ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 1479 ตำหนักหยกวิญญาณ (3) ตอนที่ 1480 ตำหนักหยกวิญญาณ (4)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 1479 ตำหนักหยกวิญญาณ (3) ตอนที่ 1480 ตำหนักหยกวิญญาณ (4)
ตอนที่ 1479 ตำหนักหยกวิญญาณ (3) / ตอนที่ 1480 ตำหนักหยกวิญญาณ (4)
ตอนที่ 1479 ตำหนักหยกวิญญาณ (3)
เด็กหนุ่มคะนองคนนั้นไม่สนใจคำด่าทอของเด็กสาว เขากับสหายเข้าล้อมนางเอาไว้ เมื่อคนผ่านไปมาเห็นว่าเป็นศิษย์ของสำนักธาราเมฆ พวกเขาก็โกรธแต่ไม่กล้าพูดและหลบสายตาไป
“ข้าอยากเห็นนักว่าอีกเดี๋ยวเจ้าจะยังปากเก่งแบบนี้อยู่หรือเปล่า” ผู้เยาว์คนนั้นเอื้อมมือออกมาเพื่อจะคว้าตัวนาง
แต่ตอนที่นิ้วของเขาสัมผัสกับบุรุษเสื้อของเด็กสาว พลังวิญญาณที่ทรงพลังก็พุ่งตรงไปที่เด็กหนุ่ม!
แสงสีม่วงส่องสว่าง การระเบิดของพลังวิญญาณที่กวาดผ่านมาราวกับลำแสงของดวงจันทร์ทำให้ผู้เยาว์ทั้งสามคนต้องถอยห่างออกไป!
แต่ก่อนที่ทุกคนจะเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาได้อย่างชัดเจน เงาดำก็พุ่งออกมาจากข้างหลังกองอาวุธและแวบผ่านไป ในขณะที่เงาดำหายไป เด็กสาวที่เกือบจะเสียเสื้อผ้าไปก็หายตัวไปจากที่นั่นด้วย
ผู้เยาว์สามคนที่ถูกบังคับให้กระโดดถอยหลังยังไม่หายตกใจ พวกเขาจ้องไปยังจุดที่เพิ่งยืนอยู่เมื่อสักครู่ รอยแตกยาวปรากฏขึ้นที่พื้นและลามไปถึงกำแพง กระทั่งดาบที่แขวนอยู่บนกำแพงก็ยังหักเป็นสองท่อนจากการระเบิดพลังวิญญาณครั้งใหญ่
ความลึกของรอยแตกทำให้ฝูงชนรอบข้างพากันจ้องมองพร้อมกับอ้าปากค้าง
ในสามโลกชั้นกลาง พลังวิญญาณขั้นสีม่วงพบเห็นได้ไม่ยาก ผู้คนสามารถแยกความแตกต่างระหว่างพลังวิญญาณขั้นสีม่วงของปลอมกับของจริงได้ นอกจากนั้นยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างพลังวิญญาณขั้นสีม่วงที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ ดังนั้น แค่สีของพลังวิญญาณไม่ได้มีความหมายมากอีกต่อไป
ความเร็วของคนเมื่อสักครู่รวดเร็วราวกับสายฟ้า หลบสายตาของทุกคนที่นั่นไปได้ ความเร็วระดับนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้
“ใคร…เมื่อสักครู่ใคร…” ศิษย์คนหนึ่งของสำนักธาราเมฆพูดตะกุกตะกัก เข่าสั่น ฟันกระทบกันกึกๆ ถ้าเมื่อสักครู่เขาขยับช้าไปเพียงเสี้ยววินาทีเดียว หัวของเขาคงแยกออกจากร่างแล้ว
ผู้เยาว์ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มสูดลมหายใจยาว เขายังคงตกใจอยู่ “คนนั้นไม่ได้พยายามจะฆ่าเรา เจตนาของเขาแค่บังคับให้เราถอย อาจเป็นคนจากตำหนักหยกวิญญาณ ช่างเถอะ คิดเสียว่ายัยนั่นโชคดีก็แล้วกัน!”
ผู้เยาว์คนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่แสร้งทำเป็นไม่พอใจ แม้ว่าในใจจะยังตกใจอยู่มาก การระเบิดนั่นมีพลังมากกว่าที่อาจารย์ในสำนักของพวกเขาทำได้เสียอีก เขาเป็นแค่คนที่ตำหนักมังกรสวรรค์เลือกไว้และยังไม่ผ่านการฝึกจากที่นี่ เขายังไม่บรรลุถึงพลังวิญญาณขั้นสีม่วงที่แท้จริงด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจะไปสู้เงาดำนั้นได้อย่างไร
ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นใคร เขาก็ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะสามารถต่อกรได้ ผู้เยาว์ทั้งสามที่เมื่อสักครู่รุมเด็กสาวตัวเล็กๆ อย่างก้าวร้าว ก็พากันหดหัวมุดเข้าไปในฝูงชนและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา เงาที่ส่องแสงสีม่วงเป็นริ้วกลืนไปกับความมืดยามราตรี ได้เข้ามาหยุดอยู่ในป่าทึบอย่างเงียบๆ
จื่อจินคิดว่าวันนี้นางจะตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกบ้ากามเสียแล้ว แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจู่ๆ จะมีคนปรากฏตัวขึ้นในวินาทีสุดท้ายและพานางออกไปจากที่นั่น นางยังจำสิ่งที่คนผู้นั้นกระซิบที่ข้างหูนางในตอนที่เขามาพานางออกไปได้อย่างชัดเจน
“อย่าขยับ”
มันเย็นชาไปจนถึงกระดูกของนาง แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็ทำให้วางใจได้อย่างมาก
จื่อจินถูกวางลงที่ใต้ต้นไม้โดยไม่มีการสัมผัสใดๆ ที่ไม่จำเป็น ทำให้นางรู้สึกสบายใจอย่างมาก
จวินอู๋เสียกวาดสายตามองไปยังเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งบนร่างของจื่อจิน แล้วจากนั้นนางก็โยนเสื้อคลุมที่นางใช้ปกปิดตัวจากสายตาคนอื่นไปให้เด็กสาว
“ขอบคุณ…” จื่อจินกระซิบอย่างซาบซึ้ง นางไม่เห็นหน้าของผู้มีพระคุณของนาง เห็นเพียงแผ่นหลังที่ดูผอมบางยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ เขาตัวไม่สูง และยังเตี้ยกว่านางด้วยซ้ำ
“ไม่ทราบว่าทำไมผู้อาวุโสถึงยื่นมือมาช่วยข้า ผู้น้อย จื่อจิน ขอขอบคุณที่ผู้อาวุโสช่วยชีวิตข้าเอาไว้”
ตอนที่ 1480 ตำหนักหยกวิญญาณ (4)
พลังของจื่อจินยังไม่บรรลุถึงขั้นพลังวิญญาณขั้นสีม่วง แต่นางก็รู้สึกได้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีพลังที่แข็งแกร่งมาก
แต่เมื่อคนผู้นั้นหันหน้ากลับมาช้าๆ แสงจันทร์ส่องให้เห็นใบหน้าเรียบเนียนนั้น จื่อจินก็ตกตะลึงทันที
นางไม่คิดไม่ฝันเลยว่าผู้อาวุโสที่มีพลังที่หยั่งไม่ถึงตรงหน้านาง แท้จริงแล้วจะมีหน้าตาเป็นเด็กหนุ่มแบบนี้
ทำไมถึงกลายเป็นเด็กหนุ่มไปได้เล่า
ความประหลาดใจเขียนเอาไว้เต็มใบหน้าของจื่อจิน
จวินอู๋เสียขมวดคิ้วเล็กน้อย นางมองจื่อจินที่มีสีหน้าแปลกๆ แต่ก็ยังถามเบาๆ ว่า “เจ้าคือคนของตำหนักหยกวิญญาณอย่างนั้นหรือ”
ความตกใจแล่นไปทั่วร่างของจื่อจิน โฉมหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้เป็นอย่างที่นางคาดเอาไว้เลย แล้วยังเหตุผลที่มาช่วยนางอีกเล่า เพราะนางคือศิษย์ของตำหนักหยกวิญญาณอย่างนั้นหรือ
ดูเหมือนว่าจวินอู๋เสียจะสัมผัสความกังวลใจของจื่อจินได้ นางพูดต่อด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าเป็นมิตร ไม่ใช่ศัตรูของตำหนักหยกวิญญาณ”
“ข้าไม่เข้าใจคำพูดของท่าน ได้โปรดอธิบายให้ละเอียดด้วย” จื่อจินรู้ว่านางสู้จวินอู๋เสียไม่ได้ และไม่มีโอกาสที่นางจะสามารถหลบหนีได้ ดังนั้นนางจึงเงยหน้ามองใบหน้าที่เย็นชาของจวินอู๋เสีย
“ตำหนักหยกวิญญาณเคยเป็นหนึ่งในสิบสองตำหนัก แต่ตอนนี้กลับต้องถูกผู้เยาว์ของสิบสองตำหนักที่ยังฝึกฝนอยู่ข่มเหงรังแก ข้าคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้สึกดี ใช่หรือไม่” จวินอู๋เสียพูดเรื่อยๆ อย่างไม่เร่งรีบ
จื่อจินสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมาทันที มือทั้งสองกำหญ้าที่พื้นแน่น
“โกรธหรือ” จวินอู๋เสียมองตาของจื่อจินที่ลุกวาวด้วยความโกรธแล้วพูดช้าๆ ว่า “ครั้งหนึ่งเคยปกครองพวกเขา แต่ตอนนี้กลับตกต่ำกลายเป็นหมาตกน้ำให้คู่ต่อสู้ตีกระหน่ำซ้ำเติม พวกเจ้าไม่คิดจะตอบโต้บ้างหรือ”
จื่อจินขบกรามแน่น แม้ว่านางไม่ควรพูดเรื่องนี้กับคนแปลกหน้า แต่ทุกคำที่จวินอู๋เสียพูดมันจี้ใจนาง
“ใครจะไม่อยากตอบโต้! เจ้าไม่ใช่พวกเรา เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตำหนักหยกวิญญาณไม่ได้พยายามสู้กลับเลย! แต่ไอ้พวกชั่วสิบสองตำหนักนั่นมันเกินไปจริงๆ!” เนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับตำหนักหยกวิญญาณในครั้งนั้นทำให้ความแข็งแกร่งของพวกนางลดลงไปมาก พวกนางไม่มีเวลาพักหายใจและฟื้นตัวเลย พวกสิบสองตำหนักก็เริ่มระรานพวกนาง หลังจากผ่านไปหนึ่งพันปี ตำหนักหยกวิญญาณที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังก็ไม่มีอยู่อีกแล้ว เมื่อศิษย์ของตำหนักหยกวิญญาณอย่างพวกนางออกจากตำหนัก อาจารย์จะเตือนพวกนางให้ระวังตัวอย่าเปิดเผยตัวตนว่าเป็นคนของตำหนักหยกวิญญาณ เพราะกลัวว่าพวกนางจะถูกสิบสองตำหนักตามหาเรื่อง
ครั้งนี้จื่อจินได้ผ่านที่จัดงานชุมนุมเทพยุทธ์โดยบังเอิญและแค่มาตรวจสอบสถานการณ์เท่านั้น นางก็ได้ยินใครบางคนพูดจาดูถูกพี่น้องของนางอย่างโจ่งแจ้ง นางจึงไม่สามารถยับยั้งตัวเองเอาไว้ได้
“ตอนนี้ ถ้ามีโอกาสให้พวกเจ้าได้แก้แค้นศัตรู พวกเจ้าจะพอใจหรือเปล่า” จวินอู๋เสียย่อตัวลงและมองเข้าไปในดวงตาของจื่อจิน
จื่อจินเห็นเงาของตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาที่เย็นชาคู่นั้นอย่างชัดเจน
“เจ้าเป็นใครกันแน่” จู่ๆ จื่อจินก็รู้สึกว่าร่างกายของนางเย็นยะเยือก ความเย็นที่แฝงอยู่ในดวงตาคู่นั้น
“ไม่สำคัญว่าข้าเป็นใคร ที่สำคัญคือข้าสามารถช่วยพวกเจ้าให้ได้ในสิ่งที่พวกเจ้าต้องการ” จวินอู๋เสียยืดตัวขึ้นและยกมือขวาขึ้นมา บนนิ้วมือขวาของนางมีแสงสีแดงและขาวพันอยู่รอบๆ
จื่อจินจ้องมองแสงแปลกประหลาดทั้งสองด้วยความประหลาดใจ นางรู้จักพลังงานเรืองแสงที่คุ้นเคยนั้นเป็นอย่างดี นั่นคือพลังจากแหวนภูติวิญญาณ
แต่…ในโลกนี้จะมีคนที่ครอบครองแหวนภูติสองวงในเวลาเดียวกันได้อย่างไร
นั่นมันเป็นไปไม่ได้
“ตำหนักหยกวิญญาณ…ไม่…ไม่ต้อนรับแขกที่เป็นบุรุษ…” จื่อจินกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ใช้เวลานานกว่าจะพูดจบหนึ่งประโยค
จวินอู๋เสียเลิกคิ้วและดึงมือเล็กๆ ของจื่อจินมาวางที่หน้าอกของนางทันที!