ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 1199 บัวหิมะมัวเมาปะทะอิงซู่ (4) ตอนที่ 1200 ลมกระโชก (1)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 1199 บัวหิมะมัวเมาปะทะอิงซู่ (4) ตอนที่ 1200 ลมกระโชก (1)
ตอนที่ 1199 บัวหิมะมัวเมาปะทะอิงซู่ (4) / ตอนที่ 1200 ลมกระโชก (1)
ตอนที่ 1199 บัวหิมะมัวเมาปะทะอิงซู่ (4)
“ถ้าประโยชน์หลักๆ ของบัวหิมะซังอวี้คือช่วยคน เช่นนั้นความสามารถของข้าก็คือการทำร้ายคน”
ตัวตนของอิงซู่ทั้งหมดรวมถึงผลและกลิ่นที่ออกมาจากตัวเขาเป็นอันตรายร้ายแรงถึงตาย การปรากฏตัวของเขาก็เท่ากับความตายมาเยือนนั่นเอง
และเขาสามารถควบคุมกลิ่นนั้นได้ให้ออกฤทธิ์เฉพาะเป้าหมายที่ต้องการได้ การเลือกเป้าหมายได้แบบนี้ทำให้ความสามารถของเขาเหนือกว่ากลิ่นของบัวหิมะซังอวี้
ถ้าเขาต้องการเขาก็สามารถทำให้กลิ่นของเขามีพลังเหนือกว่าของบัวหิมะซังอวี้ได้
อิงซู่ที่เกิดมาเพื่อทำลายก็คือฝันร้ายของผู้คนดีๆ นี่เอง
การฆ่าคนด้วยพิษที่ไร้รูปร่าง
อิงซู่อธิบายความสามารถของเขาช้าๆ พออธิบายไปได้ครึ่งทางเขาก็ม้วนแขนเสื้อขึ้นทันที
เขายื่นมืออีกข้างมาและเอาเล็บอันแหลมคมกรีดแขนตัวเอง
วินาทีต่อมา ของเหลวสีขาวก็ไหลออกมาจากบาดแผลและหยดลงบนพื้น
ฉ่า!
ส่วนเล็กๆ ของหินอ่อนที่เท้าของนางถูกของเหลวสีขาวนั่นกัดกร่อน ควันบางๆ ลอยขึ้นจากพื้นที่ถูกกัดกร่อนนั้น
จวินอู๋เสียเลิกคิ้วขึ้น อิงซู่เต็มไปด้วยพิษร้ายถึงตายทั้งร่างจริงๆ อิงซู่ที่เป็นภูติแตกต่างจากดอกอิงซู่ที่นางพบในชาติก่อนอยู่เล็กน้อย อย่างน้อยยางของดอกอิงซู่ทั่วไปก็ไม่ได้มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงถึงขนาดนี้!
“เจ้านายพอใจในความสามารถของภูติของท่านหรือเปล่า” อิงซู่เอียงคอถามพลางมองไปที่จวินอู๋เสีย
จวินอู๋เสียพยักหน้าเล็กน้อยและยื่นมือออกไปหยิบผลไม้ในมือของอิงซู่ขึ้นมา
จวินอู๋เสียมองผลนั่นแล้วก็ดูเหมือนจะจำบางอย่างได้ นางหยิบเอาตำราโบราณชำรุดในถุงเอกภพออกมาทันที ตำราพวกนั้นถูกซื้อมาจากเมืองผีเพราะเจ้าดอกบัวขาวน้อยกระตุ้นให้ซื้อ มันบันทึกวิธีเพาะปลูกพืชเอาไว้หลายอย่าง หลังจากจวินอู๋เสียรู้ว่าตำราโบราณพวกนั้นบันทึกวิธีเพาะปลูกบัวหิมะซังอวี้ นางก็ได้ข้อสรุปที่ค่อนข้างแม่นยำถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของตำราพวกนั้น
พืชต่างๆ ที่ถูกบันทึกเอาไว้ในตำราพวกนั้นจะต้องเป็นภูติวิญญาณประเภทพฤกษาทั้งหมดแน่!
จวินอู๋เสียจำได้ว่าตอนที่นางพลิกหน้ากระดาษในตำราพวกนั้น แม้ว่านางจะไม่เคยเห็นว่าอิงซู่เป็นอย่างไร แต่ก็มีรูปที่ดูเหมือนผลจากอิงซู่นี้มาก
อย่างที่คิด หลังจากจวินอู๋เสียเปิดหาในตำรา นางก็พบส่วนที่พูดเรื่องผลไม้จากอิงซู่
แต่มันแตกต่างจากบัวหิมะซังอวี้ การเพาะผลอิงซู่ไม่ได้ให้อิงซู่บานเต็มที่ แต่จะทำให้ผลอิงซู่มีพิษมากขึ้น ที่ต้องทำก็แค่เอามันฝังลงดินและรดน้ำด้วยพิษ แค่นั้นก็ทำให้พื้นดินส่วนนั้นทั้งหมดกลายเป็นบึงพิษแล้ว!
ผลอิงซู่คือนักฆ่าที่แท้จริง
จวินอู๋เสียเก็บผลอิงซู่อย่างระมัดระวังหลังจากเข้าใจพื้นฐานของอิงซู่แล้ว ส่วนความสามารถของอิงซู่ที่มากกว่านี้ นางจะค่อยๆ รู้เองในวันข้างหน้า
เมื่อก่อนตอนที่เจ้าดอกบัวขาวน้อยแนะนำตัวเอง เขาก็ไม่ได้พูดถึงบัวหิมะมัวเมาที่มากับเขาเลย
ใครจะรู้ว่าอิงซู่ยังซ่อนอะไรเอาไว้อีกหรือไม่
“ก็พอได้” จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้นมองอิงซู่และอิงซู่ก็ส่งยิ้มกลับมา เขายกแขนขึ้นกดกับปากตัวเองแล้วบาดแผลที่แขนก็ปิดลงอย่างรวดเร็ว
“บาดแผลของข้าสามารถรักษาได้ด้วยน้ำลายของข้าเองเท่านั้น และมีเพียงข้าที่สามารถแตะได้ ถ้าสิ่งมีชีวิตอื่นแตะมันเข้าแม้แต่นิดเดียวก็จะตายทันที แต่สำหรับร่างวิญญาณก็ไม่ต้องกังวล” อิงซู่พูดยิ้มๆ
ตอนที่ 1200 ลมกระโชก (1)
บัวหิมะมัวเมากำลังจ้องมองอิงซู่จากด้านข้างขณะก้มลงเก็บข้าวของจากเอี๊ยมของเจ้าดอกบัวขาวน้อยที่หล่นเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น เอี๊ยมตัวเล็กเปลี่ยนสภาพเป็นเสื้อของเขาที่หล่นอยู่ที่เตียงตอนที่เขาปรากฏตัว เขาเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาคลุมบนไหล่แล้วลงนั่งไขว้ขามองอิงซู่ด้วยสีหน้ารังเกียจ
ด้วยสัญชาตญาณสัตว์ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะกับกระต่ายโลหิตรู้ว่าต้องอยู่ให้ห่างจากอิงซู่ เทียบกับเจ้าดอกบัวขาวน้อยที่พวกมันรู้สึกว่าน่าอร่อยมากแล้ว อิงซู่ในสายตาพวกมันนั้นไร้ค่าไม่มีประโยชน์ เป็นประเภทที่พวกมันจะไม่มีวันเอาเข้าปากเด็ดขาด การที่เจ้าโง่สองตัวนี้ปกป้องเจ้าดอกบัวขาวน้อยมากมายขนาดนั้นก็เพราะพวกมันแค่ปกป้องแหล่งอาหารของตัวเองเท่านั้น
ตอนนี้รัฐชีกลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว ได้เวลาที่จวินอู๋เสียกับกองทัพจะกลับไปที่รัฐเหยียน แต่เมื่อเยี่ยซากลับมา เขาได้นำข่าวเรื่องจวินอู๋เย่าจากไปชั่วคราวมาด้วย ทำให้จวินอู๋เสียรู้สึกเศร้าเล็กน้อย แต่นางไม่มีเวลามาคิดถึงเรื่องนี้มากนัก
จวินอู๋เสียใช้เวลาในช่วงสุดท้ายที่เหลืออยู่กับท่านปู่และท่านอาเล็กของนาง คนทั้งสามอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องการออกเดินทางของจวินอู๋เสียเลยสักคำ แม้ว่าพวกเขาต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่าพวกเขาได้อยู่ด้วยกันครั้งนี้แค่ชั่วคราวเท่านั้น
มู่เฉินกับมู่เชียนฟานตัดสินใจอยู่ในรัฐชีต่อ ทั้งสองได้รับอนุญาตจากจวินเสี่ยนให้เข้าร่วมกองทัพรุ่ยหลินพร้อมกับศิษย์ของมู่เฉินที่กลายมาเป็นหมอประจำของกองทัพรุ่ยหลินทุกคน
หลังผ่านสงครามมา จิตใจของพวกเขาก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นจากการหล่อหลอมของไฟสงคราม พวกเขาไม่เห็นรัฐชีกับจวนหลินอ๋องเป็นที่พักชั่วคราวอีกต่อไป แต่ต้องการลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่เลย
ตอนที่กองทัพใหญ่ของรัฐเหยียนเคลื่อนพลกลับราชสำนัก ประชาชนของรัฐชีออกมาส่งพวกเขาด้วย สำหรับมั่วเฉี่ยนยวนที่เป็นฮ่องเต้นั้นไม่เหมาะที่เขาจะปรากฏตัวที่นั่นจึงทำได้แค่ยืนอยู่นอกท้องพระโรงในวังหลวงและมองไปยังทิศทางที่กองทัพจากไป เขารู้ว่านางจะไปกับพวกเขาและไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรเขาจะได้พบกับนางอีกครั้ง
ความเสียใจผ่านเข้ามาในแววตาของมั่วเฉี่ยนยวน ในอกของเขารู้สึกอึดอัดอย่างมาก ความเศร้าที่พูดออกไปไม่ได้ท่วมท้นอยู่ในใจเขา
ไป๋อวิ๋นเซียนยืนมองแผ่นหลังที่ตั้งตรงของฮ่องเต้หนุ่มอยู่ด้านหลัง ความรู้สึกแปลกๆ ผุดขึ้นมาในใจนาง
จวินอู๋เสียเอาคนเข้ามาในรัฐชีเยอะทีเดียว นอกจากมู่เฉินกับมู่เชียนฟานยังมีไป๋อวิ๋นเซียนกับอิ่นเหยียนด้วย
ในปีที่ผ่านมาไป๋อวิ๋นเซียนไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ เพราะโอสถพิษที่จวินอู๋เสียให้นางกิน และได้ใช้ความสามารถทางการแพทย์ของนางจนกลายเป็นหนึ่งในหัวหน้าหมอหลวงในสำนักหมอหลวงของรัฐชี นางไม่ได้เป็นคนอย่างที่เคยเป็นตอนอยู่ในสำนักชิงอวิ๋นอีกแล้ว ตอนนี้นางได้พบกับชีวิตอีกแบบแล้ว
ตอนแรกนางคิดว่าด้วยการกระทำอันร้ายกาจทั้งหมดที่นางได้ทำเอาไว้ ต่อให้จวินอู๋เสียอยากใช้ความรู้ทางการแพทย์ของนาง แต่มั่วเฉี่ยนยวนก็คงไม่ปฏิบัติกับนางแบบดีๆ อย่างแน่นอน
แต่นางกลับพบว่านางไม่ได้ถูกจำกัดการเคลื่อนไหวใดๆ เลย แม้แต่ชาวเมืองและหมอหลวงคนอื่นๆ ที่ไม่รู้ความจริงของเรื่องที่เกิดขึ้นก็ปฏิบัติกับนางอย่างจริงใจและเป็นมิตรกับนางมาก การเสียตำแหน่งศิษย์เอกของท่านเจ้าสำนักชิงอวิ๋นทำให้นางสูญเสียวาสนาบารมีที่เคยมีในอดีต แต่นางพบว่านางได้รับความสงบในจิตใจเข้ามาแทน
ในเมืองหลวงของรัฐชีไม่มีการวางแผนการที่ซับซ้อนเพื่อชิงตำแหน่ง ไม่มีการขัดแข้งขัดขากัน ไม่มีการเปรียบเทียบกันอยู่เลย เป็นสถานที่ที่สงบสุขซึ่งทำให้นางรู้สึกแตกต่างไปจากชีวิตในอดีตสิบกว่าปีที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง
“ฝ่าบาทเพคะ ลมเริ่มแรงขึ้นแล้วนะเพคะ” ไป๋อวิ๋นเซียนพูด นางมองแผ่นหลังที่ดูโดดเดี่ยวของมั่วเฉี่ยนยวนแล้วก้มหน้าพลางเอ่ยปากเตือน
มั่วเฉี่ยนยวนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามบ่ายด้วยจิตใจว้าวุ่น แสงอาทิตย์สว่างจ้าจนแสบตาแต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย
“ใช่ ลมพัดแรงขึ้นแล้ว”
เขาและนางกำลังห่างไกลกันมากขึ้นทุกที เหมือนความหนาวเหน็บของสายลมในฤดูหนาว ไม่ว่าแสงแดดจะส่องสว่างเพียงใดก็ไม่อาจขับไล่ความหนาวเย็นนั้นได้