ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 159 ข้าก็คือผู้ตัดสินชะตา (1) ตอนที่ 160 ข้าก็คือผู้ตัดสินชะตา (2)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 159 ข้าก็คือผู้ตัดสินชะตา (1) ตอนที่ 160 ข้าก็คือผู้ตัดสินชะตา (2)
ตอนที่ 159 ข้าก็คือผู้ตัดสินชะตา (1)
“คุกเข่าลง” น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเจตนายิ้มเยาะของจวินอู๋เสียก้องกังวานไปทั่วท้องพระโรง
มั่วเซวี่ยนเฝ่ยมองไปที่จวินอู๋เสียอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบโต้นางกลับไปว่าอย่างไรดี
ไม่ต้องพูดถึงมั่วเซวี่ยนเฝ่ย แม้แต่มั่วเฉี่ยนยวนที่ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับนางก็ยังเบิกตากว้าง พูดไม่ออกกับคำสั่งที่ชวนให้ตกตะลึงนั้น
“เจ้า…” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ดูเหมือนจวินอู๋เสียคร้านจะฟังคำเสวนาไร้สาระนี้จากปากเขาเต็มที เห็นเพียงปลายนิ้วของนางยกขึ้นชี้มาทางเขา และโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ลำแสงสีแดงสองสายก็พุ่งตรงมาที่เข่าของเขาอย่างแรง
อ้ากกก!
และก่อนที่จะมีใครทันได้ตอบสนองอะไร โม่เซวี่ยนเฟยก็กรีดร้องเสียงดังลั่น ขาของเขาสั่นจนไม่อาจยืนได้อีกต่อไป จึงค่อยๆ ล้มลงมาคุกเข่าต่อหน้าจวินอู๋เสีย
ไป๋อวิ๋นเซียนที่อยู่ในอ้อมแขนของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยก็ถูกลากให้ลงมาคุกเข่าด้วยเช่นกัน
จวินอู๋เสียยืนอยู่ในจุดที่สูงกว่า มองลงไปที่ใบหน้าที่เจ็บปวดรวดร้าวของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยอย่างเฉยชา
“มีอะไรจะพูด คุกเข่าก่อนแล้วค่อยพูด” จวินอู๋เสียพูดเสียงเย็น
ยิ่งรอยยิ้มบนใบหน้าของจวินอู๋เสียขยายกว้างขึ้นและสว่างสดใสมากเท่าไร เลือดจากเข่าของมั่วเซวี่ยนเฝ่ย ก็ยิ่งทะลักไหลราวกับสายน้ำ พื้นหินอ่อนเรียบที่อยู่ใต้เข่าของเขา บัดนี้แปรเปลี่ยนสภาพเป็นแอ่งโลหิตขนาดย่อมๆ แล้ว
เชื้อพระวงศ์อย่างเจ้าชอบแสดงอำนาจมากไม่ใช่เหรอ ชอบให้คนคุกเข่าเวลาพูดกับเจ้ามากไม่ใช่เหรอ เช่นนั้นก็จงคุกเข่าลง แล้วพูดกับข้าเหมือนกับที่เจ้าเคยทำกับผู้อื่น
ทั่วทั้งท้องพระโรงเงียบกริบ ภาพตรงหน้าทำเอาทุกคนตกตะลึงจนเกือบหยุดหายใจ
ทุกสายตามองไปที่จวินอู๋เสียเป็นทางเดียว ทั้งหวาดกลัวทั้งครั่นคร้ามต่อการกระทำอันแสนโหดร้ายเอาแต่ใจของเด็กสาว
ไป๋อวิ๋นเซียนลุกขึ้นยืนทันทีด้วยความอับอาย สีหน้าของนางบิดเบี้ยว อาภรณ์สีขาวสะอาดบนร่างถูกโลหิตของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยย้อมจนเปรอะไปหมด ผมเผ้าของนางเองก็ยุ่งเหยิง แต่เมื่อนางมองลงไปที่เข่าของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยที่มีเลือดไหลออกมาไม่ขาดสาย นางก็รีบยื่นมือออกไปพยายามประคองหวังจะช่วยให้เขาลุกขึ้นยืน แต่การกระทำของนางกลับเป็นการเพิ่มความเจ็บปวดให้กับมั่วเซวี่ยนเฝ่ยอย่างถึงที่สุด เขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง
“จวินอู๋เสีย เจ้ามันบ้าไปแล้ว!” ไป๋อวิ๋นเซียนตะคอกใส่นางอย่างเดือดดาล นางเคยเห็นคนเย่อหยิ่งเอาแต่ใจมาก็มาก แต่ไม่เคยเห็นใครที่กล้าสั่งให้ผู้อื่นคุกเข่าต่อหน้าตัวเองอย่างนางมาก่อนเลย
จวินอู๋เสียเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ยอมรับคำด่าของไป๋อวิ๋นเซียนว่าเป็นคำชมประเภทหนึ่ง
ไป๋อวิ๋นเซียนนั่งลง ตรวจชีพจรของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยทันทีด้วยความเป็นห่วง นางพบว่าเส้นเอ็นและเส้นเลือดของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยถูกบางสิ่งปิดกั้นเอาไว้โดยสมบูรณ์ จึงทำให้เขาไม่มีความรู้สึกใดๆ ที่ขาแม้แต่น้อย
จวินอู๋เสียทำได้อย่างไรกัน
หรือว่าจะเป็นเพราะลำแสงสีแดงสองเส้นนั่น!
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องเจ็บปวดของมั่วเซวี่ยนเฝ่ย พระหฤทัยของฮ่องเต้ก็เจ็บร้าวไปหมด ทรงทอดพระเนตรไปที่มั่วเฉี่ยนยวนที่ยืนอยู่กลางท้องพระโรงอย่างขอความช่วยเหลือ แม้เขาจะนำกองกำลังทหารบุกเข้ามาในวัง แต่อย่างน้อยๆ การแสดงออกและคำพูดของเขาก็ไม่ได้คุกคาม ยังคงมีความเป็นผู้ใหญ่และคงไว้ซึ่งมารยาทที่สมควรแสดงออกอยู่บ้าง
ส่วนจวินอู๋เสีย ช่างเถอะ เขาไม่นับคนบ้าที่ลงมืออย่างไร้เหตุผลแบบนางว่าเป็นตัวตนที่จะสามารถพูดคุยกันได้อย่างมีเหตุผลอยู่แล้ว
องค์ชายรองผู้สง่างาม กลับต้องมาคุกเข่าต่อหน้านางจริงๆ!
ฮ่องเต้จับบัลลังก์ไว้แน่นด้วยโทสะ แต่เพื่อไม่ให้ความโกรธเกรี้ยวในพระหฤทัยของพระองค์ระเบิดออกมา จึงได้เพียงแต่กัดพระกรรนแน่น
“เซวี่ยนเฝ่ยก็เป็นเช่นนี้พูดจาไม่ค่อยเก่ง อู๋เสียอย่าได้ถือสาเขามากนักเลย” พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าฮ่องเต้ต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดกว่าจะคายประโยคนี้ออกมาปากของพระองค์ได้
อย่าถือสาคนบ้า!
อย่าได้ไปยั่วยุนางในตอนนี้!
รอยยิ้มบนใบหน้าของจวินอู๋เสียสว่างไสวมากขึ้นไปอีก
“ข้าปิดผนึกเส้นเลือดที่ขาทั้งสองข้างของเขาเอาไว้แล้ว หากภายในหนึ่งชั่วยามยังไม่สามารถแก้ไขจุดที่ถูกเข็มฝังลงไปได้ เขาก็จะกลายเป็นคนพิการโดยสมบูรณ์ และต้องนั่งอยู่บนรถเข็นไปตลอดชีวิตที่เหลือของเขา”
ท่านอาเล็กของนาง ต้องอดทนกับคำเย้ยถากถางมานานกว่าสิบปี ต้องสูญเสียอิสรภาพและโอกาส นั่งเป็นอัมพาตอยู่บนรถเข็นให้ผู้อื่นหยิบยกเรื่องของตนไปพูดเล่น ราชวงศ์กลับทำได้ดี ทั้งที่การที่ท่านอาเล็กของนางต้องมีสภาพเช่นนี้ ทั้งหมดก็เพราะเขาทำเพื่อรัฐชี เพื่อความจงรักภักดีนั่น ราชวงศ์ทำอะไร ส่งโสมและเห็ดหลินจือมาที่จวนไม่ขาดสาย แต่กลับไม่เคยออกหน้าปกป้องเกียรติยศของท่านอาเล็กของนางเลยสักครั้ง ตรงกันข้ามกลับแอบกระจายข่าวเสียหาย ทำให้ผู้อื่นพากันชี้นิ้วด่าท่านอาเล็กของนางอย่างลับๆ
ในเมื่อราชวงศ์ไม่เห็นน้ำใจของจวนสกุลจวินของพวกนางอยู่ในสายตา ไม่เห็นค่าถึงความจงรักภักดีตลอดหลายสิบปีที่คนสกุลจวินมอบให้ เอาแต่เพิกเฉยทำเป็นหูทวนลมเมื่อสกุลจวินของพวกนางประสบกับวิกฤต
เช่นนั้นวันนี้นางก็จะทำแบบเดียวกันบ้าง ทำให้องค์ชายรองที่ฮ่องเต้ทรงรักและโปรดปรานมากที่สุด พระโอรสที่พระองค์ภาคภูมิใจมากที่สุดได้ลิ้มรสถึงความเจ็บปวดนั้นดูบ้าง
“อาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ คงไม่คณามือศิษย์เอกของท่านเจ้าสำนักชิงอวิ๋นอย่างคุณหนูไป๋กระมัง” จวินอู๋เสียมองไปที่ไป๋อวิ๋นเซียนด้วยรอยยิ้ม
ยิ่งพวกเขาใส่ใจรักใคร่กันมากเท่าไหร่ ยามที่นางไร้กำลังจะช่วยเหลือและได้แต่มองดูคนรักกลายเป็นคนพิการ ก็จะยิ่งทำให้หัวใจของพวกเขาแหลกสลายมากขึ้นเท่านั้น!
ตอนที่ 160 ข้าก็คือผู้ตัดสินชะตา (2)
มั่วเซวี่ยนเฝ่ยยกตัวเองไว้สูงมาก เพราะเขาเกิดมาในราชวงศ์และถูกผู้คนประจบเอาใจ มองด้วยสายตาอิจฉาเทิดทูนมาตั้งแต่เล็กๆ คงคิดไม่ถึงว่าวันนี้จะร่วงหล่นลงมาจากสวรรค์และกลายเป็นคนพิการที่ต้องเงยหน้าขึ้นมองผู้อื่นจากพื้นดิน
ให้เขาได้ลิ้มรสชาติจากการถูกผู้อื่นมองต่ำลงมาบ้าง ก็น่าจะเป็นฉากที่น่าดูชมทีเดียว
“จวินอู๋เสีย เจ้า…เจ้า…เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร เลิกบ้าได้แล้ว ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ ท่านอาจารย์ของข้าได้ส่งผู้อาวุโสของสำนักชิงอวิ๋นเดินทางมาที่รัฐชีแห่งนี้แล้ว อีกไม่นานเจ้าก็จะไม่สามารถทำตัวโอหังได้อีก เพราะฉะนั้น…”
เพียะ! เพียะ! เพียะ!
เสียงตบหน้าดังขึ้นสามครั้งติด ไม่ทันรอให้ไป๋อวิ๋นเซียนได้พ่นเรื่องไร้สาระออกมาจนจบ จวินอู๋เสียก็ตวัดฝ่ามือฟาดไปที่ใบหน้าอันแสนบอบบางของไป๋อวิ๋นเซียนจนหน้าของนางหันไปตามแรงตบ!
ครั้งนี้มันคือการตบหน้าของจริง!
เสียงตบนั้น แม้แต่มั่วเฉี่ยนยวนที่ยืนฟังอยู่ด้านข้างก็ยังเผลอหดคอกลับไปอย่างห้ามตัวเองไว้ไม่อยู่
จวินอู๋เสีย…นางช่างโหดเหี้ยมได้ใจจริงๆ!
“ข้าให้เจ้าช่วยคน ไม่ได้ให้เจ้ามาปากมาก” น้ำเสียงของจวินอู๋เสียอบอุ่นนุ่มนวลผิดปกติ รอยนิ้วทั้งห้าที่ประทับอยู่บนใบหน้าเล็กๆ ของไป๋อวิ๋นเซียนยังคงสดใหม่ชัดเจน
ไป๋อวิ๋นเซียนตะลึงค้างไปแล้ว ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีใครในโลกนี้ที่กล้าทุบตีนาง!
หญิงสาวยกมือขึ้นจับแก้มที่ถูกตบจนร้อนผ่าว แววตาที่ใช้มองไปยังจวินอู๋เสีย คล้ายกับคนที่ยังไม่ตื่นจากฝันดี
ฮ่องเต้ตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์ จวินอู๋เสียคนนี้บ้าไปแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่ นางกล้าตบไป๋อวิ๋นเซียนแบบนั้นได้อย่างไรกัน!
“นี่เจ้า…ถึงกับกล้าตบหน้าข้า!” ไป๋อวิ๋นเซียนชี้นิ้วไปที่จวินอู๋เสียด้วยร่างกายที่สั่นเทิ้ม
จวินอู๋เสียเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าไป๋อวิ๋นเซียนอย่างไม่คิดจะรักษากิริยา จากนั้นการลงมือในครั้งต่อมาก็ทำเอาคนทั้งท้องพระโรงหยุดหายใจไปจริงๆ
จวินอู๋เสียยกมือขึ้นตบหน้าไป๋อวิ๋นเซียนอีกครั้ง จากนั้นก็ใช้เท้าแตะไปที่ท้องของไป๋อวิ๋นเซียนอย่างแรงจนร่างบางลอยกระเด็นออกไป
“อยากได้รับการยืนยันอีกครั้งหรือไม่เล่า” ริมฝีปากของจวินอู๋เสียคลี่ยิ้มสดใส เป็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่ใครเห็นเป็นต้องตกตะลึง
ที่มุมปากของไป๋อวิ๋นเซียนมีเลือดไหลลงมา ผมเผ้าของนางกระเซอะกระเซิง นางมองกลับมาจวินอู๋เสียด้วยความกลัวเหมือนกับได้เห็นวิญญาณร้ายตามหลอกหลอน
ในสำนักชิงอวิ๋น ไป๋อวิ๋นเซียนคือศิษย์เอกของท่านเจ้าสำนักชิงอวิ๋น ไม่มีใครในสำนักชิงอวิ๋นที่กล้าแตะต้องนาง ทุกคนต่างให้ความเคารพและเชื่อฟังนาง
แต่เมื่อนางมาถึงรัฐชีแห่งนี้และได้พบกับจวินอู๋เสีย ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
จวินอู๋เสียไม่เพียงแต่จะเอาชนะนางได้ แต่นางยังกล้าลงมือตบตีนางอย่างไร้ความเมตตาอีกด้วย!
ในครั้งนี้ ไป๋อวิ๋นเซียนได้ลิ้มรสชาติของความหวาดกลัวแล้วอย่างแท้จริง ความเย่อหยิ่งทั้งหมดของนางสลายหายไปอย่างสมบูรณ์
“ไปลากนางมานี่” จวินอู๋เสียสั่งทหารกองทัพรุ่ยหลินที่ยืนอยู่ข้างหลัง
ทหารจากกองทัพรุ่ยหลินสองคน ก็ไปลากตัวไป๋อวิ๋นเซียนที่เดินกะเผลกกลับเข้ามาตามคำสั่งของจวินอู๋เสียโดยไม่รอช้า
ไป๋อวิ๋นเซียนพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่กำลังของนางเล็กน้อยเพียงนั้น จะต่อกรกับทหารกองทัพรุ่ยหลินสองคนที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดีได้อย่างไร ทันทีที่พวกเขาถึงตัวไป๋อวิ๋นเซียน นางก็ถูกลากมาอยู่ต่อหน้าจวินอู๋เสีย
“เจ้า…เจ้าจะตบตีข้าแบบนี้ไม่ได้นะ เจ้าไม่รู้หรือว่าอาจารย์ของข้าเขาเป็นถึงเจ้าสำนักชิงอวิ๋นเชียวนะ!” ไป๋อวิ๋นเซียนมองจวินอู๋เสียด้วยอาการสั่น นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นคนบ้าที่ไม่สนใจขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังนาง จวินอู๋เสียโยนคำพูดเหล่านี้ทิ้งไป ในสายตาของนาง ไป๋อวิ๋นเซียนก็ไม่ต่างอะไรไปจากมดปลวกที่เดินต้อยๆ อยู่ตามพื้นดิน สามารถบดขยี้ให้ตายได้ตราบเท่าที่นางต้องการ
เพียะ!
“อ้อ เหรอ” จวินอู๋เสียหรี่ตาลง ยกมือขึ้นแล้วตบไปที่ใบหน้าเล็กๆ ของไป๋อวิ๋นเซียนอีกครั้ง
“สำนักชิงอวิ๋น…นับเป็นตัวอะไรกัน”
ไป๋อวิ๋นเซียนอ้าปากค้าง มองไปที่จวินอู๋เสียด้วยความหวาดกลัว ความเกลียดชังที่มีทั้งหมดถูกแทนที่ด้วยความกลัว เมื่อถูกจ้องมองดวงตาที่เหมือนกับบ่อน้ำเหือดแห้งคู่นั้น ไม่รู้ทำไมนางถึงรู้สึกมันก็ถูกลากลงนรกอเวจี
“ไปช่วยคนรักของเจ้าเสียสิ เขาพึ่งพาใครไม่ได้อีกแล้วนอกจากเจ้า แสดงความสามารถของศิษย์เอกสำนักชิงอวิ๋นออกมาให้ข้าดูหน่อยว่าเจ้าสามารถทำอะไรได้บ้าง” จวินอู๋เสียเผยรอยยิ้มร้ายออกมา ทหารสองคนที่เข้าใจความหมายของรอยยิ้มของจวินอู๋เสียก็ลากไป๋อวิ๋นเซียนไปทิ้งไว้ที่ด้านหน้าของมั่วเซวี่ยนเฝ่ย
ในเวลานี้ ไป๋อวิ๋นเซียนไหนเลยจะยังมีความหยิ่งยโสหลงเหลืออยู่อีก นางพาร่างกายที่สั่นระริกคลานเข้าไปคุกเข่าอยู่ข้างๆ มั่วเซวี่ยนเฝ่ย มองดูภาพเข่าที่มีเลือดไหลอาบจนนองพื้น นางก็หยุดร่างกายไม่ให้สั่นไม่ได้เลย