ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 66: แสงสว่าง
บทที่ 66: แสงสว่าง
โรเอลไม่สามารถอธิบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้เลยขณะที่นอร่ากางปีกแห่งแสงของเธอออกมาปกป้องเขาเอาไว้
เด็กชายได้พิจารณาความเป็นไปได้ต่าง ๆ มากมาย บางทีนอร่าอาจจะโจมตีเขา บางทีเธออาจจะพยายามสื่อสารเจรจากับเขาอย่างสงบ บางทีเธออาจพยายามรักษาระยะห่างระหว่างกันเพื่อปกป้องเขา บางทีเธออาจจะรู้สึกสิ้นหวังจนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลงมือฆ่าเขา
ทว่าโรเอลไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่านอร่าจะกล้าออกมาปกป้องแล้วหันหลังให้กับเขาอย่างไว้ใจเช่นนี้
แม้ว่าโรเอลจะยังไม่มีคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด แต่เขาก็ไม่ได้ไร้ซึ่งพลังโดยสมบูรณ์ กลับกันแล้ว เขามีอาวุธที่จะสามารถทำร้ายเธอได้อย่างดาบสั้นเอสเซนด์วิงที่มีอยู่ด้วยซ้ำ
นี่เป็นอาวุธที่นอร่ามอบให้กับโรเอล ซึ่งมันสามารถทำให้เด็กชายโจมตีผ่านการป้องกันของผู้มีพลังระดับแก่นแท้ 5 ได้สบาย ๆ ถ้าเขาคิดที่จะทรยศเธอในตอนนี้ล่ะก็ นอร่าก็จะไม่มีทางป้องกันการโจมตีของโรเอลในระยะประชิดได้เลย การหันหลังให้กับเขาเช่นนี้หมายความว่าเธอไว้ใจเขาแล้วจริง ๆ
มันก็จริงอยู่ที่นอร่าปฏิบัติตัวกับโรเอลอย่างดีมาโดยตลอด แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะยอมทำเพื่อเขาถึงขนาดนี้ เธอมั่นใจว่าตัวเองสามารถเอาชนะศัตรูตรงหน้าได้จริง ๆ งั้นเหรอ?
ไม่ ไม่ใช่แบบนั้นแน่ โรเอลอาจจะไม่รู้ว่านอร่ามีไพ่ตายอะไรเตรียมเอาไว้บ้าง แต่เขาสัมผัสได้ถึงอารมณ์อันแปรปรวนของเธอ
แม้มันจะสังเกตได้ยาก แต่มือที่กุมมือของเขาเอาไว้นั้นกำลังสั่นเทา ในใจของเด็กสาวไม่ได้สงบสุขุมอย่างที่ภายนอกของเธอกำลังแสดงออกมาตอนนี้
เนื่องจากจู่ ๆ พวกเขาก็ถูกดึงเข้ามาในห้องอันมืดมิดและน่ากลัวที่รายล้อมไปด้วยภาพวาดอันน่าสะอิดสะเอียน ความน่าสะพรึงกลัวของที่นี่มากเพียงพอที่จะทำให้คน ๆ หนึ่งรู้สึกคลื่นไส้จนทำอะไรไม่ถูก ท่าทีในตอนนี้ของนอร่าจึงเกินความคาดหมายของโรเอลไปมาก
อีกคนที่ประหลาดใจไม่แพ้กันก็คือปีเตอร์ เคเตอร์ เขาไม่เคยคิดเลยว่าการโจมตีทางจิตวิทยาที่เขาชำนาญจะยิ่งเสริมให้เจตนารมณ์อันยึดมั่นของเด็กสาวที่จะต่อต้านเขารุนแรงยิ่งขึ้น
“องค์หญิงแห่งตระกูลเซไซต์ ดูเหมือนเจ้าจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับพวกข้านะ เจ้าอาจจะคิดว่าพวกข้าเป็นลัทธินอกรีตชั่วร้ายที่สมควรจะถูกประหารชีวิต แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกข้าจะเป็นฆาตกรโรคจิตไร้สติที่เที่ยวฆ่าสังหารคนอย่างไร้ความหมาย”
“ข้ารู้เกี่ยวกับจุดแข็งของพวกเจ้าทั้งสองดี โอ้ องค์หญิงนอร่า มั่นใจได้เลยว่าข้าสามารถเอาชนะเจ้าได้ง่าย ๆ ด้วยความได้เปรียบอย่างท่วมท้น
หากกังวลว่าข้าจะผิดคำพูดแล้วฆ่าเจ้าหลังจากที่ฆ่าเด็กคนนั้นละก็ ไม่จำเป็นต้องคิดเช่นนั้นเลย ถ้าข้าต้องการ ข้าจะฆ่าพวกเจ้าพร้อม ๆ กันตอนนี้เลยก็ยังได้ ไม่มีความจำเป็นที่ข้าจะต้องเสนอวิธีการอันยุ่งยากแบบนี้ด้วยซ้ำ”
หลังจากได้ยินคำพูดอันยาวเหยียดของมือสังหาร นอร่าก็มองไปที่เขาอย่างสงบแล้วตอบด้วยคำพูดสั้น ๆ เพียงไม่กี่คำ
“เจ้าพูดจบแล้วใช่ไหม?”
“อะไรนะ?”
“ข้าคือ นอร่า เซไซต์ ทายาทผู้สืบทอดของราชวงศ์ เกิดมาพร้อมกับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่บนบ่า โรเอลเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า และข้าก็มีหน้าที่ที่จะต้องปกป้องเขา นอกจากนี้ด้วยความสัมพันธ์ส่วนตัวของเรา โรเอลเป็นเพื่อนสนิทของข้า เพราะฉะนั้นข้าจะยืนหยัดเพื่อเขา”
“ข้าเป็นผู้พิทักษ์ของเขา และจะปกป้องเขาจากอันตรายต่าง ๆ ไม่ให้ใครสามารถมาทำร้ายเขาได้ นี่คือความรับผิดชอบของข้าในฐานะคนตระกูลเซไซต์ เจ้ากำลังขอให้ข้าละทิ้งความรับผิดชอบและความภาคภูมิใจของตัวเองแล้วไปสมรู้ร่วมคิดกับคนอย่างเจ้างั้นหรือ? อย่ามาพูดบ้า ๆ น่า”
คำพูดอันเปี่ยมไปด้วยพลังของนอร่าทำให้โรเอลตกตะลึง เขาเข้าใจแล้วว่าเสน่ห์ที่เหล่าผู้ติดตามผู้ภักดีของเธอเห็นนั้นเป็นยังไง เด็กชายเปิดปากออก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี ทั้งหมดที่โรเอลทำได้มีเพียงกลืนน้ำลายลงไปในคออันแห้งผาก
ประโยคที่ว่า ‘ลูกน้องนั้นจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อคนที่เห็นคุณค่าของตัวเอง’…คงจะไม่เหมาะสมกับสถานการณ์นี้เท่าไหร่
ทัศนคติของนอร่าทำให้โรเอลประทับใจมาก แม้ว่าปีกแห่งแสงที่สอดประสานกันด้านหลังของเธอจะดูสง่างาม แต่มันก็เทียบไม่ได้เลยกับแสงที่ส่องสว่างอยู่ในหัวใจของเธอ
กลับกันแล้วปีเตอร์ เคเตอร์นั้นรู้สึกโกรธมากที่ได้ยินคำประกาศของนอร่า จากมุมมองของเขาแล้ว เขารู้สึกว่าจะต้องมีบางอย่างผิดปกติในหัวของนอร่าแน่
“การแข่งขันเพื่ออยู่รอดเป็นวิถีโดยธรรมชาติของโลกนี้ คนที่ปรับตัวได้คือผู้อยู่รอด คนเข้มแข็งฆ่าคนอ่อนแอมันแปลกตรงไหน?”
“เพราะความคิดดุจสัตว์ร้ายของพวกเจ้านั่นแหละ ที่ทำให้พวกเจ้าถูกมองว่าเป็นพวกคลั่งไคล้ความชั่วร้าย พวกเจ้าไม่ได้คิดใส่ใจอะไรเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ อีกทั้งยังท้าทายระเบียบของสังคม พวกเจ้าบ่อนทำลายความก้าวหน้าที่พวกเราทำมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา และพยายามทำลายอารยธรรมของมวลมนุษย์”
“ฮ่า ๆ ดีมาก แต่นั่นมันก็แค่เจตจำนงของเธอคนเดียว แล้วเขาล่ะ?”
ปีเตอร์เหลือบมองไปทางเด็กชายผมดำ พยายามสร้างความบาดหมางระหว่างทั้งสองด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้าของเขา
“ก่อนหน้านี้เขาเกือบจะชักดาบใส่เจ้าแล้วด้วยซ้ำ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเจ้าดูเหมือนจะเป็นแค่ฝ่ายเดียวนะในมุมมองของข้า”
“ความกลัวของเขามันเป็นเพียงเพราะเขายังไม่เข้าใจในตัวข้าดีเท่านั้น หลังจากนี้พวกเรายังมีเวลาอีกมากสำหรับทำความรู้จักกันให้มากขึ้น”
ระหว่างที่นอร่าพูดคำเหล่านั้นออกมา เธอก็หันไปข้างหลัง ส่งสายตาอันแหลมคมไปที่โรเอล ทำให้เด็กชายได้แต่เกาศีรษะของเขาอย่างเชื่องช้าด้วยความสับสน ทว่าเธอไม่ได้คิดจะตำหนิอะไรเขาในเรื่องนี้ พร้อมกับหันกลับมาเผชิญหน้าศัตรูอีกครั้ง
“ขอบคุณสำหรับคำเตือนของเจ้า หลังจากนี้พวกเราจะได้ใกล้ชิดกันให้มากขึ้นกว่าเดิมในอนาคต แต่ข้าก็ไม่ชอบให้เจ้ามาตั้งคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเราหรอกนะ”
คำพูดของนอร่าทำให้ปีเตอร์ เคเตอร์เบิกตากว้างอย่างสับสน ความไม่เข้าใจ งุนงงปรากฏขึ้นทั่วใบหน้าของเขา
ไอ้เด็กเหลือขอโรเอลนั่นมันพิเศษอะไรงั้นเหรอ? ทำไมเขาถึงสามารถเอาชนะใจผู้สืบทอดแห่งตระกูลเซไซต์ได้? อะไรทำให้เธอยอมออกมาปกป้องเขาถึงขนาดนี้กัน!
ปีเตอร์เริ่มรู้สึกโกรธกับสถานการณ์นี้เล็กน้อย เขาหายใจเข้าลึก ๆ ขณะคิดในใจว่าจะต้องทำให้เด็กเหลือขอทั้งสองคนนี้จมลึกลงไปในความสิ้นหวังให้ได้
“อย่างงั้นเหรอ? งั้นตอนนี้เราหยุดคุยเรื่องนี้กันก่อนดีกว่า มาฟังข้าแนะนำภาพวาดของข้ากันก่อนดีไหม?”
“เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“ถึงข้าจะเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ แต่ข้าก็เป็นศิลปินด้วยเช่นกัน ในห้องนี้มีงานศิลป์ทั้งหมดของข้าในอดีตจนถึงปัจจุบันอยู่ มีเพียงไม่กี่คนบนโลกเท่านั้นที่จะมีโอกาสชื่นชมผลงานชิ้นเอกของข้าแบบพวกเจ้า เอาล่ะ มาเริ่มกันที่ภาพนี้ก่อนเลยดีกว่า!”
ทันทีที่ปีเตอร์ดีดนิ้ว ภาพวาดอันน่าสยดสยองที่ส่งกลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียนก็ลอยเข้ามาหาเขาจากด้านหลัง มือสังหารผมดำหันหลังไปทางภาพวาด พร้อมจ้องมองไปที่มันด้วยความสุข แล้วจึงเริ่มอธิบายแนวคิดเบื้องหลังภาพวาดนี้อย่างตื่นเต้น ราวกับว่าเขาเป็นภัณฑารักษ์ในพิพิธภัณฑ์
“ดูให้ดี นี่คือผลงานชิ้นเอกของข้า! จิตรกรทุกวันนี้ต่างก็สร้างสรรผลงานเพื่อชื่อเสียงเพียงเท่านั้น ผลงานชิ้นเอกของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยรูปแบบตายตัวต่าง ๆ ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ น่าผิดหวังนัก!
ไม่ว่าจะเป็นดวงตาอันว่างเปล่าของตัวละครที่พวกเขาสร้างขึ้น! ไหนจะองค์ประกอบอันว่างเปล่าไร้ชีวิตชีวาของพวกเขาอีก! มันเป็นการดูหมิ่นศิลปะอย่างแท้จริง!”
“ดังนั้นข้าจึงออกเดินทางเพื่อค้นหาวิธีการสร้างภาพวาดที่สดใสที่สุด! และแล้วในที่สุดข้าก็ได้พบมัน ระหว่างการเดินทาง ข้าบังเอิญเจอหญิงสาวที่ตั้งครรภ์กำลังให้นมลูกอยู่ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันเปี่ยมด้วยความรักที่จ้องมองมายังลูกของเธอ ขณะลูบท้องที่ยื่นออกมาพลางสงสัยว่าลูกคนที่สองจะเติบโตออกมาเป็นอย่างไร มันเป็นภาพที่น่าหลงใหลมากเสียจน ข้าพบว่าตัวเองสั่นไหวไปด้วยความปรารถนาที่จะรักษาฉากนี้ให้คงอยู่ชั่วนิรันดร์… ดังนั้นข้าจึงฆ่าเธอซะ”
ปีเตอร์ เคเตอร์เผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนพลางหวนนึกถึงอดีตด้วยความคิดถึง แต่คำพูดดังกล่าวนั้นทำให้ทั้งนอร่าและโรเอลต้องตกตะลึง
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
“ข้าฆ่าเธอและลูกของเธอทิ้ง ใช้เนื้อและเลือดของพวกเขาเพื่อสร้างภาพนี้ขึ้นมา ‘รอยยิ้มของมารดา’ ดูรูปร่างอันสวยงามและจิตวิญญาณของเธอสิ นี่แหละคือศิลปะที่แท้จริง! เธอคือความรื่นรมย์ของข้า!”
ปีเตอร์อ้าแขนอย่างสง่างาม ราวกับว่ากำลังเพลิดเพลินไปกับเสียงสรรเสริญจากกลุ่มคนที่ชื่นชมเขา ทว่าโรเอลและนอร่ากลับได้ยินเป็นกรีดร้องแห่งความเจ็บปวดที่ดังก้องไปทั่วห้อง เหล่าวิญญาณอันน่าสงสารนับไม่ถ้วนกำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางความมืดมิด กรีดร้องจากการกระทำอันไร้มนุษยธรรมของปีเตอร์
ในขณะที่ผู้กระทำผิดหายใจออกมาอย่างผ่อนคลายราวกับกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศทั้งหมดนี้
เขามองดูใบหน้าอันซีดเผือดของเด็ก ๆ ทั้งสอง และเกือบจะหัวเราะออกมา
ยังไงพวกเขาก็ยังเป็นเด็ก เพียงแค่ใช้คำพูดไม่กี่คำก็สามารถทำให้พวกเขากลัวได้
นักฆ่าใจแคบโบกมือของตน จากนั้นหญิงสาวในภาพวาดก็คลานออกมาจากกรอบ ขดตัวอยู่ข้าง ๆ เขา
“ฝ่าบาทก็น่าจะรู้ดีนี่ ว่าต่อให้ร่วมมือกันทั้งสองคนก็ยังเทียบกับข้าไม่ได้อยู่ดี หากเจ้ายังยืนกรานที่จะเป็นศัตรูของข้าล่ะก็ ข้าก็ไม่รังเกียจเท่าไหร่หรอกนะที่จะเพิ่มภาพวาดของนางฟ้าทูตสวรรค์ลงไปเป็นหนึ่งในผลงานทั้งหมดของข้า”
ชายร่างผอมมองเข้าไปในดวงตาสีไพลินของนอร่า
“เจ้าจะได้กลายเป็นศิลปะอันสมบูรณ์แบบ เลือดของเจ้าจะเปลี่ยนเป็นเส้นสีแดงดำอันสวยงาม กระดูกของเจ้าจะถูกบดเป็นสีเหลืองและสีขาว และข้าก็จะได้ใช้ทูตสวรรค์ตัวจริงมาสรรสร้างภาพวาดของทูตสวรรค์ อ่า… มันจะต้องเป็นภาพวาดที่ยอดเยี่ยมแน่ ว่าไหม? มันอาจจะช่วยให้ข้าไปถึงระดับแก่นแท้ 3 ได้ด้วยซ้ำ”
“แต่ถ้าเจ้าเปลี่ยนใจเลิกปกป้องเด็กเหลือขอนั่น ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป ข้าไม่ได้ต้องการศพเยอะ ขอแค่หนึ่งคนสำหรับสีก็พอ ข้ารับประกันเลยว่าเจ้าจะได้กลับไปอย่างปลอดภัย”
ปีเตอร์พูดพลางมองไปทางเด็กหญิงอายุ 10 ขวบด้วยริมฝีปากที่ขดขึ้นพร้อมรอคำตอบอย่างอดทน
เขารู้ดีว่านอร่าไม่ใช่คนโง่ เธอตระหนักดีถึงความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งของพวกเขา สิ่งที่เขาต้องทำมีเพียงสร้างสถานการณ์ให้เด็กสาวยอมทรยศเจตจำนงของเธอ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดก็คือทำให้เธอหมดหนทาง เมื่อเธอรู้สึกว่าตนเองไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำสั่งของเขา เธอก็จะต้องฝืนยอมละทิ้งเจตจำนงของตัวเองทำตามที่เขาต้องการ
ปีเตอร์เคยใช้วิธีนี้มาหลายครั้งแล้ว เขาจึงรู้ว่ามนุษย์ไม่ได้มีจิตใจเข้มแข็งขนาดนั้น เพียงการกระตุ้นเกี่ยวกับชีวิตเล็กน้อยอีกฝ่ายก็จะยอมทำตามคำสั่งในที่สุด
เขาจู่โจมนอร่าทั้งทางเหตุผลและอารมณ์ น่าเสียดายที่ผลลัพธ์นั้นไม่ใช่การประนีประนอมแต่กลับเป็นการเยาะเย้ยจากองค์หญิง
“ความเมตตากรุณาคือสิ่งที่ตระกูลเซไซต์เทิดทูนยอมรับ มันคือเข็มทิศคุณธรรมที่พวกเรายึดมั่นเอาไว้ในหัวใจ ถ้าเรื่องแค่นี้เจ้ายังไม่รู้ แล้วยังคิดจะมาวาดรูปข้าโดยใช้เลือดเนื้อของข้าได้อีกงั้นเหรอ ?
“เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวเจ้างั้นหรือ? แม้ข้าจะต้องตายที่นี่ แต่เชื้อสายของเราจะไม่มีวันสิ้นสุดลง สักวันหนึ่งคมดาบของตระกูลเซไซต์ จะบั่นคอของเจ้าออก เหล่าผู้ล่วงลับจะได้พักผ่อนอย่างสงบสุข คนเป็นจะอยู่ได้โดยปราศจากความกลัว ความยุติธรรมอาจมาช้าแต่มันจะไม่มีวันจางหายไป ชะตากรรมเดียวที่รอเจ้าอยู่มีเพียงความพินาศ!”
นอร่าจ้องไปที่ศัตรูอย่างเฉยเมย พร้อมประกาศเจตจำนงอันยึดมั่นในใจ ทำให้โรเอลรู้สึกประทับใจในคำพูดของเธอมาก แม้ว่าเด็กสาวจะยังไม่ได้กางปีกออกมาอย่างเต็มที่ แต่เธอก็ได้แสดงความเป็นทูตสวรรค์ผู้ยืนหยัดในความเชื่อของตนออกมาอย่างแน่วแน่
…
ขณะที่นอร่าและโรเอลกำลังยืนต่อต้านปีเตอร์ ทางด้านพระสังฆราชจอห์นก็กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจากับรองหัวหน้าของลัทธิวิหารแห่งมิธริลเช่นกัน
“ตามที่ท่านเรียกร้อง พวกข้าจะยอมถอนตัวออกจากจักรวรรดิเซนต์เมซิท และขอรับประกันว่าจะไม่มีสมาชิกคนใดของพวกเราปรากฏตัวขึ้นในบริเวณใกล้เคียงจักรวรรดิเซนต์เมซิทอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราพร้อมจะให้ข้อมูลข่าวกรองของเป้าหมายทั้ง 11 ในรายการของท่านอีกด้วย”
ชายหน้าตาหล่อเหลาได้กล่าวข้อเสนอของตนออกมา พร้อมแสดงความเต็มใจที่จะเซ็นสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างจักรวรรดิเซนต์เมซิทและลัทธิวิหารแห่งมิธริลด้วยความเคารพ
ไม่ว่าจะเป็นการเสนอข่าวกรองอันมีค่าเกี่ยวกับลัทธิชั่วร้ายอื่น ๆ ไปจนถึงการจัดการกับภัยคุกคามที่เป็นอันตรายต่อจักรวรรดิเซนต์เมซิท ราวกับว่าเขาคือพันธมิตรที่แข็งแกร่งของจักรวรรดิเซนต์เมซิทเลยก็ว่าได้
ชายชราผมขาวเงียบไปครู่ใหญ่ ๆ ก่อนที่จะถามคำถามที่สำคัญที่สุดออกมา
“แล้วเจ้าหวังจะได้อะไรจากพวกเรา”
“ไม่มีอะไรมากขอรับ พวกเราก็แค่หวังว่าท่านจะเมินเฉยต่อเหตุการณ์นี้”
คาลัสกล่าวอย่างใจเย็น