ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 1541 หอจันทร์แรม (1) ตอนที่ 1542 หอจันทร์แรม (2)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 1541 หอจันทร์แรม (1) ตอนที่ 1542 หอจันทร์แรม (2)
ตอนที่ 1541 หอจันทร์แรม (1) / ตอนที่ 1542 หอจันทร์แรม (2)
ตอนที่ 1541 หอจันทร์แรม (1)
หลินเฮ่าอวี่อดกลั้นไว้ ไม่กล้าพูดอะไรอีก แต่ความไม่พอใจเขียนเอาไว้เต็มหน้าของเขา
“ตัวเจ้าโง่เอง ก็อย่าลากข้าลงไปด้วย” กู่ซินเยียนเดินออกไปอย่างไม่พอใจ แต่ในใจนางคิดอีกอย่าง ท่าทางเย็นชาของจวินอู๋เสียทำให้นางอึดอัดใจอยู่บ้าง แต่จวินอู๋เสียก็ทำแบบนี้กับคนอื่นๆ เช่นกัน ทั้งสำนักธาราเมฆ นางเป็นคนเดียวที่สามารถพูดกับจวินอู๋เสียได้ นั่นทำให้นางรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
และตอนนี้จวินอู๋กำลังจะไปที่หอจันทร์แรม ทำให้กู่ซินเยียนมองเห็นความหวังขึ้นมาบ้าง
หอจันทร์แรมเป็นอย่างไรนางไม่รู้หรอก แต่ถ้าหอจันทร์แรมทำให้จวินอู๋ต้องทุกข์ทน นางก็สามารถใช้โอกาสนั้นปลอบใจเขาได้
กู่ซินเยียนจากไปพร้อมกับคิดคำนวณ
หลังได้รับข่าวจากเทียนเจ๋อ จวินอู๋เสียก็เตรียมการเล็กน้อยแล้วออกเดินทางไปที่หอจันทร์แรม
หอจันทร์แรมตั้งอยู่ที่ปีกตะวันออกของสำนักธาราเมฆ บริเวณนั้นไม่ใช่สถานที่ฝึกฝนสำหรับศิษย์ของสำนัก แต่มันอยู่ไม่ไกลจากห้องสมุดและหอเก็บสมบัติ เมื่อจวินอู๋เสียเดินออกจากบริเวณหอพัก นางได้เจอกลุ่มผู้เยาว์จำนวนมากตลอดทาง ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มตื่นเต้น ดูเหมือนว่าเพิ่งกลับมาจากการฝึกและกำลังรู้สึกดีใจและตื่นเต้นกับอนาคตที่พวกเขาเห็นในสำนักแห่งนี้
พวกผู้เยาว์คุยกันอย่างสนุกสนาน พอพวกเขาเห็นจวินอู๋เสีย เสียงหัวเราะก็เบาลงทันที ดวงตามองมาที่จวินอู๋เสียโดยไม่ได้ตั้งใจ
ในบรรดาศิษย์รุ่นนี้ จวินอู๋เสียไม่ได้ถูกนับว่าเป็นคนที่มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งที่สุด และไม่ได้มีภูติวิญญาณที่แข็งแกร่งด้วย แต่นางก็ยังกลายเป็นคนที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ขณะที่ทุกคนรวมกลุ่มกันสองสามคน นางก็อยู่คนเดียวเสมอ ร่างโดดเดี่ยวนั้นทำให้พวกผู้เยาว์ที่รู้สึกอิจฉายิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น
เหล่าผู้เยาว์มองจวินอู๋เสียเดินผ่านไปต่อหน้าต่อตา สีหน้าแสดงออกว่าไม่พอใจ
“ข้ากำลังคิดอยู่ว่าเขาจะหลบอยู่ในห้องไปถึงเมื่อไหร่ หรือจะไม่ออกมาแล้ว” ศิษย์คนหนึ่งพูดยิ้มเยาะ
“น่าสงสาร ข้าได้ยินว่าคนอื่นๆ จากสาขาพรสวรรค์แต่กำเนิดไปรายงานตัวกันตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ดูเหมือนไม่มีใครสนใจเขาเลย ถูกทิ้งเอาไว้ให้แห้งเหี่ยวอยู่คนเดียวในห้อง”
“เฮอะ น่าสงสารหรือ ไหนว่าเขาได้รับคำเชิญจากทั้งสิบสองตำหนักไง ข้าว่าเขามันก็แค่นั้นแหละ ที่นี่สำนักธาราเมฆ ไม่มีใครถามไถ่ถึงเขาเลยสักนิด คิดว่าตัวเจ๋งนักหรืออย่างไร ตลก”
พวกผู้เยาว์บ่นพึมพำกันอีกเล็กน้อย แล้วก็เริ่มคุยกันเรื่องก่อนหน้านี้อีกครั้ง
จวินอู๋เสียพัฒนาความสามารถในการปิดกั้นเสียงพวกนั้นแล้ว นางไม่สนใจสิ่งที่พวกเขาพูดเลยสักนิด
หลังจากเดินมาสักพัก ในที่สุดจวินอู๋เสียก็เจอหอจันทร์แรม นางยืนอยู่หน้าประตู มองคำสามคำที่อ่านว่า “หอจันทร์แรม” ซึ่งแขวนอยู่บนอาคาร แล้วหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปที่ประตู ยกมือขึ้นเตรียมจะเคาะ
แค่ยืนอยู่นอกประตูเท่านั้น นางก็ได้กลิ่นสุราซึ่งดูเหมือนจะโชยออกมาจากด้านหลังประตู
ศิษย์ถูกห้ามไม่ให้ดื่มสุราในสำนักธาราเมฆ ขนาดอาจารย์ก็ยังดื่มตามใจชอบไม่ได้ ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน เวลาแบบนี้ทำไมถึงมีกลิ่นสุราได้เล่า
จวินอู๋เสียรู้สึกงุนงง แต่ก็ไม่ได้ชะงักอยู่นาน นางเคาะประตูที่ปิดสนิทนั้น
หลังประตูเงียบกริบ ไม่มีเสียงใดๆ ให้ได้ยินเลย จวินอู๋เสียรออยู่สักพักแต่ประตูก็ไม่เปิด นางจึงเคาะอีกครั้ง
เสียงเคาะประตูดังชัดเจนในความเงียบ เกิดเสียงดังก้องท่ามกลางบริเวณที่ว่างเปล่าในสำนักธาราเมฆ
ยังไม่มีเสียงอะไรจากในหอจันทร์แรม แต่จวินอู๋เสียก็ไม่ได้มีร่องรอยความหงุดหงิดในสีหน้าเลยแม้แต่น้อย นางหยุดชั่วครู่ก่อนจะเคาะต่อไปเป็นจังหวะอย่างไม่รีบร้อน
ตอนที่ 1542 หอจันทร์แรม (2)
หลังจากรอประมาณครึ่งชั่วยาม และจวินอู๋เสียก็กำลังจะเคาะประตูอีกครั้ง แต่ในที่สุดนางก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากภายใน จวินอู๋เสียจึงเอามือลงและรอ
แอ๊ด
ประตูที่ปิดล็อคไว้ก็เปิดออกอย่างช้าๆ กลิ่นสุราพุ่งตรงออกมาจากข้างใน
“เอิ๊ก!” ภายในห้องมีสตรีที่สง่างามสวมชุดบางเบากำลังพิงประตูอยู่ ใบหน้างดงามของนางเป็นสีแดงระเรื่อ ดวงตาคู่งามหรี่ลงครึ่งหนึ่งพลางจ้องมองจวินอู๋เสียที่ยืนอยู่หน้าประตู
สตรีนางนั้นดูเหมือนอายุประมาณยี่สิบแปดยี่สิบเก้าปี ไม่ได้มีความงามไร้เดียงสาแบบเด็กสาว แต่เป็นความงดงามที่มีเสน่ห์เย้ายวนแบบหญิงสาวที่เป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่านางไร้การอบรมเลยแม้แต่น้อย ขายาวๆ ของนางคลุมด้วยกระโปรง มือที่วางพิงประตูกำลังถือเหยือกสุราที่ตกแต่งอย่างประณีต
“เจ้าหนู มาผิดที่หรือเปล่า” สาวงามขมวดคิ้วมองจวินอู๋เสีย พอนางอ้าปากพูด กลิ่นสุราก็ลอยเข้าปะทะจวินอู๋เสีย
แค่หายใจเอากลิ่นสุราเข้าไป จวินอู๋เสียก็เกือบจะเมาแล้ว
“อาจารย์เทียนเจ๋อบอกให้ข้ามา” จวินอู๋เสียพยายามไม่สนใจกลิ่นสุราที่รุนแรงนี้
“ห๊ะ เทียนเจ๋อ” หญิงสาวทำหน้างง นางมองจวินอู๋เสียขึ้นๆ ลงๆ “เขาให้เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“ฝึก” จวินอู๋เสียตอบ
“…” ดวงตาของสตรีนางนั้นเบิกกว้างเล็กน้อย นางมองจวินอู๋เสียตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง “เขาบอกให้เจ้ามาฝึกที่นี่หรือ เจ้าฟังไม่ผิดแน่นะ”
จวินอู๋เสียพยักหน้า
สตรีนางนั้นดูหงุดหงิดมาก นางแกว่งเหยือกสุราในมือและพูดว่า “หัวเจ้าเทียนเจ๋อโดนประตูหนีบสมองพังไปแล้วหรืออย่างไร ให้ข้าชี้แนะศิษย์เนี่ยนะ…ปัญญาอ่อนใช่หรือไม่เนี่ย บ้าเอ๊ย…ข้าไม่ได้อยากสอนเด็กเมื่อวานซืนสักหน่อย”
สตรีนางนั้นบ่นอย่างหงุดหงิดโดยไม่สนใจว่าคำพูดที่เต็มไปด้วยความรังเกียจของนางจะเข้าหูของจวินอู๋เสียเต็มๆ
จวินอู๋เสียยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ เทียบกับความประหลาดใจของสตรีนางนั้น นางเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน
คนคนนี้จะเป็นอาจารย์ของนางนับแต่นี้ไปจริงๆ หรือ
เมื่อมองดูสภาพของสตรีนางนั้นแล้ว จวินอู๋เสียก็รู้สึกเหมือนได้พบกับบัวหิมะมัวเมาเวอร์ชั่นสตรี
สตรีนางนั้นบ่นอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็พูดอย่างหงุดหงิดว่า “ช่างเถอะ เจ้าหนูเข้ามา” พูดจบนางก็ก้าวขายาวๆ เดินเข้าไปข้างใน
จวินอู๋เสียเดินตามเข้าไปในห้อง ทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นสุราที่รุนแรง ชั้นวางของข้างกำแพงที่ชั้นหนึ่งเต็มไปด้วยไหสุราชนิดต่างๆ เรียงรายเป็นแถว จำนวนมากจนน่าตกใจ
สตรีนางนั้นไม่สนใจจวินอู๋เสีย นางเดินไปนอนที่โซฟานุ่ม มือข้างหนึ่งหนุนหัวไว้ ชันขาข้างหนึ่งบนโซฟาอย่างไม่ใส่ใจ การเคลื่อนไหวของนางทำให้กระโปรงร่นขึ้นสูง เผยให้เห็นท่อนขายาวเรียบเนียน แต่ดูเหมือนนางจะไม่รู้ตัวเลย นางยกเหยือกสุราขึ้นแล้วเทมันเข้าปาก กระดกรวดเดียวหมดเหยือก จากนั้นก็โยนเหยือกสุราเปล่าไปที่เท้าของจวินอู๋เสีย
“เติมให้เต็ม” สตรีนางนั้นพูดอย่างเกียจคร้าน
จวินอู๋เสียมองสตรีที่เมามากคนนั้น แล้วมองไปที่เหยือกสุราก่อนจะก้มลงหยิบมันขึ้นมาโดยไม่พูดอะไร สตรีนางนั้นชี้ไปที่ไหสุราบนชั้นวาง และจวินอู๋เสียก็เดินไปที่นั่น นางรินสุราลงในเหยือกแล้วส่งให้สตรีนางนั้น
จากนั้นจวินอู๋เสียก็ถอยไปด้านข้าง สตรีนางนั้นดื่มต่อไปโดยไม่สนใจนาง
ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบภายใต้สถานการณ์ที่แปลกประหลาด
จนกระทั่งดื่มสุราหมดไปอีกเหยือก สตรีนางนั้นก็ส่งให้จวินอู๋เสียรินสุรามาเพิ่ม หลังจากไปกลับเช่นนี้อยู่สามถึงห้ารอบ ในที่สุดสตรีนางนั้นก็หยุด นางถือเหยือกสุราไว้ในมือและหรี่ตาลงมองจวินอู๋เสียที่ทำงานหนักโดยไม่ปริปากบ่นและยังคงมีท่าทางมั่นคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“เจ้าหนู เจ้าชื่ออะไร” สตรีนางนั้นถาม