ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 1141 ไฟสงครามปะทุ (6) ตอนที่ 1142 ไฟสงครามปะทุ (7)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 1141 ไฟสงครามปะทุ (6) ตอนที่ 1142 ไฟสงครามปะทุ (7)
ตอนที่ 1141 ไฟสงครามปะทุ (6) / ตอนที่ 1142 ไฟสงครามปะทุ (7)
ตอนที่ 1141 ไฟสงครามปะทุ (6)
เมืองที่พวกเขาเพิ่งออกมาไม่นานระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่อหน้าต่อตาพวกเขา เปลวไฟพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้า ทำให้เส้นขอบฟ้าที่มืดสลัวกลายเป็นแสงสีแดงเรืองรอง!
เมืองหายไปแล้ว…
มันกลายเป็นซากปรักหักพังในชั่วพริบตา ภาพของไฟและความย่อยยับทำให้พวกเขารู้สึกตกใจเหมือนเห็นโลกแตกเป็นเสี่ยงๆ
เสียงพูดเอะอะดังขึ้นในกลุ่มผู้อพยพทันที
ตะกร้าสานใบใหญ่อันหนึ่งที่วางอยู่บนหลังม้าตกลงบนพื้น ตราเหล็กเปื้อนโลหิตกองหนึ่งหล่นออกมากระทบกันเสียงดัง
มู่เฉินจ้องเขม็งไปที่ตราพวกนั้น เขารีบพุ่งเข้าที่กองเหล็กพวกนั้นแล้วเช็ดโลหิตที่เปื้อนตราออกด้วยมืออันสั่นเทา
กองทัพรุ่ยหลินต้องมี…
มู่เฉินพลันรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาด!
ที่คอของทหารกองทัพรุ่ยหลินทุกคนจะแขวนป้ายชื่อแบบนี้เอาไว้ เมื่อพวกเขาตายในสนามรบและเอาศพกลับมาได้ยาก ป้ายชื่อของพวกเขาจะถูกนำกลับไปที่บ้านเกิดของพวกเขาเพื่อส่งมอบให้กับครอบครัวของพวกเขา
มู่เฉินไม่เคยคิดเลยว่าทหารที่รักษาเมืองจนตัวตายนั้นจะเป็นคนของกองทัพรุ่ยหลินจริงๆ!
โลหิตและโคลนที่เปื้อนเกราะที่พวกเขาสวมใส่อยู่ทำให้ไม่เห็นว่าพวกเขามาจากกองทัพไหน
พวกเขาปล่อยม้าออกมาและตั้งใจที่จะตายไปพร้อมกับศัตรูและพร้อมกับเมืองที่ล่มสลาย!
พวกเขารู้ว่าจะไม่ได้กลับบ้านอีกแล้ว จึงเอาป้ายชื่อของทุกคนใส่รวมกันไว้ที่ม้าตัวหนึ่งที่กำลังออกจากเมือง หวังว่าป้ายชื่อที่แบกความตั้งใจครั้งสุดท้ายของพวกเขาจะมีโอกาสถูกส่งไปถึงมือของคนในครอบครัว
“อ๊าก!!!” มู่เฉินคุกเข่าบนพื้นและเงยหน้าร้องตะโกนขึ้นฟ้า น้ำตาอุ่นๆ ไหลลงมาตามใบหน้าของเขา
เขาสัญญากับจวินอู๋เสียว่าเขาจะสนับสนุนกองทัพรุ่ยหลินอย่างดี แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับกองทัพรุ่ยหลินมากนัก แต่ทุกสิ่งที่เขาทำลงไปก็เพื่อให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้น และวันนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่อยู่ในสนามรบเดียวกับเขาคือคนของกองทัพที่ดุดันที่สุดนั้น!
ทุกคนต่างพากันเงียบ เมื่อเห็นกองป้ายชื่อพวกเขาก็เข้าใจว่าทหารกองทัพรุ่ยหลินในเมืองได้ใช้ชีวิตของตัวเองช่วยให้พวกเขามีเวลาหลบหนี พวกเขาใช้โลหิตและชีวิตของตัวเองทำให้คำสรรเสริญกองทัพรุ่ยหลินคงอยู่ไปตลอดกาล!
“ท่านอาจารย์…” พวกลูกศิษย์ที่ตำหนิพวกทหารว่าไม่มีหัวใจไร้ความรู้สึกก่อนที่จะจากมาก็พากันคอตกอย่างละอายใจ
ท่าทีสามหาวหยาบคายของทหารคนนั้นเป็นเพราะเขาเคารพนับถือมู่เฉินมาก พวกเขารู้ว่ามีแค่ความตายเท่านั้นที่รออยู่สำหรับคนที่ยังอยู่ในเมือง ดังนั้นพวกเขาจึงพูดจาร้ายกาจเช่นนั้นเพื่อไล่มู่เฉินให้ออกไปจากเมือง
จากนั้นก็มีฝนตกปรอยๆ ไปทั่วทำให้เสื้อผ้าของทุกคนเปียกหมด แล้วจู่ๆ ฝนอันหนาวเย็นก็เทลงมาห่าใหญ่ หยดน้ำฝนตกกระทบป้ายชื่อ ล้างโลหิตและโคลนออกไปทีละน้อย
มู่เฉินก้มลงเก็บป้ายชื่อพวกนั้นใส่กลับเข้าไปในตะกร้าอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็วางตะกร้าลงบนหลังม้าและเงยหน้าขึ้นมองเส้นทางที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนข้างหน้าพวกเขา
“ไปกันเถอะ! เราจะให้การเสียสละของพวกเขาสูญเปล่าไม่ได้!”
พวกเขารู้สึกเหมือนถูกมีดเฉือนหัวใจ และไม่สามารถหยุดตัวเองจากการก้าวต่อไปได้ พวกเขาต้องมีชีวิตอยู่เพื่อทำตามความตั้งใจของทหารกองทัพรุ่ยหลินที่รั้งอยู่ในเมืองนั้น นำเอาป้ายชื่อที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งความกล้าหาญและจิตใจอันมุ่งมั่นแข็งแกร่งของพวกเขากลับไปส่งให้ถึงมือครอบครัวของพวกเขาให้ได้!
ท่ามกลางฝนที่ตกหนัก พวกชาวเมืองที่หยุดเดินทางก็ลุกขึ้นอีกครั้งและออกเดินไปข้างหน้า สายฝนอันเย็นเฉียบที่ตกลงมาไม่อาจล้างเอาความเศร้าเสียใจและความเจ็บปวดในใจของพวกเขาออกไปได้ หนทางที่พวกเขาก้าวเดินไปนั้นเฉอะแฉะเต็มไปด้วยโคลนและไม่มั่นคง แต่ความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือนได้เกี่ยวกับทหารกองทัพรุ่ยหลินยังคงอยู่ในใจพวกเขาในฐานะผู้ปกป้องรัฐชีตลอดไป!
ตอนที่ 1142 ไฟสงครามปะทุ (7)
สนามรบทางตะวันตก เมืองที่นั่นถูกทหารฝ่ายศัตรูทำลายเสียหายเป็นบริเวณกว้าง มู่เชียนฟานยืนมองเหล่าผู้นำของกองทัพรุ่ยหลินวางแผนการรบบนแผนที่อยู่ในค่ายทหาร เสียงการต่อสู้อันดุเดือดด้านนอกและเสียงร้องจากการถูกสังหารดังต่อเนื่องไม่หยุด
เกราะของผู้นำที่อยู่ในกระโจมใหญ่นั้นเปื้อนโลหิตทุกคน แต่พวกเขาไม่มีเวลาเช็ดมันออก ในการต่อสู้ที่รุนแรงเช่นนั้น เวลาทุกนาทีและทุกวินาทีของพวกเขาคือการต่อสู้เพื่อชีวิตของทหารของพวกเขา
“ทหารของกองทัพพันธมิตรรัฐจิ้วมีมากเกินไป! พี่น้องของเราต้านทานพวกนั้นไม่ได้!” ผู้นำคนหนึ่งกำหมัดต่อยโต๊ะด้วยความโกรธ โลหิตไหลออกจากผิวหนังรอบๆ ข้อนิ้วของเขาทันที
ผู้นำอีกคนขมวดคิ้วมองสถานการณ์บนแผนที่ สีหน้าของเขาระมัดระวังรอบคอบมาก
“พวกชาวเมืองจันทร์กระจ่างอพยพไปหรือยัง” เขาถาม
“ส่วนใหญ่อพยพไปแล้ว เมืองนี้ก็ป้องกันไม่ได้แล้ว เราจะถอยกันหรือไม่”
“ไม่มีที่ให้เราถอยอีกแล้ว ถนนสายนี้ตรงสู่เมืองหลวง ถ้าเราถอย กองทัพพันธมิตรของรัฐจิ้วจะตรงเข้าเมืองหลวงได้ในทันที เมืองหลวงยังเตรียมการป้องกันได้ไม่สมบูรณ์ ถ้าพวกเขาถูกรัฐจิ้วโจมตีตอนนี้ พวกเขาจะไม่สามารถรับมือได้…” แม่ทัพขมวดคิ้วมองแผนที่จนแทบจะทะลุอยู่แล้ว เขาอยากหาวิธีที่จะช่วยให้พวกเขามีความหวังจะได้ชัยชนะจากโอกาสที่เสียเปรียบอย่างมากมายนี้
โชคร้ายที่จำนวนทหารที่พวกเขามีนั้นน้อยเกินไป ไม่เพียงพอที่จะต่อต้านกองทัพอันมหาศาลของรัฐจิ้วได้
แม้ว่ากองทัพรุ่ยหลินจะแข็งแกร่งมาก แต่กองกำลังหนึ่งแสนคนของพวกเขาถูกแบ่งออกไปสี่สนามรบ ขณะที่ค่ายทหารในด่านหน้าทุกด่านมีคนอยู่สองหมื่นคนเท่านั้น ถึงจะรวมกับกองกำลังอื่นๆ ในรัฐชีแล้ว ก็ยังเทียบกับกองทัพพันธมิตรของรัฐจิ้วไม่ได้อยู่ดี
รัฐชีในตอนที่ถูกปกครองโดยฮ่องเต้พระองค์ก่อนนั้นสิ้นเปลืองเวลาไปอย่างมากมาย กองทัพของรัฐชีพลาดโอกาสที่ดีที่สุดในการฝึกฝนไปแล้ว ต่อให้มั่วเฉี่ยนยวนพยายามปรับปรุงแก้ไขทันทีที่ขึ้นครองราชย์ แต่ด้วยเวลาสั้นๆ แค่หนึ่งปี จะฝึกกองกำลังอื่นของรัฐชีให้เป็นเหมือนกองทัพรุ่ยหลินที่เป็นจ้าวแห่งความห้าวหาญดุดันก็คงเป็นได้แค่ความคิดเท่านั้น
พวกเขาไม่สามารถถอยได้อีกแล้ว ถ้าพวกเขาถอยอีกก้าวเดียว เมืองหลวงจะตกอยู่ในสภาวะวิกฤต และถ้าเมืองหลวงถูกยึด รัฐชีก็จะ…ล่มสลาย!
ตามธรรมชาติของทหารทุกคน ไม่มีผู้นำคนไหนในกระโจมที่อยากตัดสินใจถอยทัพ พวกเขาต่างเค้นสมองมองหาโอกาสในวิกฤตกันอย่างเต็มที่
“สู้! เราทำได้แค่สู้ต่อไป! ท่านอ๋องทิ้งเมืองนี้ไว้ให้พวกเราและยังแบ่งทหารให้พวกเราอีกหนึ่งหมื่นคน กองกำลังที่สำคัญที่สุดของกองทัพรัฐชีอยู่กับเรา ถ้าพวกเราล้มเหลวอีก เราจะตอบความไว้วางใจที่ท่านอ๋องกับฝ่าบาทมีให้พวกเราได้อย่างไรกัน!” แม่ทัพกัดฟันพูด
“เราจะซัดพวกมันจนกว่าพวกมันจะร้องไห้หามารดาเลย! ก็แค่รัฐจิ้ว! ข้าจะใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีล้มพวกมันให้ได้! ถ้าพวกมันอยากทำลายรัฐชี ก็ต้องข้ามศพพวกเรากองทัพรุ่ยหลินไปก่อน!” ผู้นำคนหนึ่งตะโกนขึ้นอย่างฮึกเหิม
รัฐชีล่มสลายไม่ได้! และกองทัพรุ่ยหลินจะไม่แพ้!
“ถ้าศีรษะเราหลุดจากบ่า มันก็แค่แผลใหญ่แผลเดียว! เมื่อพวกเราพบกันที่ปรโลก พี่น้องเราจะยังรวมตัวกันอีกครั้ง!”
“รายงานหัวหน้า! รัฐจิ้วกำลังบุกโจมตีเราทางด้านขวาขอรับ!” ทหารคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างรีบร้อนจากด้านนอกกระโจม
หัวหน้าคนหนึ่งยกจอกสุราบนโต๊ะขึ้นเทลงคอแล้วหันพูดกับคนอื่นในกระโจมพร้อมกับโบกมือว่า “พี่น้อง! ข้าไปก่อนนะ! แล้วข้าจะเปิดเส้นทางให้พี่น้องของข้าในปรโลกให้เอง!”
คำบอกลานั้นเป็นคำที่พวกเขาใช้ตอนที่อยู่ระหว่างความเป็นความตาย และไม่มีการหวนกลับมา!
มู่เชียนฟานขบกรามแน่นขณะที่เฝ้ามอง และเมื่อเขาไม่สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป เขาก็ก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าแม่ทัพ
“ทหารผู้น้อยคนนี้ขอเข้าร่วมรบด้วยขอรับ!”
แม่ทัพมองเขาแล้วส่ายศีรษะ
“ทำไมเล่าขอรับ!” มู่เชียนฟานถามพร้อมเบิกตากว้าง