียนในเอกสารฉบับนี้แล้ว มันชัดเจนว่าไม่ เช่น…”
ในห้องประชุม เด็กหนุ่มผมดําอ่านจดหมายที่ส่งมาจากกองรบแนว หน้าพลางวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล ทว่าในยามนี้ เด็กหนุ่มผมดํา กลับรู้สึกถึงลางไม่ดีแล้ว
เมื่อเช้านี้ ข้อความด่วนจากกองรบแนวหน้าปรากฏขึ้นต่อหน้า ผู้เข้าร่วมประชุมแผนช่วยเหลือป้อมปราการทาร์กราวกับสายฟ้าที่ฟาด กลางวันแสกๆ นั่นก็คือข่าวการหายตัวไปเป็นหมู่คณะที่เกิดขึ้นอีกแล้ว ที่ไหนสักที่ในบริเวณของแนวรบกองหน้า
เมื่อพวกเขาได้รับข่าวนี้ ผู้เข้าร่วมประชุมนั้นทั้งตื่นเต้นสุดขีดและ เดือดดาลที่สุด พวกเขารู้สึกว่าในที่สุดก็จับหางศัตรูได้ แม้กระทั่งโรเอล ก็คิดโดยอัตโนมัติว่าม่านหมอกมรณะได้ปรากฏขึ้นอีกแล้ว ทว่าเมื่ออ่าน ข้อมูลปลีกย่อยที่แนบมาด้วยแล้ว เด็กหนุ่มผมดําก็พบว่านั่นดูจะไม่ใช่ อย่างที่คิดเสียแล้ว
การหายสาบสูญครั้งนี้เกิดขึ้นในเมืองๆ หนึ่งทางชายแดนทิศ ตะวันออกของจักรวรรดิออสทีน เนื่องจากว่าเป็นเมืองที่อยู่ในแนว ตะเข็บชายแดน ขนาดของเมืองจึงไม่ใหญ่นัก สภาพดั้งเดิมของมันพัง แหล่มิพังแหล่ แต่ด้วยความที่มันอยู่ใกล้กับเส้นเดินทัพฝั่ งชายแดน ตะวันออก มันจึงกลายเป็นที่ตั้งกองทัพชั่วคราว
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดกับป้อมปราการทาร์ก ทุกอาณาจักรต่างก็ เพิ่มกําลังพลของตนที่จะส่งไปทางตะวันออก และเมืองแห่งนี้ก็ กลายเป็นจุดขนส่งร่วม เมื่อเร็วๆ นี้หน่วยหนึ่งของกองทัพจักรวรรดิออ สทีนผ่านมาแล้วหาตําแหน่งของเมืองไม่เจอ จึงเดินกลับทางเดิมแล้ว จ้างผู้นําทางในท้องที่เพื่อออกเดินทางอีกครั้ง ผลก็คือเมื่อเดินทางไปยัง ตําแหน่งที่ถูกต้อง ก็ไม่มีแม้แต่เงาของเมืองให้เห็น
ใช่ เมืองเล็กๆ ที่ชื่อเมืองเบรย์นี้หายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมๆ กับ คนเมืองและเหล่าทหารที่ประจําการอยู่ สิ่งเดียวที่ผู้คนพบได้บนผืนดิน นี้คือร่องรอยของสิ่งปลูกสร้างสองสามรอยบนพื้นเท่านั้น
นี่ก็เป็นการหายตัวไปเป็นหมู่คณะ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ และ ผู้ประสบเหตุยังเป็นกองทัพอีกด้วย ความเหมือนนั้นช่างทําให้ยากถ้าจะ ไม่คิดถึงเหตุที่ป้อมปราการทาร์ก ดังนั้นผู้บัญชาการแนวรบกองหน้าจึง รีบส่งข้อมูลให้กับหน่วยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็คืออาณาจักรแห่งการศึกษาโบร เนลให้ดําเนินการต่อทันที ทว่าหลังจากศึกษาอย่างระวังแล้ว โรเอลก ลับพบว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของหกภัยพิบัติ
ประเด็นแรกคือ จุดที่สําคัญที่สุดคือแม้ว่าจุดเกิดเหตุจะเป็นบริเวณ หุบเขา แต่ว่ากลับไม่มีหมอกที่ผิดปกติ และไม่มีใครพบเห็นสัตว์ ประหลาดหมอกที่น่าสะพรึงกลัว ไม่มีอาการหวาดกลัวและอพยพของ สัตว์ในละแวก ประเด็นที่สองคือเหตุเกิดบนพื้นดิน มีร่องรอยการใช้ ชีวิตของมนุษย์ ซึ่งขัดแย้งกับความสามารถของม่านหมอกมรณะ
ด้วยความที่เป็นสัตว์ประหลาดที่กินทุกอย่าง ม่านหมอกมรณะจะ ลบทุกร่องรอยการมีอยู่ของอารยธรรมทิ้งทั้งหมด ไม่มีทางที่จะเหลือ อะไรไว้ และเงื่อนไขก็ดูจะไม่ถูกต้อง การนอนหลับของโรเอลก็ไม่ได้ถูก รบกวน ชัดเจนว่าเขาไม่รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของมารดาแห่ง เทพธิดาเลย ถ้ามองจากบนฟ้า บริเวณที่เกิดเหตุก็ดูไม่ต่างจากสถานที่ รอบๆ สักนิด
และที่สําคัญที่สุด ถ้ามองในเชิงเป้าหมาย เมืองเล็กๆ นี้ดูจะไม่ได้มี ค่าอะไรขนาดนั้น
“เมืองเบรย์ทั้งเมือง รวมไปถึงผู้อาศัยในนั้นมีน้อยกว่าหนึ่งพันคน ไม่ว่าจะในเรื่องของจํานวนและกําลังต่อสู้ก็ต่างจากป้อมปราการทาร์ก มากๆ หกภัยพิบัตินั้นเป็นนักทําลายอารยธรรม ไม่มีความจําเป็นอะไรที่ จะต้องเจาะจงทําลายเมืองชายแดนนี้เลย”
“…”
เด็กหนุ่มผมสีดําปฏิเสธความเป็นไปได้ที่การหายตัวไปทั้งสองกรณี จะเกี่ยวข้องกันโดยอิงจากข้อมูลที่มีอยู่ ทว่า เมื่อพวกนักวิชาการได้ยิน ที่เขาพูด พวกเขากลับไม่ได้สนใจและต่างก็ส่งข้อโต้แย้งมาเป็น รายบุคคล
“ถึงแม้ว่าทั้งสองกรณีจะมีความแตกต่างกัน แต่รวมๆ แล้วก็ เหมือนกันนั่นแหละ”
“มันเป็นข้อพิพาทกันอยู่ก่อนแล้วว่าเหตุการณ์ที่ป้อมปราการ ทาร์กเป็นฝีมือของหกภัยพิบัติ ดังนั้นถ้าเอามาเป็นบรรทัดฐานคงไม่ได้”
“ตอนนี้เราไม่มีเบาะแสอื่น และนี่เป็นคําขอของกองรบแนวหน้า ของพันธมิตร…”
ตัวแทนที่เข้าร่วมประชุมคนแล้วคนเล่าปฏิเสธมุมมองของโรเอล และในที่สุดก็เมินการคัดค้านของเด็กหนุ่มแล้วตั้งข้อสรุปประเด็น ภารกิจสืบสวนนี้ ทว่า เมื่อได้ยินคําพูดของพวกเขา เด็กหนุ่มผมดําพลัน
รู้สึกหนาวเยือก เพราะเขามีประสบการณ์กับกลอุบายมาหลายปี กลิ่น ตุๆ นี้บอกโรเอลว่าทุกอย่างอาจจะไม่ใช่แค่ผิวเผิน
การจัดประชุมประเด็นนี้ดําเนินมาหลายเดือน แต่แผนช่วยเหลือก็ ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง บรรยากาศในหมู่ผู้เชี่ยวชาญและพวกนักวิจัยนั้น รีบร้อนด่วนสรุปกันอยู่แล้ว คําขอของกองรบพันธมิตรแนวหน้าที่ ตามมาเรียกได้ว่าเป็นตัวจุดชนวนซ�า แต่เป็นเรื่องจริงที่ถ้ามีความ ผิดปกติ จะต้องมีสัตว์ประหลาดเข้ามาเกี่ยว และทุกรายละเอียดของ เหตุการณ์นี้ทําให้โรเอลรู้สึกว่าเหมือนกับมันคือเหยื่อล่อ
เพราะอย่างไรก็ตาม ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติในเลนสเตอร์ก็เก็บตัว กันมานานเกินไปแล้ว พวกเขาสูญเสียการรับรู้อันตราย เพียง กระตือรือร้นที่จะรีบๆ จบเรื่องแล้วส่งการตัดสินใจไปที่หน่วยสืบสวน ต่อ แต่สําหรับโรเอลแล้ว นี่คือหายนะตัวเอ้เลย
นักเรียนส่วนใหญ่ที่สามารถรับภารกิจนี้ได้ล้วนแต่เป็นสมาชิกของ กุหลาบอรุณหรือเป็นเพื่อนของโรเอล และเด็กหนุ่มผู้ซึ่งแต่เดิมก็เป็นผู้ แจกจ่ายภารกิจให้พวกเขากับมือย่อมไม่ส่งใครไปทําภารกิจที่น่าสงสัย ขนาดนี้อยู่แล้ว
ผลสรุปของการประชุมนั้นไม่สามารถแก้เกมได้ง่ายนัก ด้วยความ ที่ไร้หนทาง โรเอลจึงได้แต่ไปหาลิเลียน เขาอยากจะปรึกษาอยากให้เธอ ใช้อํานาจของสภากุหลาบเพื่อแบนคําขอนี้ในสถาบันการศึกษาเซนต์
เฟรย่า ทว่าเมื่อเด็กสาวฟังเรื่องของโรเอลแล้ว เด็กสาวผมดําคิดอยู่นาน ทว่าตอบปฏิเสธ
“ฉันรู้ว่านายอยากจะยกเลิกภารกิจนี้เพราะไม่อยากให้นักเรียนที่นี่ รับความเสี่ยง แต่ว่าจริงๆ แล้วทําแบบนั้นผลลัพธ์จะไม่ดีนักหรอก นาย อาจถึงขั้นตกเป็นผู้ต้องสงสัยที่ขัดขวางการสืบข้อมูลอย่างจงใจก็ได้นะ”
“…มันก็ใช่ เพราะอย่างนั้นผมถึงจะต้องไปที่นั่นด้วยตนเอง เท่านั้น”
เด็กหนุ่มผมดําใช้ความคิดอยู่นานแล้วผ่อนลมหายใจอย่างอ่อน แรง ต่อหน้าของภารกิจที่อาจจะเป็นอันตรายได้นี้ มันมีแค่สอง ทางเลือกคือถอยกับไปให้สุดทางเท่านั้น โรเอลในตอนนี้ได้เลือกข้อหลัง เพื่อความปลอดภัยของผู้คนอย่างไม่ต้องสงสัย
ในขณะเดียวกัน แม้ว่าความเป็นไปได้นั้นจะน้อยนิด แต่หากเรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับหกภัยพิบัติจริงๆ ล่ะก็ การปรากฏตัวของโรเอลจะเป็น สิ่งจําเป็น มีเพียงความสามารถของเขาเท่านั้นที่สามารถสั่นคลอนม่าน หมอกมรณะได้ ทําให้มันไม่สามารถทําอะไรตามอําเภอใจได้
โรเอลพูดสิ่งที่คิดออกไป ทว่าลิเลียนกลับปฏิเสธกลับมา เด็กสาว ผมสีดํานั้นยืนกรานที่จะไม่ยอมให้โรเอลรับความเสี่ยง และเธอก็เสนอ ทางออกเพิ่มเติมให้แทน
“ให้ฉันไปเถอะ ฉันเพิ่งจะได้เลื่อนขั้นเป็นระดับแก่นแท้ 2 ฉันจะถือ โอกาสนี้ทดสอบความสามารถของตัวเองด้วยเลย”
“รุ่นพี่ พูดอะไรน่ะ? นี่มันเรื่องของผม และมันอันตรายนะ…”
โรเอลขมวดคิ้วเมื่อเขาได้ยินคําของลิเลียนและตอบปฏิเสธทันที เหมือนที่ลิเลียนคิดไว้ โรเอลเองก็ให้ความสําคัญสูงลิ่วกับ ‘พี่สาว’ คน เดียวในโลกของเขาซึ่งมีคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกําเนิดเดียวกันใน สายเลือด ในระหว่างที่โรเอลกําลังพูด และหลังจากที่เขาพูดจบแล้วนั้น ลิเลียนเพียงยิ้มอยู่ตลอด แต่ไม่ได้พูดคําใดออกมา
เด็กสาวผมดําทําเพียงจ้องมองโรเอลอย่างเงียบๆ ราวกับว่าเธอ ต้องการสลักรูปร่างทั้งกายของเด็กหนุ่มเอาไว้ในใจของเธอ พฤติกรรม ผิดปกตินี้ย่อมดึงดูดความสนใจของโรเอล เด็กหนุ่มมองไปที่ลิเลียน และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนกับว่ารุ่นพี่ผู้ไร้เทียมทานตรงหน้าของเขา จะหายไปได้ในทุกขณะ
“รุ่นพี่ คุณ…”
“…โรเอล ฉันมีเรื่องที่อยากบอกเธอ”
หลังจากความเงียบผ่านไปครู่ใหญ่ ลิเลียนก็ขยับปากพูดเช่นนี้ ทํา ให้เด็กหนุ่มผมดําเหยียดหลังนั่งตรง หลังจากครุ่นคิดสักพักเธอก็พูด ออกมาเบาๆ
“เรื่องของเราถูกจักรวรรดิออสทีนสังเกตเห็นแล้วล่ะ”
“หือ? คุณหมายถึง…”
“เป็นฉันเองแหละที่มีพิรุธต่อหน้าพระพักตร์จักรพรรดิลูคัส มันไม่ เกี่ยวอะไรกับเธอหรอก ตอนนี้เขาแค่สงสัยแต่ไม่รู้เรื่องราวอย่างชัดเจน แต่เพราะอย่างนั้นฉันจึงต้องไปเป็นกองรบแนวหน้าตามบัญชาของ เขา”
น�าเสียงของลิเลียนนั้นเหมือนเธอกําลังฝืนพูดอย่างยากลําบาก ใบหน้าถูกฝืนไม่ให้บูดบึ้ง ดวงตาที่ราวกับอะเมทิสต์นั้นฉายความไม่ สมัครใจและความเศร้าอย่างจางๆ เธอกระซิบกับโรเอลเบาๆ
“ในอนาคต ฉันเกรงว่าการพบกันอีกครั้งจะยากแล้วล่ะ”