ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 135 การเติบโตของพลังวิญญาณ ตอนที่ 136 บัลลังก์ที่สั่นคลอน (1)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 135 การเติบโตของพลังวิญญาณ ตอนที่ 136 บัลลังก์ที่สั่นคลอน (1)
ตอนที่ 135 การเติบโตของพลังวิญญาณ
จวินอู๋เย่ายิ้มอย่างพอใจและจากไป แมวดำตัวน้อยที่ซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องรีบวิ่งไปที่เตียงของจวินอู๋เสีย จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนเตียงด้วยท่าทีที่โกรธขึ้ง มันมองไปที่จวินอู๋เสียที่มีอาการขัดเขินจนหน้าแดง
“เจ้านาย ข้าว่าพวกเราต้องหาเวลามานั่งสนทนาถึงการใช้ชีวิตอย่างจริงจังแล้วล่ะ”
“หือ” จวินอู๋เสียกระชับเสื้อคลุมของนาง คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อย บนริมฝีปากบางที่บวมเจ่อยังคงทิ้งอารมณ์วาบหวามอย่างที่นางไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนไว้
“ท่านเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบปิดตั้งแต่เล็ก นอกเหนือไปจากเรื่องทางการแพทย์แล้ว ท่านก็ไม่เคยมีประสบการณ์ใดๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ไม่เคยได้สัมผัสกับสามัญสำนึกในชีวิตของคนปกติเลย แม้ว่าภายหลังท่านจะเข้าร่วมกับองค์กร แต่หลังจากนั้นท่านก็เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องปฏิบัติการปิดตลอดทั้งวัน ซ้ำผู้ช่วยทั้งหมดของท่านก็ยังเป็นผู้หญิง ดังนั้นโดยพื้นท่านจึงไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามจริงๆ สิ่งนี้นำไปสู่การขาดสามัญสำนึกในกระบวนการโต้ตอบกับเพศตรงข้าม” เจ้าแมวดำตัวน้อยจ้องมองไปที่จวินอู๋เสียอย่างจริงจัง
จวินอู๋เสียในชาติภพก่อนมีชีวิตอยู่มานานถึงเพียงนั้น แต่ด้วยไม่เคยติดต่อสนทนากับเพศตรงข้ามตัวต่อตัวเลยแม้แต่ครั้งเดียว ความรู้ด้านการปฏิบัติตัวต่อบุรุษของเด็กสาวจึงเป็นศูนย์สนิท นี่จึงเป็นเหตุที่ว่าไยนางถึงไม่รู้จักปัดป้องการลวนลามของจวินอู๋เย่า
หากมันปล่อยเลยแบบนี้ต่อไป น่ากลัวว่าสักวันหนึ่งเจ้านายของมันคงไม่แคล้วถูกเจ้าคนไร้ยางอายจวินอู๋เย่านั่นกลืนลงท้อง!
ไม่ได้!
มันจะปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด!
“แล้ว?” จวินอู๋เสียจับใจความสำคัญในสิ่งที่เจ้าแมวดำตัวน้อยพูดมาไม่ได้
“เพราะฉะนั้นแล้ว เหมือนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ นั่นมัน…”
ตุ้บ!
ยังไม่ทันที่เจ้าแมวดำตัวน้อยจะได้พูดจบ หมอนนุ่มๆ ก็พุ่งกระแทกเข้าใส่หน้าของมันอย่างจังจนมันหงายหลัง ปิดกั้นทุกคำพูดที่ยังไม่ได้พูดออกไป
เมี๊ยว!
ร่างเล็กสีดำสะดุ้งเฮือก ตะลีตะลานลุกขึ้นนั่ง
“หุบปาก!” จวินอู๋เสียหน้าร้อนฉ่า แดงก่ำไปทั้งดวง ด้วยเหตุผลบางอย่างนางไม่อยากได้ยินเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“…” เจ้าแมวดำตัวน้อยถึงกับพูดไม่ออก เจ้านาย! ท่านรู้หรือไม่ว่าสีหน้าปัจจุบันของท่านมัน…นี่มันช่างไม่เหมาะสมกับท่านเลย! ท่านฟังข้านะ ที่ข้าทำไปทั้งหมดก็เพราะหวังดีต่อท่าน! ท่านต้องรีบเรียนรู้เกี่ยวกับทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงโดยด่วนแล้ว!
อย่างไรก็ตาม จวินอู๋เสียไม่ยอมปล่อยให้เจ้าแมวดำตัวน้อยได้มีโอกาสพูดต่อ นางได้ออกคำสั่งให้ ‘ปิดปาก’ ลงไปแล้ว ร่างเล็กๆ สีดำจึงทำได้เพียงตบอุ้งเท้าของมันไปที่ปลายเตียงอย่างอัดอั้นตันใจ ฝนเล็บกับเนื้อไม้บริเวณนั้นอย่างทุกข์ตรม
จวินอู๋เสียผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ใบหน้าของนางบัดนี้กลับคืนสู่ปกติ นางลุกขึ้นและเดินไปนั่งลงที่โต๊ะ โดยใช้มือข้างหนึ่งยกขึ้นเท้าคาง มองดูดอกบัวที่เบ่งบานไปแล้วกว่าครึ่ง
ทุกวันนี้ ดอกบัวของนางสามารถเรียกว่าเป็นดอกบัวได้อย่างเต็มปากเต็มคำแล้ว เพราะมิเพียงแต่สีสันเท่านั้น กลิ่นหอมของมันยังเข้มข้นขึ้นและมีกลิ่นหอมจรุงใจ จวินอู๋เสียรู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณของนางกำลังเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ สีของพลังวิญญาณหลังรวบรวมไว้ที่ฝ่ามือเองก็เปล่งแสงสีแดงเข้มขึ้นเช่นกัน
ท่ามกลางกลิ่นหอมที่ลอยตลบอบอวลไปทั่วอากาศ จิตใจของจวินอู๋เสียค่อยๆ กลับมาสงบดังเดิม
แผนการกระชากฮ่องเต้ลงจากบัลลังก์แล้วดันองค์รัชทายาทให้ขึ้นครองราชย์แทนเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้มาก พลังวิญญาณของนางยังไม่แข็งแกร่งพอ แม้ว่านางจะพัฒนาพลังของตัวเองจนขึ้นมาอยู่ที่ขั้นเจ็ดแล้วก็ตามที ด้วยในทุกๆ ขั้นนั้น การจะทะลวงผ่านด่านขึ้นไปเป็นเรื่องยากมาก เท่าที่นางรู้ ระดับสีแดงเป็นระดับที่พลังวิญญาณพัฒนาได้ง่ายที่สุดในบรรดาทั้งหมดแล้ว แต่คนปกติก็ยังต้องใช้เวลานานถึงสามปีกว่าจะผ่านระดับสีแดงไปได้ ขณะที่คนที่มีพรสวรรค์อาจจะใช้เวลาเพียงสองปีเท่านั้น
แต่หากต้องการเลื่อนจากระดับสีส้มไปเป็นระดับสีเหลือง จะต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า หรือก็คือใช้เวลาประมาณหกปี…
เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่ายิ่งพลังวิญญาณเติบโตมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องใช้เวลาในการฝึกฝนนานมากขึ้นเท่านั้น และช่องว่างระหว่างคนทั่วไปกับคนที่มีพรสวรรค์ก็จะยิ่งขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ที่มีพรสวรรค์มาแต่กำเนิด ไม่เพียงแต่จะสามารถย่นระยะเวลาในการบ่มเพาะพลังให้สั้นลงเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสทะลวงไปสู่ขอบเขตที่สูงขึ้น สามารถก้าวหน้าได้ง่ายดายกว่าคนทั่วไปนัก
กับคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมค่อนข้างจำกัด คนธรรมดา หรือคนที่ไร้พรสวรรค์ พวกเขาก็จะยิ่งใช้เวลาในการบ่มเพาะพลังมากขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตามการใช้เวลาในการผ่านด่านที่มากเกินไป ย่อมแลกมาด้วยค่าตอบแทนที่สูงลิ่ว นั่นคือโอกาสของพวกเขาที่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตที่สูงกว่าในอนาคตจะต่ำมากนั่นเอง
หากคนที่พลังวิญญาณอยู่ในระดับสีส้มคนหนึ่ง คิดจะทะลวงขึ้นไปอยู่ในระดับสีเหลือง แต่เขากลับใช้เวลาในการบ่มเพาะพลังนานกว่าสิบสองปี นั่นหมายความว่า โดยพื้นฐานแล้วการที่เขาจะก้าวขึ้นสู่ระดับสีเหลืองได้นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ตอนที่ 136 บัลลังก์ที่สั่นคลอน (1)
จวินอู๋เสียยังคงไม่คุ้นเคยกับพลังวิญญาณของโลกนี้ นางไม่สามารถบอกได้ว่าพลังวิญญาณของนางในปัจจุบันไปถึงขั้นไหนของระดับสีแดงแล้ว
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทำให้นางไม่มีเวลาตั้งตัวมากนัก จวินอู๋เสียไม่สามารถรอได้อีกต่อไป การกำจัดภัยคุกคามที่มีต่อสกุลจวินคือกุญแจสำคัญที่นางต้องให้ความสำคัญมากที่สุด
นางมีเวลาเหลืออยู่อีกไม่มากแล้ว…
…
ภายในวังหลวงของรัฐชี ณ ตำหนักที่ตั้งของห้องทรงพระอักษร บุรุษผู้ซึ่งยืนอยู่เหนือทุกผู้คนในแคว้นกำลังประทับอยู่ในห้องด้วยสีหน้าชวนประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก
มั่วเซวี่ยนเฝ่ยนั่งอยู่ในตำแหน่งถัดลงมา ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง
เพียงคืนเดียว สองพ่อลูกผู้กุมใต้หล้าไว้ในกำมือก็สัมผัสได้ถึงรสชาติของการถูกเหยียดหยามและความพ่ายแพ้ นับเป็นครั้งแรกเลยที่พวกเขาถูกผู้อื่นทารุณจนกระอักโลหิตออกมาเช่นนี้ เกียรติยศและศักดิ์ศรีของพระองค์ล้วนถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าของสตรีวัยเยาว์นางหนึ่ง
“เจ้ามันเศษสวะไร้ค่า! ดูเรื่องดีๆ ที่เจ้าทำลงไปสิ! เจ้าคบกับจวินอู๋เสียมานานแค่ไหนแล้ว แต่กลับไม่รู้เส้นสนกลใน ไม่รู้เลยว่านางมีความสามารถมากถึงเพียงนี้! แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร เจ้าดูสิ่งที่นังเด็กนั่นทำ นางปีนขึ้นมาเหยียบหัวข้าแล้ว! ชื่อเสียงที่ดีงามของข้าถูกนังเด็กนั่นสาดโคลนใส่จนป่นปี้ไปหมดแล้ว! ขายขี้หน้าจริงๆ!” ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรไปที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยอย่างกริ้วจัด พระองค์ไม่เคยนึกฝันว่าสักวันหนึ่งนางโจรที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่แห่งเมืองหลวง จะกลายร่างเป็นมัจจุราชในชั่วข้ามคืน แล้วแย่งชิงความเคารพรักจากชาวเมืองของพระองค์ไปอย่างไม่น่าให้อภัย
การจัดเตรียมทั้งหมดในค่ำคืนนี้ ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนสิ่งที่สาวน้อยเอาแต่ใจคนหนึ่งจะคิดทำและลงมือเพียงลำพังได้เลย
มั่วเซวี่ยนเฝ่ยก้มศีรษะลง นับตั้งแต่ที่เขาก้าวเข้ามาในห้องทรงพระอักษร เขาก็ถูกฮ่องเต้ด่ากราด ตำหนิเขาอย่างเผ็ดร้อนยิ่ง ซ้ำทุกข้อกล่าวหาที่พระองค์ตรัสออกมา มันก็เป็นจริงและตรงจุดชนิดที่ทำให้เขาไม่อาจหาข้อแก้ตัวใดๆ มาโต้แย้งได้เลย
“ลูก…ลูกเองก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเปลี่ยนไปมากเพียงนี้ เมื่อก่อนสมัยที่นางยังได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของลูก นางเอาแต่เดินตามหลังลูกต้อยๆ ราวกับลูกสุนัขที่ซื่อสัตย์ แม้จะไม่อาจพูดได้เต็มปากว่านางเป็นสตรีที่ขลาดเขลาเบาปัญญา แต่ก็มิได้ฉลาดเฉลียวแน่ๆ ไม่อย่างนั้นนางคงไม่ถูกลูกหลอกให้ไปที่หน้าผาในวันนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยพยายามพูดเพื่อปกป้องตัวเอง เขาไม่ทราบจริงๆ ว่าเพราะเหตุใดจวินอู๋เสียถึงได้กลายเป็นคนฉลาดเช่นนี้ภายในช่วงเวลาสั้นๆ
“เจ้ายังมีหน้ามาพูดเช่นนี้อีกหรือ! ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่าต่อให้เจ้าไม่ชอบหน้าจวินอู๋เสียมากเพียงใด เจ้าก็ต้องอดทนและเห็นแก่หน้าจวนหลิงอ๋องให้มาก แต่ตัวสาระเลวอย่างเจ้ากลับอดใจไม่ไหวแล้วลงมือกับนางก่อนถึงเวลาอันสมควร! นับเป็นโชคดีอย่างถึงที่สุดที่จวินเสี่ยนไม่ได้ระแคะระคายเรื่องนี้ แล้วลงมือสืบอย่างจริงจังจนลามมาถึงตัวเจ้า ไม่อย่างนั้นร่างแก่ๆ นั่นคงได้วิ่งมาสู้ตายกับข้าแล้ว! เจ้าลงมือแล้วก็แล้วไปเถอะ แต่ดันปล่อยให้นางมีชีวิตรอดกลับมาได้ ข้าไม่รู้ว่าจะนิยามความโง่ของเจ้าอย่างไรดีแล้ว!” ฮ่องเต้ยิ่งตรัสก็ยิ่งพิโรธ ในพระอุระเต็มไปด้วยไฟโทสะที่สุมจนร้อนรุ่ม พระองค์ไม่ได้ขุ่นเคืองพระทัยกับเรื่องที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยลงมือกับจวินอู๋เสีย แต่พระองค์กริ้วที่หลังจากเขาลงมือแล้วกลับไม่ตัดรากถอนโคนให้หมดจด ปล่อยให้จวินอู๋เสียมีโอกาสเก็บชีวิตกลับมาได้!
ถ้าหากว่าแผนการในวันนั้นของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยประสบความสำเร็จ มีหรือที่ในค่ำคืนนี้จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
“เสด็จพ่อ! หากลูกไม่ลงมือ แล้วจะเข้าใกล้อวิ๋นเซียนได้อย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ แต่เดิมลูกก็ไม่ได้ชอบใจในตัวจวินอู๋เสียนั่นอยู่แล้ว เป็นสถานการณ์ในยามนั้นที่บีบบังคับให้ลูกต้องหมั้นหมายกับนาง แสร้งให้แสดงละคร เรื่องนี้ลูกรับได้ แต่ภายหลังไม่ใช่พระองค์หรอกหรือที่มีเจตนาให้ลูกเชื่อมสัมพันธ์กับไป๋อวิ๋นเซียนที่เป็นศิษย์เอกของเจ้าสำนักชิงอวิ๋น หากลูกไม่ยกเลิกสัญญาแต่งงานกับจวินอู๋เสียให้จบเรื่องเสียก่อน มีหรือที่สตรีตำแหน่งสูงส่งอย่างไป๋อวิ๋นเซียนจะชายตาแลบุรุษที่มีพันธะเช่นลูก” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยทดท้อใจอย่างถึงที่สุด เขาเองก็หดหู่ไม่แพ้ฮ่องเต้ หน้าผาสูงใหญ่ถึงเพียงนั้น เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจวินอู๋เสียจะโชคดีไม่ตกตายไปจริงๆ
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยด้วยความกริ้วจัด แต่พระองค์ทราบดีว่าที่เขาพูดมานั้นล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น
ในความเป็นจริง มิใช่ว่าพระองค์ไม่เคยสนพระทัยต่อการกระทำของมั่วเซวี่ยนเฝ่ย ทรงทราบถ่องแท้ว่าเขาจะไปทำอะไรที่ไหน เพียงแต่ปล่อยเลยไป ยอมรับในการเคลื่อนไหวของเขาอย่างเงียบๆ
น่าเสียดายที่แผนของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยยังคงล้มเหลว จวินอู๋เสียไม่เพียงแต่รอดชีวิตมาได้ แต่ตัวของนางยังกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เรื่องทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างมาก
“มาถึงจุดนี้ ไม่มีประโยชน์ที่จะกลับไปคร่ำครวญถึงสิ่งเหล่านี้อีก ในเมื่อทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว ก็ให้มันผ่านพ้นไป แล้วมาจดจ่ออยู่กับเรื่องตรงหน้าจะดีกว่า เวลานี้จวนหลิงอ๋องกับราชวงศ์ของเราได้แตกหักกันโดยสมบูรณ์ ไม่เหลือที่ให้เจรจา กลับมาผสานรอยร้าวหรือสานความสัมพันธ์กันได้อีก ซึ่งการกระทำของจวินอู๋เสียในค่ำคืนนี้ก็คือหลักฐานพิสูจน์คำพูดนี้อย่างดี น่ากลัวว่าการที่นางเคลื่อนไหวอย่างครึกโครม จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับที่นางติดต่อกับองค์รัชทายาทบ่อยครั้งด้วย คาดว่าในครานั้นที่รัชทายาทเชิญนางมาเยือนตำหนักหลินยวน ทั้งสองคนคงจับมือร่วมเป็นพันธมิตรกันแล้ว” ฮ่องเต้ทรงตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์
“เสด็จพ่อ ความหมายของพระองค์คือ…จวินอู๋เสียต้องการผลักดันองค์รัชทายาทให้ขึ้นครองบัลลังก์แทนหรือพ่ะย่ะค่ะ” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยหวาดกลัวจนหน้าถอดสี