ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 1379 เริ่มการล่า (1) ตอนที่ 1380 เริ่มการล่า (2)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 1379 เริ่มการล่า (1) ตอนที่ 1380 เริ่มการล่า (2)
ตอนที่ 1379 เริ่มการล่า (1) / ตอนที่ 1380 เริ่มการล่า (2)
ตอนที่ 1379 เริ่มการล่า (1)
ที่ด้านล่างผาสุดขอบฟ้ามีโลหิตไหลชุ่มพื้นดิน ภายใต้หมอกหนาที่เย็นยะเยือก มีผู้คนที่นอนตายอยู่ในแอ่งโลหิตมากมายเกินกว่าจะนับได้
หลังจากที่เพิ่งต่อสู้ครั้งใหญ่ คนกลุ่มหนึ่งยืนหอบหายใจหนักอยู่ภายใต้หมอกหนา มองดูกันและกันภายใต้แสงจากบอลเพลิงวิญญาณที่พวกเขาถืออยู่ในมือ
กลุ่มคนและม้ามีจำนวนเกินร้อย บนร่างของทุกคนมีแสงสีม่วงจากพลังวิญญาณของพวกเขาหมุนวนอยู่ การต่อสู้ครั้งใหญ่ก่อนหน้านี้ทำให้พลังของพวกเขาหมดไปพอสมควร และตอนนี้การต่อสู้ได้จบลงแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็มีโอกาสได้พักหายใจหายคอเสียที
“ไอ้พวกสมควรตาย ตำหนักหวนจิต ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจ…พวกมันบ้ากันไปหมดแล้ว ส่งคนมาที่สามโลกเบื้องล่างกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ทำเหมือนไม่มีใครรู้ว่าพวกมันคิดอะไรอยู่ในใจ” หัวหน้าคนพวกนั้นพูดขึ้นขณะขมวดคิ้วจ้องมองพื้นรอบๆ ที่เต็มไปด้วยศพ กลุ่มของเขาเพิ่งลงมาจากผาสุดขอบฟ้าก็เจอเข้ากับคนกลุ่มอื่นที่มาจากตำหนักอื่น คนต่างกลุ่มเข้าปะทะกัน ความตั้งใจของพวกเขาชัดเจนโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรสักคำ
“ช่วงนี้สามโลกเบื้องล่างวุ่นวายโกลาหล ข้าได้ยินว่าเบี้ยที่ตำหนักอื่นๆ วางไว้ในสามโลกเบื้องล่างถูกขุดรากถอนโคนโดยใครบางคน แผนที่ที่ฝากไว้ที่สามโลกเบื้องล่างก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเขาจะไม่วิตกกังวลได้อย่างไร” บุรุษอีกคนพูดไปหอบไป
ถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติ หากพวกเขาเจอกับคนตำหนักอื่นจากสิบสองตำหนัก อย่างมากพวกเขาก็แค่พูดจาเหน็บแนมดูถูกกันเล็กน้อย ก่อนจะหาข้ออ้างแยกย้ายกันไปทำภารกิจของตัวเอง
แม้ว่าวัตถุประสงค์ของพวกเขาจะเหมือนกัน แต่การที่พวกเขาจะหาสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิได้นั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเองทั้งหมด
ถึงอย่างไรตำหนักต่างๆ ก็มีระดับพลังที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน หากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน พวกเขาก็คงไม่สู้กัน
แต่ตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว
“เฮ้ เจ้าจำได้หรือไม่ว่าเจ็ดตำหนักนั่นหยิ่งผยองแค่ไหนตอนที่พวกมันได้แผนที่ไป คิดว่าได้เบาะแสใหญ่แล้ว จะสามารถหาสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิเจอก่อนคนอื่น แต่หลายปีผ่านไป พวกมันเจออะไรบ้าง แผนที่ที่พวกมันส่งไปสามโลกเบื้องล่างได้หายไปแล้ว และพวกมันก็สงสัยพวกเราที่เหลือ ไร้สาระสิ้นดี ตัวเองไม่มีความสามารถ ก็ไม่ควรลากคนอื่นลงน้ำ คิดว่าจะชี้นิ้วใส่ทุกคนได้ พวกมันคิดว่าตัวเองอยู่ยงคงกระพันหรืออย่างไร” หัวหน้ากลุ่มกระอักโลหิตออกมา พวกเขาได้รับชัยชนะจากจำนวนที่เหนือกว่า แต่ถึงอย่างไรคู่ต่อสู้ก็เป็นคนจากตำหนักอื่น พลังของพวกเขาไม่ใช่จะดูถูกได้ แม้ว่าพวกเขาจะชนะ แต่ก็บาดเจ็บกันเป็นจำนวนมาก
“เราโชคดีที่ครั้งนี้ท่านผู้อาวุโสมองการณ์ไกล สั่งให้พวกเรานำคนมาให้มากเข้าไว้ ถ้าเรามาที่นี่เหมือนชุดที่แล้ว เราคงตกเป็นเหยื่อของศัตรูไปแล้ว” บุรุษอีกคนพูดด้วยเสียงเย้ยหยัน
พวกเขามาจากตำหนักนภาวิจิตร หนึ่งในสิบสองตำหนัก ในบรรดาสิบสองตำหนัก พวกเขาถูกจัดให้อยู่ในระดับกลางในแง่ของพลังความแข็งแกร่ง เป็นพวกที่ไม่โดดเด่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาไม่ยอมแพ้กับการสืบหาที่ตั้งของสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิเลย และเช่นเดียวกับตำหนักอื่นๆ พวกเขาหาเบี้ยในสามโลกเบื้องล่างให้ดำเนินการแทนพวกเขา แต่เมื่อประมาณครึ่งปีที่แล้ว สามโลกเบื้องล่างตกอยู่ในสงคราม เบี้ยที่พวกเขามีก็ถูกกำจัดจนสิ้นซาก พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปฏิบัติภารกิจด้วยตัวเอง
ตั้งแต่สามเดือนที่แล้ว พวกเขาได้ส่งคนลงมาที่ด้านล่างผาสุดขอบฟ้าหลายกลุ่มเพื่อค้นหาที่ตั้งของสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ แต่ไม่มีใครกลับไปเลยสักคน
พวกเขารู้แก่ใจดีว่าผาสุดขอบฟ้าเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย จึงมักจะทิ้งคนเอาไว้เฝ้าที่ด้านบนสุดของผาสุดขอบฟ้าหนึ่งหรือสองคนเสมอ ถ้าพวกเขายังคงไม่ได้รับข่าวสารใดๆ หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน คนที่เฝ้าอยู่ที่ด้านบนผาจะนำข่าวกลับไปให้พวกเขา
แต่เป็นเวลาสามเดือนติดต่อกันแล้ว กลุ่มที่ตำหนักนภาวิจิตรส่งออกไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าไม่ได้กลับมาเลยแม้แต่คนเดียว
ตอนที่ 1380 เริ่มการล่า (2)
สถานการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตำหนักนภาวิจิตรส่งคนของพวกเขามาตรวจสอบ แต่ก็ไม่พบวี่แววคนของพวกเขาเลย นี่เป็นจุดหนึ่งที่พวกเขาพบว่าน่าสงสัยอย่างมาก พวกเขาได้เชื่อมโยงมันเข้ากับความวุ่นวายโกลาหลที่เกิดขึ้นในสามโลกเบื้องล่างก่อนหน้านี้ ตอนที่ตำหนักอื่นๆ พากันสับสนวุ่นวายที่เสียแผนที่ของตัวเองไป และพวกเขาก็เริ่มคาดเดาบางอย่างที่เป็นลางไม่ดี
อย่างที่คิด พวกเขาเพิ่งพบคนจากตำหนักเปลวเพลิงปีศาจในการเดินทางครั้งนี้ และพวกนั้นก็เข้าโจมตีกลุ่มของพวกเขาทันที
ตอนที่คนจากตำหนักหวนจิตปรากฏตัว การต่อสู้ก็รุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ไอ้พวกลูกหมาจากตำหนักเปลวเพลิงปีศาจคิดว่าตัวเองเป็นนายใหญ่ ท่านผู้อาวุโสพูดถูก คนทั้งหมดที่เราส่งลงมาที่นี่ก่อนหน้านี้ต้องถูกไอ้พวกตำหนักเพลิงซุ่มโจมตีแน่” คนของตำหนักนภาวิจิตรโกรธมาก พวกเขาเตรียมตัวตายไว้แล้วในการออกค้นหาสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ สำหรับคนพวกนี้ การสืบทอดความจงรักภักดีและการอุทิศตัวให้กับตำหนักนภาวิจิตร ทำให้พวกเขารู้สึกว่าการเสียสละอย่างไม่เห็นแก่ตัวเป็นการแสดงออกถึงความทุ่มเทของพวกเขา
แต่การตายด้วยน้ำมือของคนจากตำหนักอื่น ถือเป็นความอัปยศอดสูอย่างถึงที่สุด!
“พูดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ พวกเราไม่มีเวลาเสียให้กับคนจากตำหนักเปลวเพลิงปีศาจพวกนี้ เราควรอาศัยช่วงที่สามโลกเบื้องล่างกำลังโกลาหลกันอยู่ และตำหนักต่างๆ ก็ถูกเบี่ยงเบนความสนใจ ไปค้นหาสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ” หัวหน้ากลุ่มกล่าวอย่างระมัดระวัง
คนอื่นๆ จากตำหนักนภาวิจิตรพากันพยักหน้าเห็นด้วย หลังจากที่พวกเขาสงบลง ความหนาวเย็นที่ด้านล่างผาสุดขอบฟ้าทำให้พวกเขารู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาทันที พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเรียกพลังวิญญาณออกมาเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น
ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนในกลุ่มนี้ลงมาที่ด้านล่างผาสุดขอบฟ้า พวกเขาเคยมาที่นี่พร้อมกับกลุ่มอื่นๆ มาก่อน แต่คนส่วนใหญ่ในกลุ่มเดิมเสียชีวิตที่นี่ สุดท้ายพวกเขาก็ไม่สามารถหาสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิพบ แต่โชคดีพอที่จะรอดชีวิตหนีกลับไปที่ตำหนักนภาวิจิตร ครั้งนี้ตำหนักนภาวิจิตรได้รวบรวมพวกมือเก่าพวกนี้เข้าด้วยกัน รวมกลุ่มกันห้าร้อยคนลงมาที่ด้านล่างผาสุดขอบฟ้าอีกครั้ง
นี่อาจถือได้ว่าเป็นกองกำลังที่ใหญ่มาก แต่โชคร้าย ในวันที่สิบหลังจากที่พวกเขาลงมาที่ผาสุดขอบฟ้า พวกเขาก็พบเข้ากับกลุ่มคนจากตำหนักเปลวเพลิงปีศาจ ตอนนี้จำนวนคนของพวกเขาลดลงไปมากกว่าครึ่ง เหลือไม่ถึงสองร้อยคน
แต่พวกเขาล้วนเป็นผู้มีประสบการณ์ การมาที่ผาสุดขอบฟ้าไม่ใช่งานยากสำหรับพวกเขา แม้ว่าจะไม่มีแผนที่ แต่จากการสำรวจหลายครั้งที่ตำหนักนภาวิจิตรส่งมาในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมานี้ และด้วยสถานที่ที่ผู้คนเหล่านั้นค่อยๆ ค้นพบ คนกลุ่มนี้ก็ได้ค้นพบเส้นทางที่ปลอดภัยกว่าเล็กน้อย
จนกระทั่งพวกเขามาถึงสถานที่ที่เต็มไปด้วยแท่งน้ำแข็ง…
แท่งน้ำแข็งที่แหลมคมทำให้คนที่มองรู้สึกหนาวเยือก และสิ่งที่ทำให้คนจากตำหนักนภาวิจิตรตกใจยิ่งขึ้นก็คือ บนเส้นทางที่พวกเขาคุ้นเคยนี้ พวกเขามองเห็นร่างของคนบางคนรางๆ ผ่านหมอกหนา!
“มีคน!” หัวหน้ากลุ่มตะโกนเตือน คนที่อยู่ข้างหลังเขาต่างเตรียมพร้อมระวังตัว
แต่หลังจากรออยู่นาน เขาก็ยังไม่ได้ยินเสียงตอบกลับใดๆ ร่างมืดๆ พร่ามัวยังคงซ่อนอยู่ในความมืด ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
คนหนึ่งในกลุ่มจึงแนะนำด้วยเสียงกระซิบว่า “สถานการณ์แปลกๆ เราควรลองไปดูก่อนดีหรือไม่”
หัวหน้ากลุ่มขมวดคิ้วก่อนจะสั่งให้พวกลูกน้องขว้างบอลเพลิงวิญญาณออกไปเพื่อให้ชั้นน้ำแข็งตรงหน้าพวกเขาสว่างขึ้น
และสิ่งที่ถูกเปิดเผยออกมานั้นทำให้ทุกคนอ้าปากค้าง!
“เหวอ!!!” คนที่ขี้ขลาดเข่าทรุดลงทันที ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัว ดวงตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า
ในชั้นน้ำแข็งตรงหน้าพวกเขา มีศพนับไม่ถ้วนถูกแท่งน้ำแข็งเสียบทะลุห้อยอยู่ ศพทั้งหมดถูกพลิกคว่ำ ศีรษะหันลงพื้น โดยมีแท่งน้ำแข็งเสียบทะลุปาก!