ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 1151 เลือดต้องล้างด้วยเลือด (3) ตอนที่ 1152 ตบหน้าเป็นหมู่คณะครั้งที่หนึ่ง (1)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 1151 เลือดต้องล้างด้วยเลือด (3) ตอนที่ 1152 ตบหน้าเป็นหมู่คณะครั้งที่หนึ่ง (1)
ตอนที่ 1151 เลือดต้องล้างด้วยเลือด (3) / ตอนที่ 1152 ตบหน้าเป็นหมู่คณะครั้งที่หนึ่ง (1)
ตอนที่ 1151 เลือดต้องล้างด้วยเลือด (3)
ขณะที่แม่ทัพใหญ่ของรัฐซังกำลังมีความสุขอยู่นั้น ก็มีทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามาจากข้างนอกกระโจมแม่ทัพอย่างรีบร้อน
“รายงานขอรับ!”
แม่ทัพใหญ่เลิกคิ้วขึ้น “อะไร”
“รายงานท่านแม่ทัพใหญ่! มีกองทัพขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นห่างจากค่ายสี่ลี้ขอรับ!”
“กองทัพใหญ่หรือ” แม่ทัพใหญ่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นอย่างเยาะเย้ยว่า “รัฐจิ้วทำสำเร็จแล้วหรือ ไม่ได้ใช้เวลามากอะไรเลยนี่”
“เจ้าเห็นหรือเปล่าว่าเป็นกองทัพของรัฐไหน” แม่ทัพใหญ่พูดโดยไม่มีสีหน้าตื่นตระหนกใดๆ เลย รัฐชีอ่อนกำลังลงมากแล้ว และทั่วทั้งรัฐชีนอกจากกองทัพพันธมิตรทั้งสี่รัฐของพวกเขาก็ไม่มีกองทัพใหญ่ที่ไหนอีก เขาไม่มีเหตุผลที่ต้องกลัวพันธมิตรของตัวเอง
“ข้าไม่…พวกเขาอยู่ห่างขอรับ ข้าจึงเห็นไม่ชัด”
“ช่างเถอะ ไปได้แล้ว” แม่ทัพใหญ่โบกมือไล่ทหารคนนั้น
แต่แม่ทัพใหญ่พูดยังไม่ทันขาดคำ ทหารอีกคนก็วิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน
“รายงานขอรับ!”
“คราวนี้อะไรอีก!” แม่ทัพใหญ่ตะคอกอย่างหงุดหงิด
“ข้า…ตรวจสอบ…กองทัพนั้นได้แล้วขอรับ…” สีหน้าของทหารคนนั้นดูไม่ดีเลย
“อย่างนั้นหรือ รัฐไหนเล่า” แม่ทัพใหญ่ถามอย่างไม่สนใจไยดี ไม่แม้แต่จะดูหน้าทหารคนนั้นด้วยซ้ำ แต่ลากเอาเชลยหญิงคนหนึ่งขี้นมาเพื่อสนองราคะตัวเอง
“เป็น…เป็น…รัฐเหยียนขอรับ…”
“อะไรนะ!” สีหน้าของแม่ทัพใหญ่ก็เปลี่ยนเป็นตกใจทันที เขาโยนสตรีลงไปที่พื้นแล้วลุกพรวดขึ้น
“เจ้าว่าอะไรนะ ระ…รัฐเหยียนหรือ! แน่ใจนะว่าดูไม่ผิด กองทัพของรัฐเหยียนแน่นะ!” ฟันของแม่ทัพใหญ่เริ่มกระทบกัน รัฐซังนับว่าเป็นเพียงรัฐขนาดกลางเท่านั้น ไม่มีทางเทียบกับรัฐใหญ่อย่างรัฐจิ้วได้เลย
ยิ่งถ้าเป็นรัฐเหยียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดด้วยแล้ว…พวกเขาก็คงไม่คู่ควรที่จะถือรองเท้าของพวกเขาด้วยซ้ำ!
“ข้าแน่ใจขอรับ” ทหารคนนั้นตอบอย่างมั่นใจมาก
แม่ทัพใหญ่ลุกลี้ลุกลนขึ้นมาทันที
“ทำไมจู่ๆ กองทัพรัฐเหยียนถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า รัฐเหยียนไม่ได้ใกล้กับรัฐชีสักหน่อย แล้วจู่ๆ …ทำไมกองทัพรัฐเหยียนถึงเข้ามาในดินแดนของรัฐชีได้” แม่ทัพใหญ่พึมพำขณะเดินไปมาอย่างกระวนกระวายอยู่ในกระโจม
ทหารที่อยู่ในกระโจมก็พลอยตื่นตระหนกไปด้วย หลังจากคิดอยู่ครู่เขาก็พูดขึ้นมาว่า “เป็นไปได้หรือไม่ขอรับว่ารัฐจิ้วเชิญพวกเขามาที่นี่ ถึงอย่างไรรัฐจิ้วก็เป็นพันธมิตรกับเราและอีกสองรัฐ พวกเขาอาจจะ…”
“ล้อเล่นหรืออย่างไร! เจ้าคิดว่ารัฐจิ้วจะเอาอะไรไปทำให้รัฐเหยียนยกทัพมาได้เล่า!” แม่ทัพใหญ่ปัดการคาดเดานั้นทิ้งทันที “ถึงรัฐเหยียนกับรัฐจิ้วจะไม่ได้ขัดแย้งอะไรกันมากมาย แต่พวกเขาก็ไม่ได้เป็นมิตรกัน รู้กันไปทั่วว่ารัฐจิ้วอยากมีอำนาจเหนือกว่ามาโดยตลอด แต่ก็สู้รัฐเหยียนไม่ได้เลย รัฐจิ้วถึงได้ยอมอดกลั้นเสมอมา เว้นเสียแต่ว่าฮ่องเต้แห่งรัฐเหยียนจะเป็นบ้านั่นแหละ ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้หรอกที่พวกเขาจะยอมรับคำเชิญจากรัฐจิ้ว”
“ถ้าอย่างนั้น…มันเกิดอะไรขี้นเล่าขอรับ…” ทหารคนนั้นถาม
แม่ทัพใหญ่รู้สึกไม่สบายใจมาก เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก เขาถามทหารว่า
“เจ้าดูคร่าวๆ มาแล้วใช่หรือไม่ รัฐเหยียนนำคนมาเท่าไหร่”
“เอ่อ…” ทหารคนนั้นเข้าตาจนขึ้นมาทันที เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “กองทัพของรัฐเหยียนใหญ่เกินที่จะประเมินได้อย่างแม่นยำขอรับ แต่ข้ากวาดตาดูคร่าวๆ แล้วอย่างน้อยก็…อย่างน้อยก็มากกว่าหนึ่งล้านคนขอรับ!”
“อะไรนะ!” แม่ทัพใหญ่ตกใจสุดขีด เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ใบหน้าซีดขาว
มากกว่าหนึ่งล้านคน!
ทหารของรัฐเหยียนเป็นที่รู้กันว่าเคี้ยวยากที่สุดในบรรดารัฐทั้งหลาย ถึงจะไม่บ้าคลั่งเท่ากองทัพรุ่ยหลินที่สามารถสู้หนึ่งต่อสิบได้ แต่อย่างน้อยทหารของพวกเขาก็สามารถสู้หนึ่งต่อสามได้สบายๆ!
ตอนที่ 1152 ตบหน้าเป็นหมู่คณะครั้งที่หนึ่ง (1)
แม่ทัพใหญ่ของรัฐซังคิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออกว่าทำไมจู่ๆ กองทัพรัฐเหยียนถึงโผล่มาที่ชายแดนรัฐชีได้ แถมยังมาพร้อมจำนวนคนที่มากมายขนาดนี้
“รายงานขอรับ!”
ทหารอีกคนวิ่งเข้ากระโจมมาอย่างรีบร้อน!
หน้าของแม่ทัพใหญ่ซีดเผือดขณะถามว่า “อะไร…คราวนี้มีอะไร…”
“กองทัพรัฐเหยียนกำลังเคลื่อนที่ตรงเข้ามาที่ค่ายของเราเร็วมากขอรับ!”
เสียงกระแทกดังขึ้น แม่ทัพใหญ่เสียศูนย์จนตกลงจากเก้าอี้กระแทกพื้นอย่างแรง หน้าของเขาซีดขาวอย่างหวาดกลัว เหงื่อผุดขี้นมาที่หน้าผากไม่หยุด
“รัฐเหยียนต้องการอะไร…คนพวกนั้นต้องการอะไรกันแน่!” แม่ทัพใหญ่ตระหนกตกใจอย่างมาก เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐเหยียนเพียงแค่ผ่านทางมาโดยบังเอิญ แต่ตอนนี้พวกนั้นกลับมุ่งหน้าตรงมาที่ค่ายของพวกเขาอย่างรวดเร็ว แสดงชัดว่าพวกนั้นมาเพราะพวกเขา!
“ท่านแม่ทัพใหญ่อย่าเพิ่งตกใจขอรับ รัฐซังของเรากับรัฐเหยียนหลบเลี่ยงกันมาโดยตลอด รัฐของเราส่งบรรณาการให้พวกเขามาหลายปี บางที…บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้มาต่อสู้แต่มาทำอย่างอื่นก็ได้ ทำไมท่านแม่ทัพใหญ่ไม่ไปดูสถานการณ์ก่อนเล่าขอรับ ถ้ามีเรื่องอะไรเข้าใจผิดกัน ก็ทำความเข้าใจกันให้ดีก่อนจะได้ไม่เกิดเรื่องร้ายขึ้นนะขอรับ” ทหารที่อยู่ในกระโจมแม่ทัพรีบพูดขึ้น
แม่ทัพใหญ่กลืนน้ำลายเสียงดังและตะเกียกตะกายลุกขึ้น ความยินดีปรีดาก่อนหน้านี้หายไปจนหมดสิ้น ทั้งหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ
“เร็วเข้า! พาข้าไปดูเร็ว หวังว่ามันจะเป็นแค่การเข้าใจผิด” แม่ทัพใหญ่ยืนขึ้น มือของเขาเริ่มสั่น
นอกค่าย กองทัพอันใหญ่โตที่มีทหารถึงหนึ่งล้านคนถูกเห็นแล้ว ธงของรัฐเหยียนสะบัดพลิ้วด้วยแรงลมเหนือศีรษะของพวกทหารที่เรียงแถวกันแน่น กองทัพทั้งสองยังห่างกันอยู่แต่ทหารที่ยืนอยู่ในค่ายของรัฐซังรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนใต้เท้าของพวกเขาแล้ว!
ในค่ายของรัฐซัง ทหารทุกคนกำลังเฝ้าดูกองทัพของรัฐเหยียนเคลื่อนที่เข้ามาเรื่อยๆ ด้วยความกังวล ชื่อเสียงของรัฐเหยียนในฐานะรัฐที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกหลอกหลอนพวกเขาเหมือนเมฆหมอกหายนะอันดำมืดที่กดลงมาจนทำให้พวกเขาหายใจไม่ออก พวกทหารที่กำลังโต้เถียงเรื่องแบ่งของที่ปล้นสะดมมาพากันเงียบกริบ ทั้งค่ายเงียบสนิทได้ยินแต่เสียงฝีเท้าที่เดินแถวเข้ามา เสียงย่ำเท้าเป็นจังหวะนั้นกำลังย่ำอยู่บนหัวใจของพวกเขาทุกคน
แม่ทัพใหญ่ของรัฐซังรีบวิ่งออกมายืนหน้าค่าย เขามองไปทหารของรัฐเหยียนซึ่งแผ่ขยายไปทั้งเนินเขาและที่ราบตรงหน้า เขากลัวมากจนหน้าซีดไปหมด
การต่อสู้ยังไม่ทันจะเริ่มด้วยซ้ำ แค่เห็นทหารของรัฐเหยียนเขาก็ขวัญเสียไปหมดแล้ว ทหารหลายแสนคนที่เขามีไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้เขาได้เลยสักนิด เมื่อมายืนอยู่ต่อหน้าทหารม้าเกราะของรัฐเหยียน เขาก็อดขาสั่นขึ้นมาไม่ได้!
มองดูกองทัพของรัฐเหยียนเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ แม่ทัพใหญ่ก็สั่นไปทั้งร่างราวกับใบไม้ต้องลม เขาพยายามข่มความกลัวที่คืบคลานเข้ามาในใจแล้วรวบรวมพลังวิญญาณไว้ที่ลำคอก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าแขกผู้มีเกียรติจากรัฐเหยียนมาที่นี่ทำไมอย่างนั้นหรือ พวกเราแค่ผ่านมาที่นี่ ถ้านั่นเป็นการรบกวนพวกท่าน ขอให้พวกท่านบอกเรามาได้เลย อย่างน้อยเราจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
เสียงที่เสริมพลังวิญญาณของแม่ทัพใหญ่ดังไปทั่วเป็นบริเวณกว้าง สะท้อนก้องอยู่ในหู
แต่ทว่า!
กองทัพของรัฐเหยียนไม่ได้ช้าลงเลยสักนิด แต่ยังคงเคลื่อนตรงเข้าหาพวกเขาอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้คำตอบใดๆ
แม่ทัพใหญ่ของรัฐซังรอแต่ก็ไม่ได้คำตอบ ความหวาดกลัวในใจยิ่งรุนแรงขึ้น เขาอดถามอีกครั้งไม่ได้ ครั้งนี้เสียงของเขาสั่นด้วย
“สหายจากรัฐเหยียน เราจะคุยกันก่อนได้หรือไม่! พวกเราคือกองทัพของรัฐซัง และรัฐซังก็เคารพและยอมคล้อยตามรัฐเหยียนมาโดยตลอด เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีเรื่องเข้าใจผิดกันขึ้น ขอให้ทางกองทัพรัฐเหยียนพูดอะไรสักคำเถอะ! รัฐซังไม่เคยทำเรื่องที่ไม่ให้เกียรติรัฐเหยียนเลย! ถ้าสหายเราต้องการจะผ่านทาง ข้าจะรื้อค่ายทันทีเพื่อเปิดทางให้พวกท่าน!”