ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 1539 พิษร้ายในสำนัก (2) ตอนที่ 1540 พิษร้ายในสำนัก (3)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 1539 พิษร้ายในสำนัก (2) ตอนที่ 1540 พิษร้ายในสำนัก (3)
ตอนที่ 1539 พิษร้ายในสำนัก (2) / ตอนที่ 1540 พิษร้ายในสำนัก (3)
ตอนที่ 1539 พิษร้ายในสำนัก (2)
สำนักธาราเมฆแบ่งออกเป็นสี่สาขา นั่นคือ พลังวิญญาณ ภูติวิญญาณ ผู้รักษา และพรสวรรค์แต่กำเนิด เหมือนกับการแบ่งประเภทในงานชุมนุมเทพยุทธ์ นอกจากเนื้อหาที่ออกแบบมาสำหรับแต่ละสาขาแล้ว ยังมีเนื้อหารวมพื้นฐานที่ให้ศิษย์ทุกคนเรียนร่วมกัน
ทุกสาขามีเครื่องแบบเดียวกัน มีเพียงป้ายชื่อตรงหน้าอกเท่านั้นที่แตกต่าง
จวินอู๋เสียถูกจัดให้อยู่ในสาขาพรสวรรค์แต่กำเนิด และในสำนักธาราเมฆ สาขาพรสวรรค์แต่กำเนิดมีจำนวนคนน้อยที่สุด แต่มีศิษย์หลากหลายประเภทมากที่สุด ในสาขานี้ยังแบ่งออกเป็นหลายเผ่า โดยมีชั้นเรียนที่สอนตามเผ่าของพวกเขาด้วย
และเมื่อมาถึงจวินอู๋เสีย…
เรื่องมันก็น่าอึดอัดเล็กน้อย
“นายท่าน เราจะทำอย่างไรกับจวินอู๋ดีขอรับ จะเอาเขาไปไว้ที่ไหน” เทียนเจ๋อยืนอยู่ในห้องหนังสือของชายชราตัวเล็ก ใบหน้าของเขาดูเศร้าสลดเป็นอย่างมาก
ผู้เยาว์คนอื่นๆ ถูกแยกออกไปยังสถานที่ของตน ทุกคนต่างมีที่เรียนของตัวเอง มีเพียงจวินอู๋เสียที่ถูกทิ้งไว้เป็นกรณีพิเศษ สถานการณ์ของนางยังไม่ได้รับการแก้ไข
จวินอู๋เสียมาจาก ‘เผ่าจ้าววิญญาณ’ เป็นคนเพียงคนเดียวจากเผ่าจ้าววิญญาณในสามโลกชั้นกลางนี้ ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นที่มาจากเผ่าเดียวกันเลย สำนักธาราเมฆยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลักษณะเฉพาะของเผ่าจ้าววิญญาณคืออะไร พวกเขาจะต้องฝึกฝนด้านไหน และใครจะสามารถสอนนางได้
ในตอนที่ผู้เยาว์คนอื่นๆ ต่างตะเกียกตะกายหาที่ฝึกของตัวเอง จวินอู๋เสียยังนั่งอยู่ในหอพักโดยที่ไม่มีการจัดการอะไรให้นางเลย
ชายชราตัวเล็กนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เขาลูบคางพลางมองเทียนเจ๋อที่ทำหน้าจ๋อย แล้วก็กลอกตา
“ช่วงนี้มีปฏิกิริยาอะไรจากจวินอู๋บ้างหรือเปล่า”
เทียนเจ๋อส่ายหน้า
ชายชราตัวเล็กพูดว่า “เด็กพวกนั้นรวมกลุ่มกันเองแล้ว แต่จวินอู๋ไม่ได้มาจากสิบสองตำหนัก แล้วก็ไม่ได้มาจากเผ่าปกติทั่วไป โดนกีดกันทุกวันก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยอย่างนั้นหรือ”
ผู้เยาว์คนอื่นต่างรวมกลุ่มกับคนที่มาจากตำหนักเดียวกัน หรือไม่ก็รวมกลุ่มกับคนที่มาจากเผ่าเดียวกัน
แต่จวินอู๋เสียคือความลี้ลับพิศวง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ตาม
ตำหนักหยกวิญญาณ
ก็มีแค่นาง!
เผ่าจ้าววิญญาณ
ก็มีแค่นางคนเดียวอีก!
นางไม่สามารถหาจุดร่วมในการเข้ากลุ่มไหนได้เลย
เทียนเจ๋อส่ายหัว นั่นเป็นเรื่องที่เขาอยากชมจวินอู๋มาก “จวินอู๋ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยขอรับ ส่วนใหญ่เขาไม่ได้ก้าวออกจากห้องตัวเองด้วยซ้ำ เหมือนเขาขังตัวเองอยู่ในห้องเพื่อฝึกฝนพลังของตัวเอง ไม่มีอะไรที่จะบ่นเกี่ยวกับเขาได้เลยจริงๆ กู่ซินเยียนจากตำหนักมารโลหิตมักจะไปหาเขาบ่อยๆ แต่ดูเหมือนเจ้าหนูนั่นไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับกู่ซินเยียน ทุกครั้งก็ทำแบบขอไปที”
จวินอู๋ยังเด็ก และเด็กวัยนี้จะได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมได้ง่ายที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาถูกแบนออกจากกลุ่มใหญ่แบบนั้น ถ้าเป็นเด็กทั่วๆ ไป พวกเขาอาจจะคับแค้นใจได้ แต่ดูเหมือนจวินอู๋ไม่ได้สังเกตเห็นอะไรเลย บางครั้งเทียนเจ๋อก็เฝ้าสังเกตอยู่ในเงามืด และรู้สึกว่าจวินอู๋สงบเกินไปแล้ว การต้องอยู่คนเดียวและถูกแบนมาตลอดสองเดือนเต็มๆ ขณะที่ผู้เยาว์คนอื่นๆ รวมกลุ่มกันหมด เด็กคนนี้ไม่รู้สึกแปลกแยกเลยหรือไง
ใบหน้าของชายชราตัวเล็กแสดงรอยยิ้มชื่นชมขณะที่พูดว่า “เด็กคนนี้นิสัยดีใช้ได้ ดูไม่น่าใช่สิ่งที่เด็กวัยนี้จะเป็นได้เลย ข้าว่าทำแบบนี้ดีกว่า สำนักเราไม่เคยมีคนจากเผ่าจ้าววิญญาณมาก่อน นี่เป็นคนแรก เราไม่รู้ว่าจะได้เจอคนจากเผ่าจ้าววิญญาณอีกหรือไม่ อย่างนั้นช่วงเวลานี้เราก็ใช้เจ้าหนูนี่เพื่อทำความคุ้นเคยกับเผ่าจ้าววิญญาณก็แล้วกัน เจ้าไปบอกเจ้าหนูให้ไปที่หอจันทร์แรมที่ปีกตะวันออกวันนี้”
เทียนเจ๋อมีสีหน้าตกตะลึงทันที เขามองชายชราตัวเล็กอย่างไม่อยากจะเชื่อ…
“หอจันทร์แรม!”
ตอนที่ 1540 พิษร้ายในสำนัก (3)
“หอจันทร์แรม!”
“นายท่าน! ล้อเล่นใช่หรือไม่ขอรับ” เทียนเจ๋อตระหนกเล็กน้อย
ให้จวินอู๋ไปที่หอจันทร์แรม คงจะไม่ให้…คนนั้นสอนเขาใช่หรือไม่
ชายชราตัวเล็กเลิกคิ้ว “อะไร เจ้าคิดว่าไม่เหมาะหรือ”
ใบหน้าของเทียนเจ๋อดูขมขื่น ไม่เหมาะ! มันต้องไม่เหมาะอยู่แล้วสิ!
คนผู้นั้นคือหายนะของสำนักธาราเมฆ! ขืนปล่อยจวินอู๋ให้อยู่ในมือคนผู้นั้น มัน…จะออกมาดีได้อย่างไร เขาเข้าใจผิดมาตลอดเลยหรือ นายท่านไม่ได้ชื่นชอบจวินอู๋เป็นพิเศษแต่อยากฆ่าเด็กนั่นอย่างนั้นหรือ
“แต่นิสัยของคนนั้น…” เทียนเจ๋อกังวลเล็กน้อย เขารู้สึกว่าจวินอู๋เสียเป็นเด็กดี ไม่พูดมาก สงบนิ่งใจเย็น ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้จะสอนอย่างไร เขาคงรับมาสอนเองแล้ว เด็กดีว่านอนสอนง่ายอย่างนั้น ทำไมนายท่านใจร้ายกับเขาได้ลง!
ชายชราตัวเล็กโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ต้องกังวลมากนักหรอก ทั้งสำนักธาราเมฆนี้ คนเดียวที่สามารถสอนจวินอู๋ได้ก็มีแค่นางเท่านั้น ส่งจวินอู๋ไปที่นั่นเสีย”
เทียนเจ๋อยังอยากต่อสู้เพื่อจวินอู๋เสียอีก แต่ชายชราตัวเล็กก็มุ่งมั่นจะผลักจวินอู๋เสียลงหลุมไฟเสียเหลือเกิน ไม่ว่าเทียนเจ๋อจะพูดอย่างไร เขาก็ไม่คิดจะเปลี่ยนใจ เทียนเจ๋อจึงทำได้แค่ออกไปด้วยสีหน้าขมขื่น
เมื่อหมดหนทางแก้ไข เทียนเจ๋อจึงไปหาจวินอู๋เสียตามคำสั่งของชายชรา และบอกให้จวินอู๋เสียไปที่หอจันทร์แรม
ตอนที่เทียนเจ๋อพูดกับจวินอู๋เสีย กู่ซินเยียนบังเอิญมาหาจวินอู๋เสียพอดี ใบหน้าเล็กๆ งดงามนั้นประดับด้วยรอยยิ้ม นางยืนรออยู่ข้างๆ จนกระทั่งเทียนเจ๋อจากไป จากนั้นกู่ซินเยียนก็ก้าวเข้ามาหยุดจวินอู๋เสียไม่ให้กลับเข้าไปในห้อง
“จวินอู๋ เจ้าจะไปที่หอจันทร์แรมจริงๆ หรือ” กู่ซินเยียนมีสีหน้าลำบากใจ
จวินอู๋เสียมองกู่ซินเยียนอย่างสงสัย กู่ซินเยียนเป็นคนฉลาด นางไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่แสดงความตั้งใจออกมาทางสีหน้าจนหมด แม้ว่าจวินอู๋เสียจะเดาจุดประสงค์ของนางได้แล้ว แต่ด้วยวิธีการที่กู่ซินเยียนทำมาตลอด ทำให้จวินอู๋เสียไม่สามารถจับผิดนางได้ ถึงอยากจะขีดเส้นกั้นไว้ แต่ก็ยังหาโอกาสเหมาะๆ ไม่ได้
ความใจดีที่กู่ซินเยียนแสดงต่อจวินอู๋เสียดูเหมือนไม่มีอะไร เพียงแค่ให้ของจำเป็นบางอย่างเป็นครั้งคราว และไม่เคยพูดอะไรกับจวินอู๋เสียมากนัก รักษาระยะห่างอย่างเหมาะสมทำให้คนรู้สึกสบายใจ
กู่ซินเยียนเห็นแววตาสงสัยของจวินอู๋เสีย นางหยุดนิดหนึ่งก่อนจะพูดว่า “ข้าได้ยินมาจากพวกรุ่นพี่ว่า คนที่หอจันทร์แรมเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นยาก ไม่มีใครกล้าไปที่นั่น เจ้า…ถ้าเจ้าจะไปจริงๆ เจ้าต้องระวังตัวนะ”
จวินอู๋เสียพยักหน้า จากนั้นก็หันหลังกลับเข้าห้องไป
เมื่อหลินเฮ่าอวี่ที่มากับกู่ซินเยียนเห็นท่าทางเย็นชาของจวินอู๋เสีย ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา หลังจากประตูปิดลง เขาก็พูดอย่างอารมณ์เสียว่า “นี่ซินเยียน เจ้าจะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไรกัน ข้าเข้าใจเจตนาของเจ้า แต่ไอ้หมอนั่นมันมองข้ามความหวังดีของคนอื่นเกินไปหรือเปล่า เจ้าทำดีกับมันมาตลอด มันก็ยังทำหน้าตายอยู่อย่างนั้น ไม่สนใจเจ้าเลยสักนิด คนแบบนี้ ปล่อยให้ตายอยู่คนเดียวไปเถอะ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าห้ามไว้ พวกเราคงไม่ทนและไปอัดมันแล้ว”
ยิ่งกู่ซินเยียนทำดีกับจวินอู๋เสียเท่าไร ศิษย์คนอื่นๆ จากตำหนักมารโลหิตก็ยิ่งเกลียดจวินอู๋เสีย พวกเขาแย่งกันเอาใจกู่ซินเยียนแทบตายเพื่อให้นางพอใจ แต่เจ้านั่นกลับทำท่าทางแบบนั้น คิดจะแสดงให้ใครดู
กู่ซินเยียนมองหลินเฮ่าอวี่อย่างพูดไม่ออกครู่หนึ่ง แล้วในที่สุดนางก็พูดว่า “ไม่อยากเห็นก็ไม่ต้องดู ไม่มีใครบังคับให้เจ้ามาเสียหน่อย ถ้าข้าทนรับความพ่ายแพ้เล็กๆ แบบนี้ไม่ได้ ข้าจะมีหน้าพูดว่าเป็นบุตรีของบิดาข้าได้อย่างไร”