ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 9: ฉันป้อน ฉันเก็บเกี่ยว ฉันมีความสุข
บทที่ 9: ฉันป้อน ฉันเก็บเกี่ยว ฉันมีความสุข
ในช่วงค่ำ ณ ห้องอาหารของคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ด
“มานี่สิ อลิเซีย ลองกินไส้กรอกรมควันนี่ดู” โรเอลยังคงป้อนอาหารให้เด็กสาวอย่างไม่ขาดปาก
อลิเซียที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โรเอล มองไปที่เขาด้วยสีหน้าเขินอาย แก้มของเด็กสาวแดงไปจนถึงริมฝีปากสีเชอร์รี่ ในขณะที่เธออ้าปากรอการป้อนของเขา
“งับ”
ทันทีที่เด็กสาวกัดลงไปบนไส้กรอกรมควัน รสชาติอันเอร็ดอร่อยของมันก็กระจายออกมาในปากของเธอ
แม้ว่าอลิเซียจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาท่าทีอันสุภาพเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่น้ำมันหยดหนึ่งจากไส้กรอกก็ยังคงไหลลงมาที่คางของเธอ พฤติกรรมอันไม่สง่างามเท่าไหร่นี้ ทำให้เด็กสาวเขินอายหนักเสียยิ่งกว่าเดิมจนหน้าแดงก่ำมากขึ้นไปอีก
เมื่อได้เห็นภาพนี้โรเอลก็ยิ้มออกมาพร้อมหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาเช็ดหน้าให้กับน้องสาวของเขาอย่างระมัดระวัง
“ท่านพี่…ฉ… ฉันทำเองได้ค่ะ” เธอเอ่ยขึ้นอย่างเหนียมอาย
“ไม่เป็นไรน่า เดี๋ยวฉันทำให้เอง”
โรเอลยืนกรานและเร่งการเคลื่อนไหวของตนเองเล็กน้อย ส่วนอลิเซียได้แต่หลบสายตามองไปข้างล่างด้วยความลำบากใจ ไม่กล้าสบตาโรเอลตรง ๆ
แต้มความสนใจ +200!
โอ้ อลิเซีย ฉันรักเธอจริง ๆ! เขาได้แต่แอบยิ้มในใจ
เมื่อเห็นว่าแต้มความสนใจของเขาพุ่งสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่งในเวลาเพียงวันเดียว ความรู้สึกของโรเอลที่มีต่ออลิเซียจึงได้เปลี่ยนไปจากความกลัวลึก ๆ เป็นความรักคลั่งไคล้ เด็กชายเริ่มเข้าใจความรู้สึกของเหล่าแฟนคลับที่ไล่ตามไอดอลขึ้นมาแล้ว
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือความเอาใจใส่ของเขา กำลังค่อย ๆ เปลี่ยนอลิเซียผู้ดื้อรั้นให้เข้าสู่เส้นทางของแฟนเกิร์ลเช่นกัน หากโรเอลสามารถมองเข้าไปในหัวใจของเด็กสาวได้ล่ะก็ เขาคงต้องประหลาดใจเป็นอย่างมากแน่ ที่เธอยังคงสามารถแสดงสีหน้าสำรวมอดทนปกติเช่นนี้เอาไว้ได้
ท่านพี่ช่างเป็นคนที่อ่อนโยนและใจดีเหลือเกิน เขาห่วงใยเรามาก ทั้ง ๆ ที่เราไม่ใช่น้องสาวแท้ ๆ ของเขาด้วยซ้ำไป สาวน้อยอลิเซียคิดในใจ
ภายในอกของเรารู้สึกอบอุ่นมากเสียจนเราไม่อยากจะถูกพรากไปจากเขา ต… แต่ถ้าตอนนี้เราดูเกาะแกะจนเกินไป เขาจะรังเกียจและทำตัวออกห่างเราไปไหมนะ ?
อลิเซียกำหมัดแน่นพลางนึกถึงความเจ็บปวดในสมัยก่อนที่เด็ก ๆ เหล่านั้นบีบบังคับเธอให้ทำเรื่องต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีคนที่อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับพลังของเธอโดยพยายามมาเข้าใกล้เธอด้วยการแสดงความปรารถนาดีเข้าหลอกล่อ
ดังนั้นเมื่ออลิเซียรู้สึกได้ว่าโรเอลนั้นแตกต่างออกไป ประสบการณ์ในอดีตจึงทำให้เด็กสาวอ่อนไหวอย่างมากต่อการกระทำของเขา เธอรู้สึกได้ว่าความปรารถนาดีที่โรเอลมีให้นั้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
อลิเซียต้องการเปิดใจกับเขา แต่ก่อนหน้านี้เด็กสาวนั้นอยู่คนเดียวมานานเกินไป เธอจมอยู่กับความมุ่งร้ายของผู้อื่นมานานเสียจนหมดหวังที่จะยื่นมือออกไปหาแสงสว่างและความอบอุ่นตรงหน้า อลิเซียนั้นยังไม่สามารถสลัดความไม่มั่นคงในใจของเธอออกไปได้
ถ้าหากเขาปฏิบัติกับเราอย่างดี เพียงเพราะอารมณ์หลงใหลชั่วครู่ล่ะ? เหมือนกับเด็ก ๆ ที่สักวันจะต้องเบื่อของเล่นในที่สุด ในอนาคตเขาจะทิ้งเราไปเมื่อหมดความสนใจในตัวเรารึเปล่า? เธอหวั่นใจ
ประสบการณ์วัยเด็กทำให้อลิเซียสร้างกำแพงจิตใจเอาไว้สูงมาก แต่เธอก็ยังคงเชื่อมั่นในคำพูดของบิดาผู้ล่วงลับไปแล้ว ว่าความรักที่แท้จริงนั้นย่อมสามารถเอาชนะบททดสอบของกาลเวลาได้
อลิเซียพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะสงวนท่าทีของตัวเองเอาไว้ แต่มันก็ยังยากเกินไปที่เด็กสาวจะสงบสติอารมณ์ต่อหน้าคนที่พยายามทำดีกับเธออย่างเต็มที่เช่นนี้ได้
ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาเพิ่งรู้จักกันแค่วันเดียวล่ะก็ โรเอลคงจะเข้าไปกอดอลิเซียไว้แน่น ๆ แล้วเอาแก้มมาคลอเคลียกับเธอไปแล้ว!
แต่มันยังเร็วเกินไปสำหรับเขาที่จะทำแบบนั้น! ต่อให้แต้มความสนใจของอลิเซียที่มีต่อเขาจะพุ่งทะลุหลังคาราวกับจรวดที่ระเบิดทะลุชั้นบรรยากาศก็ตามที!
อลิเซียนั้นช่างน่ารักน่าชังเกินกว่าใจจะต้านทานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแก้มขาว ๆ ของเธอแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างเขินอาย แม้ว่าอายุของเธอจะยังน้อยแต่เด็กสาวก็ทั้งสุภาพและว่านอนสอนง่าย
หากมีคนบอกว่าอลิเซียเป็นนางฟ้า โรเอลก็จะไม่แปลกใจเลย!
เขาได้แต่สงสัยว่าเจ้าโรเอลนั่นเลือกที่จะมอบน้องสาวสุดแสนจะน่ารักคนนี้ให้คนอื่นไปได้ยังไงกัน?
ให้ตายเถอะ เขาจะตัดหัวใครก็ตามที่กล้าฉกอลิเซียไปจากเขา! ต่อให้ตระกูลแอสคาร์ดจะต้องล่มสลาย โรเอลก็จะไม่มีวันให้ใครพรากอลิเซียไปจากเขาแน่!
ขณะที่โรเอลกำลังยืนยันหลักการที่จะให้อลิเซียเป็นศูนย์กลาง เด็กชายก็ป้อนอาหารเข้าปากของเธอไปด้วย เนื่องจากอลิเซียนั้นได้ปลุกสายเลือดของตัวเธอขึ้นมาถึงระดับทองแดงแล้ว โรเอลจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียรูปร่างของเธอ เพราะสายเลือดระดับทองแดงนั้นจะคอยปรับให้อลิเซียอยู่ในรูปแบบที่สวยงามที่สุดของเธอเสมอ
โรเอลจึงสามารถป้อนอาหารให้เด็กสาวได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวล เมื่ออลิเซียโบกมืออย่างอ่อนโยน แสดงออกว่าเธอไม่สามารถกินได้อีกต่อไป ในที่สุดโรเอลก็หยุดพัก
แม้ว่าพวกเขาจะทานอาหารเย็นกันเสร็จแล้ว แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่อยากแยกออกจากกัน พวกเขาจึงใช้เวลาพูดคุยกันสักพัก จนกระทั่งอลิเซียผู้เหนื่อยล้าเริ่มขยี้ตาที่กำลังจะปิดของเธอ โรเอลจึงบอกให้เธอกลับไปยังห้องของตัวเองเพื่อพักผ่อน
นอกจากในมื้อกลางวันแล้วในวันนี้ มาร์ควิส คาร์เตอร์ ก็ไม่ได้กลับมาทานอาหารเย็นด้วยเช่นกัน สถานการณ์แบบนี้เป็นเรื่องปกติของที่นี่มานานแล้ว ทั้งโรเอลและคนรับใช้จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับมันเท่าไหร่
หลังจากมุ่งหน้ากลับไปยังห้องนอนของเขา โรเอลก็ได้ใช้เวลาอีกสองชั่วโมงไปกับการอ่านหนังสือก่อนที่ร่างเล็ก ๆ ของเขาจะเริ่มอ่อนเพลียลงด้วยความเหนื่อยล้า ด้วยความช่วยเหลือของแอนนา เด็กชายก็ได้ปีนขึ้นไปบนเตียงมุดตัวเข้าไปในผ้าห่มนวมอันแสนอบอุ่นของเขา
หลายสิ่งหลายอย่างมากมายเกิดขึ้นในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการระลึกถึงความทรงจำในอดีตชาติของเขา การพบกันกับอลิเซีย การปรากฏขึ้นของระบบ การคิดถึงแผนการเพื่อรับมือกับอันตรายในอนาคต
นับประสาอะไรกับเด็กชายวัย 9 ขวบ ต่อให้โรเอลเป็นผู้ใหญ่ เขาก็คงเหนื่อยอยู่ดี หากต้องมารับมือกับเรื่องต่าง ๆ มากมายในคราวเดียวเช่นนี้
โรเอลใช้ทั้งเวลา ทั้งแรงกาย และแรงใจไปมากในวันนี้ เขาจึงล่องลอยไปสู่ห้วงดินแดนแห่งความฝันอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันแอนนาที่กำลังจะเดินออกจากห้อง จู่ ๆ เธอก็หยุดลงครุ่นคิดเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ สาวใช้มองไปยังใบหน้าอันน่าเอ็นดูของเด็กน้อยผู้กำลังงีบหลับอยู่บนเตียง พลางนึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเขาในวันนี้อีกครั้ง
แต้มความสนใจ +50!
“วันนี้ ดิฉันขอยืนอยู่ตรงนี้ต่อไปอีกสักพักก็แล้วกันค่ะ”
แอนนาพึมพำก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ
—————————————-
หนึ่งเดือนต่อมา ณ เขตเพาะปลูกบริเวณชานเมืองของเขตการปกครองแอสคาร์ด ฝูงชนได้มารวมตัวกันหน้าโรงสี
ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง เมื่อสังเกตเห็นฝูงชนเริ่มมารวมตัวกันที่หน้าโรงสี เฒ่าเคนท์ผู้อยู่ระหว่างการไถพรวนแปลงพืชผลก็ได้โยนจอบในมือทิ้งไปทันที เขาดึงกางเกงขึ้นแล้ววิ่งอย่างกระตือรือร้นพร้อมคว้าถุงข้าวสาลีข้างแปลง วิ่งไปทางโรงสีด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี โดยระหว่างทางเขาก็ไม่ลืมที่จะตะโกนเรียกลูกชายของตนให้ตื่นตัว
“บิล หยุดสนใจเจ้าลาหน้าโง่นั่นได้แล้ว! รีบไปเรียกแม่ของแกมาช่วยฉันขนข้าวสาลีเร็ว โรงสีกำลังจะเปิดแล้ว!”
เฒ่าเคนท์เป็นพวกชอบใช้การกระทำมากกว่าคำพูด เขาเตะก้นของลูกชายผู้ซึ่งกำลังให้อาหารลาอยู่อย่างแรง ก่อนจะพุ่งตัวไปยังโรงสีต่อ ไม่ใช่ว่าเฒ่าเคนท์เป็นคนใจร้อน แต่เขามีคู่แข่งอยู่มากมายที่จะมาแย่งชิงการใช้โรงสีกับเขา
หากมองลงมายังพื้นที่ไร่นี้จากบนท้องฟ้า ก็คงจะเห็นผู้คนกว่าหลายสิบคนกำลังวิ่งตรงมาที่โรงสีอย่างเร่งรีบพร้อมกับถุงข้าวสาลีในมือของพวกเขา โดยพวกเขาทุกคนล้วนมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันไป บางคนก็อยู่ใกล้โรงสีกว่าคนอื่น ๆ บางคนก็อยู่ไกลกว่า แต่ที่แน่นอนก็คือเฒ่าเคนท์นั้นไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบเท่าไหร่
บ้าเอ้ย! ตาเฒ่าจอร์จมันควรจะอ่อนแอไม่ใช่รึยังไงกัน เจ้าแก่นั่นมันวิ่งเร็วขนาดนั้นได้ยังไงเนี่ย? ไอ้เจ้าแอนโธนี่ก็ด้วย! พวกแกไม่ได้มีข้าวสาลีมากแท้ ๆ ทำไมถึงได้เร่งรีบขนาดนั้นกัน?
เฒ่าเคนท์วิ่งไปพลางสำรวจคู่แข่งไปพลาง เขาขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด เพราะเฒ่าเคนท์รู้ดีว่าถ้าหากวันนี้เขาไม่พยายามจนถึงที่สุด…เขาก็อาจจะไม่มีเงินมากพอไปจ่ายภาษี!
ใช่แล้ว! เฒ่าเคนท์ เฒ่าจอร์จ ผู้อ่อนแอที่ขึ้นนำอยู่ข้างหน้าเขา แอนโธนี่ที่อยู่ทางซ้าย และคนอื่น ๆ อีกหลายสิบคนในที่นี่ต่างกำลังต่อสู้ เพื่อจ่ายภาษีของพวกเขา!
พลเรือนในโลกใบนี้ เสียภาษีกันอย่างไรงั้นเหรอ? คำถามอันซับซ้อนนี้มีคำตอบง่าย ๆ อยู่ นั่นก็คือเหล่าเกษตรกรต่างก็จ่ายภาษีโดยการส่งมอบพืชผลบางส่วนของตนเองไป
แน่นอนว่าพวกเขานั้นไม่สามารถส่งมอบพืชผลที่เก็บเกี่ยวสด ๆ ใหม่ ๆ จากทุ่งนาได้ในทันที พืชผลเหล่านั้นที่จะใช้จ่ายในฐานะภาษีจะต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ ก่อน ขั้นตอนการจัดเก็บภาษีประกอบด้วยการส่งข้าวสาลีที่เก็บเกี่ยวมาแล้วไปยังโรงสีของเจ้าของที่ดิน เพื่อบดเป็นแป้ง จากนั้นเจ้าหน้าที่จัดเก็บภาษีก็จะนำส่วนหนึ่งจากตรงนั้นไปนับเป็นภาษี ก่อนที่จะใส่เครื่องหมายกำกับไว้ข้างชื่อสกุลของพวกเขา
หลาย ๆ ปีก่อนหน้านี้ผู้คนต่างก็มุ่งหน้ามายังโรงสีของเจ้าของที่ดินเช่นเดียวกันกับวันนี้ ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ทว่าคิวไม่ได้ยาวเท่ากับคิวของปีนี้แน่
ในปีนี้เกษตรกรทุกคนต่างวิ่งไปข้างหน้าอย่างสิ้นหวัง เพราะพวกเขารู้ดีว่ายมทูตแห่งความตายกำลังไล่ตามพวกเขาอยู่จากข้างหลัง
ซึ่งเหตุผลเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงในปีนี้ก็คือ เขตการปกครองแอสคาร์ดได้มีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่จัดเก็บภาษีอากรคนใหม่ โรเอล แอสคาร์ด
โรเอล แอสคาร์ด เป็นนายน้อยและผู้สืบทอดแต่เพียงผู้เดียวของตระกูลแอสคาร์ด แม้เขาจะมีอายุเพียง 9 ปี จนเฒ่าเคนท์อดไม่ได้ที่จะพูดจาดูถูกเหยียดหยาม เมื่อได้ยินว่าเด็กน้อยคนนี้จะมารับตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่จัดเก็บภาษีอากร
เดิมทีเฒ่าเคนท์คิดว่ามันเป็นแค่เรื่องหยอกล้อในแวดวงขุนนางตามปกติ แต่ในไม่ช้าเขาก็ได้ยินข่าวบางอย่าง ที่ปัดเป่าคำดูถูกเหยียดหยามในตอนแรกของเขาออกไปอย่างรวดเร็ว
ข่าวดังกล่าวมาจากเกษตรกรคนหนึ่งที่ได้พบกับ โรเอล แอสคาร์ดโดยบังเอิญในตอนที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังโรงสี เพื่อจ่ายภาษีอากร โดยเหตุผลนั้นมีอยู่สองประการ
ก่อนอื่นเมื่อ โรเอล แอสคาร์ด ขึ้นเป็นเจ้าหน้าที่จัดเก็บภาษีอากร เกษตรกรผู้เสียภาษีจะไม่ต้องเสียเวลาหมุนโม่โรงสีด้วยตัวเองในโรงสีของเจ้าของที่ดิน
ก่อนหน้านี้เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกษตรกรจ่ายภาษีน้อยจนเกินไป พวกเขาจะต้องหมุนโม่บดข้าวสาลีด้วยตนเอง โดยเกษตรผู้ที่มีฐานะดีนั้นสามารถนำลามาด้วยก็ได้ แต่ปัญหาก็คือลาส่วนตัวของพวกเขานั้น มีแนวโน้มว่าจะถูกนำไปใช้เป็นของสาธารณะ
แค่คำพูดคงไม่เพียงพอที่จะอธิบายให้เห็นถึงความเหน็ดเหนื่อยของการหมุนโม่โรงสีด้วยมือข้างเดียว เรียกได้ว่าเฒ่าเคนท์สามารถบ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ทั้งอาทิตย์!
อย่างไรก็ตาม ณ โรงสีของผู้จัดเก็บภาษีอากร โรเอล แอสคาร์ด ทุกอย่างนั้นแตกต่างออกไปมาก เกษตรกรเพียงแค่ต้องยื่นข้าวสาลีให้กับเจ้าหน้าที่และรออยู่ข้าง ๆ จากนั้นไม่นานข้าวสาลีของพวกเขาก็จะกลายเป็นแป้งอย่างน่าอัศจรรย์
แม้มันจะฟังดูดีเกินจริง แต่เฒ่าเคนท์ก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับเรื่องนี้ ด้วยที่ว่ามาร์ควิส คาร์เตอร์นั้นเป็นจอมเวทผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในจักรวรรดิเซนต์เมซิท ดังนั้นมันจึงไม่แปลกอะไรหากลูกชายของเขาจะต้องเป็นจอมเวทผู้มีพรสวรรค์ตามเชื้อพ่อ
สำหรับประชาชนทั่วไป ไม่มีอะไรที่จอมเวททำไม่ได้
แต่นั่นก็ยังไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด แม้ว่าการไม่ต้องปั่นโม่ด้วยตนเองจะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่เกษตรกร แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เกษตรกรผู้มีความสามารถกระตือรือร้นกันถึงขนาดนี้ รวมถึง เฒ่าเคนท์เองก็ด้วย
สิ่งที่เป็นแรงจูงใจให้ตาเฒ่าเหล่านี้ วิ่งออกไปอย่างพุ่งพรวด ก็คือเหตุผลประการที่สองนี้เอง
นั่นก็คือภาษีที่เก็บขณะ โรเอล แอสคาร์ด กำลังปฏิบัติหน้าที่จะน้อยกว่าปกติ !
แม้ว่าเกษตรกรเหล่านี้บางคนจะไม่ได้รับการศึกษาและเกิดจากข้างถนน แต่พวกเขาก็สามารถคำนวณอย่างแม่นยำเป็นพิเศษได้ทันทีเมื่อต้องจ่ายภาษี
ดังนั้นตอนแรกที่โรเอลเสนอว่าจะช่วยโม่บดข้าวสาลีแทนพวกเขา สิ่งแรกที่เกษตรกรกังวลก็คือพวกเขาอาจจะถูกเรียกภาษีเพิ่ม การที่พวกเขาไม่สามารถเห็นขั้นตอนการบดข้าวสาลีเป็นแป้งได้ด้วยตัวเองทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
แต่หลังจากได้คำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าพวกเขาถูกหลอกลวงหรือไม่ พวกเขาก็ได้ข้อสรุปอันน่าประหลาดใจ แทนที่พวกเขาจะถูกเรียกเก็บเงินภาษีมากขึ้น พวกเขากลับได้รับการลดหย่อนภาษีแทน!
จากการคำนวณของพวกเขาโดยเฉลี่ยแล้ว เหล่าเกษตรกรพบว่าพวกเขาได้รับการลดหย่อนภาษีราว ๆ 10% โดยบางคนก็ได้รับการลดหย่อนมากถึง 20% เลยทีเดียว!
ทันทีที่ข่าวนี้กระจายออกไปเกษตรกรทุกคนที่ยังไม่ได้จ่ายภาษีก็ตาลุกวาวเป็นมัน การลดภาษีลงกว่า 20% ถือเป็นเงินมหาศาล! พืชผลเหล่านี้สามารถนำไปขายในเมืองหลวงและใช้ซื้อของดี ๆ มากมายได้ วันนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรที่ได้รับพืชผลจากการเก็บเกี่ยวเยอะเช่นเฒ่าเคนท์
เงินที่เฒ่าเคนท์ได้จากการลดหย่อนภาษีนั้นมากพอที่จะจัดพิธีแต่งงานให้ลูกชายของเขาได้สบาย ๆ!
น่าเสียดายที่ โรเอล แอสคาร์ด ไม่ได้มีโรงสีประจำของตัวเอง ดังนั้นเหล่าเกษตรกรจึงไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้าได้เลยว่าเขาจะปรากฏตัวที่ไหนและเมื่อไหร่ คราวก่อนเฒ่าเคนท์มาสายจนต้องลงเอยด้วยการยืนต่อคิวยาวจนพระอาทิตย์ตกดินกว่าจะถึงคิวของเขา
แค่นึกถึงความเจ็บปวดในอดีตที่พลาดพลั้ง ความรู้สึกเสียใจก็ส่งพลังอันพุ่งพล่านไปทั่วร่างกายของเฒ่าเคนท์ ทำให้เขามีพละกำลังที่จะเอาชนะเฒ่าจอร์จผู้อ่อนแอได้ในการวิ่งแข่งขันไปยังโรงสีของเจ้าของที่ดิน
ขณะเดียวกันด้านหน้าแถวอันยาวเหยียด ณ โรงสีแป้ง เด็กชายตัวน้อยผู้น่ารักก็กำลังนั่งรอเหล่าเกษตรกรอยู่บนโต๊ะกลมเล็ก ๆ เขากำลังจิบชายามบ่ายอย่างสบาย ๆ ดวงตาสีทองอันส่องประกายมองทอดไปยังเหล่าเกษตรกรผู้กำลังวิ่งอย่างสุดกำลังด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นบนใบหน้าของเขา
แต้มความสนใจ +100! แต้มความสนใจ +120! แต้มความสนใจ +80! แต้มความสนใจ + 110 …