ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 1609 ปกป้องศิษย์ (3) ตอนที่ 1610 ปกป้องศิษย์ (4)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 1609 ปกป้องศิษย์ (3) ตอนที่ 1610 ปกป้องศิษย์ (4)
ตอนที่ 1609 ปกป้องศิษย์ (3) / ตอนที่ 1610 ปกป้องศิษย์ (4)
ตอนที่ 1609 ปกป้องศิษย์ (3)
ซูหย่านี่คืออันธพาลของแท้เลย!
เจ้าจะบอกว่าข้าแส่เข้าไปยุ่งเรื่องของลูกศิษย์หรือ
แต่ขอโทษนะ พวกเขายังไม่ทันเริ่มลงมือ ข้าก็ซัดเจ้านั่นแล้ว ถ้ายึดตามลำดับเหตุการณ์ ข้าคือคนลงมือก่อน
ท่าทางเผด็จการไร้เหตุผลของซูหย่าได้ขวางกั้นคำพูดของกู่อิ่งทั้งหมด กู่อิ่งพยายามดึงเอาจวินอู๋เสียออกมา แต่ซูหย่าก็ป้องกันอย่างเต็มที่ แบกรับทุกอย่างไว้เองหมด แผนของกู่อิ่งจึงพังทลายลงทันที
“อาจารย์ซูหย่าพูดถูก ผู้น้อยโง่เขลานัก อาจารย์ซูหย่าโปรดอย่าถือสา วันนี้ผู้น้อยรบกวนอาจารย์มามาก ควรกลับได้แล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นกับสวี่มู่ ตำหนักมารโลหิตจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับอาจารย์อย่างแน่นอน” กู่อิ่งลุกขึ้นยืนและจากไปทันทีโดยไม่รอช้า
ซูหย่าหาวหวอดใหญ่ ไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เทียนเจ๋อต้องเป็นคนไปส่งกู่อิ่งออกจากที่นี่
จนกระทั่งกู่อิ่งและเทียนเจ๋อจากไป สีหน้าเอื่อยเฉื่อยเกียจคร้านของซูหย่าก็หายไปทันที นางดึงจวินอู๋เสียที่กำลังจะไปฝึกฝนให้มายืนอยู่ตรงหน้านาง
จวินอู๋เสียกะพริบตาด้วยความสงสัย นางมองอาจารย์ของตัวเองที่ไม่มีท่าทางวางอำนาจเผด็จการ
“เจ้ารู้จักหมอนั่นหรือ” ซูหย่าถามพลางหรี่ตาลง นางจ้องจวินอู๋เสียอย่างจริงจัง
จวินอู๋เสียไม่คิดว่าซูหย่าจะความรู้สึกไวขนาดนี้ หลังจากกู่อิ่งปรากฏตัว นางก็ไม่ได้มองกู่อิ่งเลยสักครั้ง และกู่อิ่งก็ไม่ได้สนใจนางมากนัก แต่ถึงอย่างนั้น ซูหย่าก็ยังจับได้อยู่ดี
ในตอนนี้ จวินอู๋เสียไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
นางควรจะปฏิเสธทุกอย่าง แต่นางไม่อยากโกหกซูหย่าที่ปฏิบัติกับนางอย่างจริงใจ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ซูหย่าได้แสดงจุดยืนอย่างแน่วแน่ในการปกป้องนาง และจวินอู๋เสียก็ไม่อยากตอบแทนสิ่งนั้นด้วยการหลอกลวง แต่นางก็ไม่อยากลากซูหย่าให้เข้ามาอยู่ในแผนการของนางด้วย มันจะทำให้ซูหย่าเดือดร้อนโดยไม่จำเป็น
อีกอย่าง ด้วยนิสัยของซูหย่าแล้ว ถ้านางรู้ถึงความแค้นที่จวินอู๋เสียมีต่อสิบสองตำหนัก นางคงกระโดดออกมายืนหยัดต่อสู้เพื่อจวินอู๋เสียอย่างแน่นอน
จวินอู๋เสียจึงทำได้แค่ปิดปากเงียบเท่านั้น
เมื่อเจอกับความเงียบ ซูหย่าก็ถอนหายใจยาว “ข้าจะไม่ถามต่อแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้ากับเขา แต่ในฐานะอาจารย์ของเจ้า ข้าต้องเตือนเจ้าเอาไว้ว่าเด็กนั่นจะทำเป็นล้อเล่นด้วยไม่ได้ แม้ว่าพลังของเขาจะอยู่แค่ขั้นเริ่มต้นของพลังวิญญาณขั้นสีม่วง แต่รังสีอำมหิตจากตัวของเขาน่ากลัวมากทีเดียว คนแบบนี้มักเป็นพวกชอบการเข่นฆ่า หลายครั้งที่การต่อสู้กับคนแบบนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับพลังของทั้งสองฝ่าย ถ้าวันหนึ่งเจ้าต้องสู้กับเขา เจ้าต้องโจมตีให้เร็วและเด็ดขาดถึงตาย ถ้าเจ้าไม่สามารถฆ่าเขาได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ให้รีบหนีทันที อย่าให้เขามีโอกาสโจมตี”
ซูหย่ามองจวินอู๋เสียอย่างจริงจัง น้ำเสียงของนางแฝงความเคร่งเครียดที่จวินอู๋เสียไม่เคยได้ยินมาก่อน
จวินอู๋เสียอาจไม่สังเกตเห็น แต่ซูหย่าเห็น
แม้ว่ากู่อิ่งจะเอ่ยถึงจวินอู๋เพียงครั้งเดียว แต่คำพูดของเขาพยายามจะลากจวินอู๋เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งเขาก็ทำอย่างฉลาดและละเอียดมาก ถ้าซูหย่าไม่เห็นสายตาที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัยที่กู่อิ่งมองจวินอู๋เสีย แม้แต่นางก็คงไม่สังเกตว่ามีอะไรผิดปกติ
“ศิษย์เข้าใจแล้ว” จวินอู๋เสียได้สติและพยักหน้าตอบรับ ไม่สำคัญว่าซูหย่าจะรู้ได้อย่างไรว่านางกับกู่อิ่งรู้จักกัน แต่ที่ซูหย่าทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อนาง
ความจริงแล้ว จวินอู๋เสียก็รู้สึกว่าการปรากฏตัวของกู่อิ่งที่นี่ค่อนข้างแปลกอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่ตอนที่กู่อิ่งปรากฏตัวจนกระทั่งกลับไป ดูเหมือนว่าเขาจะถามซูหย่าเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสวี่มู่ แต่พอคิดดูดีๆ แล้วจะพบว่าเขาไม่ได้ตั้งคำถามอะไรเลย แม้แต่คำอธิบายที่ไม่น่าเชื่อของซูหย่า เขาก็ไม่ตั้งข้อสงสัยและไม่ซักถามรายละเอียดเพิ่มเติมใดๆ ทั้งสิ้น
ตอนที่ 1610 ปกป้องศิษย์ (4)
สถานการณ์นั้นแปลกมาก ทำให้เป้าหมายของกู่อิ่งในการมาที่นี่ในตอนแรกเกิดความสับสนไม่ชัดเจน
จวินอู๋เสียแอบจดสิ่งนี้ไว้ในใจ และเพื่อไม่ให้ซูหย่าเป็นกังวล นางจึงไม่ได้นำเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีก
เมื่อเห็นว่าจวินอู๋เสียห่วงใยนางขนาดนี้ สีหน้าของซูหย่าก็อ่อนลงเล็กน้อย นางยื่นมือไปตบหัวจวินอู๋เสีย ไม่แรงและไม่เบา แต่ทำให้หัวใจของจวินอู๋เสียเต็มไปด้วยความรู้สึกของการถูกตามใจและเอ็นดู
“เจ้าหนู ที่ข้าต้องพูดย้ำกับเจ้ามากมายขนาดนี้ ก็เพราะแขนขาที่ผอมแห้งแรงน้อยของเจ้านั่นแหละ ไม่ต้องพูดถึงพลังวิญญาณขั้นสีม่วงเลย แม้แต่พลังวิญญาณขั้นสีครามหรือสีน้ำเงิน หากเจ้าไปเจอเข้าและต้องรับมือตามลำพัง เจ้าก็ควรรีบหนีไปเสีย ในอนาคตหากไม่คอยติดตามข้า เจ้าก็หาคนที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานมาปกป้องเจ้า อย่าไปไหนมาไหนเองตามลำพัง รูปร่างอย่างเจ้ามันน่าแกล้ง ไม่เหมาะไปไหนมาไหนคนเดียว” ซูหย่าเองก็ไม่เข้าใจ ศิษย์ตัวน้อยของนางเป็น ‘เด็กดีและซื่อตรง’ ขนาดนี้ ทำไมถึงดึงดูดความขัดแย้งไม่พอใจมาเยอะแยะมากมายตลอดเวลา
สวี่มู่ กู่อิ่ง และไอ้พวกกระจอกในสำนักธาราเมฆ ทำไมทุกคนถึงจ้องเล่นงานจวินอู๋
ในสายตาของซูหย่า ศิษย์ตัวน้อยของนางไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใครเลย ไม่เคยก่อเรื่องปวดหัวให้นางสักครั้ง สั่งให้ทำความสะอาด เขาก็ไปทำ สั่งให้ไปฝึก เขาก็ไปฝึก ไม่เคยได้ยินคำทักท้วงใดๆ เลย เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานจนคนมองข้ามตัวตนของเขาอยู่บ่อยๆ แล้วทำไมผู้คนมากมายถึงเกลียดชังเขานัก
สำหรับคำถามในใจของซูหย่านั้น จวินอู๋เสียก็ไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้จริงๆ
หากวันหนึ่งซูหย่ารู้ว่าศิษย์ที่ซื่อตรงไร้เล่ห์เหลี่ยมมารยาที่นางรู้จัก แท้จริงแล้วคือแกะขนปุยที่กินคนจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกละก็ ไม่รู้ว่าซูหย่าจะคิดอย่างไร
จากนั้นจวินอู๋ก็ถูกทิ้งให้ฝึกฝนพลังอย่างเงียบๆ ทั้งอาจารย์และศิษย์ต่างทำงานของตัวเองราวกับก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ต่างทำสิ่งที่ตัวเองต้องทำ
เทียนเจ๋อพากู่อิ่งออกมาจากสาขาจ้าววิญญาณ ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดทาง เมื่อเทียบกับศิษย์อาจารย์คู่อื่นๆ ในสาขาพลังวิญญาณที่รักใคร่กลมเกลียวกันดี เทียนเจ๋อมีแต่ความระแวงและระวังให้กับกู่อิ่งเท่านั้น
“อาจารย์เทียนเจ๋อ” จู่ๆ กู่อิ่งก็หยุดเดิน
เทียนเจ๋อชะงักเล็กน้อย แล้วพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “มีอะไร”
กู่อิ่งยิ้มและพูดว่า “จุดประสงค์ในการมาที่สำนักธาราเมฆของข้าสำเร็จลุล่วงแล้ว ท่านพ่อกำลังรอให้ข้ากลับไปรายงาน ข้าอยู่นานไม่ได้ ต้องกลับแล้ว”
เอ๋ เจ้าเด็กนี่มีสำนึกรู้ตัวเองตั้งแต่เมื่อไร รู้ว่าสำนักธาราเมฆไม่ต้อนรับ ก็เลยจะไปแล้วสินะ
เทียนเจ๋อเกือบยิ้มและตบมือด้วยความยินดี เขาดีใจจนแทบกระโดด แต่สีหน้ายังคงสงบนิ่งและจริงจัง
“หืม อย่างนั้นหรือ อย่างนั้นเจ้าก็รีบกลับไปรายงานเถอะ ข้าจะไปส่งเจ้าเอง” เทียนเจ๋ออยากส่งกู่อิ่งออกไปนอกสำนักธาราเมฆจนทนรอแทบไม่ไหว เขาไม่ได้ถามด้วยซ้ำว่ากู่อิ่งอยากไปกล่าวลากู่ซินเยียนหรือเปล่า แต่พากู่อิ่งไปส่งที่ประตูใหญ่ของสำนักธาราเมฆทันที
กู่อิ่งเดินออกไปทางประตูของสำนักธาราเมฆและเห็นว่าสายตาดุดันของเทียนเจ๋อยังคงมองมาที่เขา กู่อิ่งรู้ตัวดีว่าไม่ควรอยู่ที่นั่นนานไปกว่านี้ เขาก้าวยาวๆ ออกเดินไปข้างหน้าทันที
ในสำนักธาราเมฆ หลินเฮ่าอวี่ยังคงรอให้กู่อิ่งแก้แค้นให้เขา ไม่เคยคิดฝันเลยว่าที่เขาสู้อุตส่าห์รวบรวมความกล้ามาขอความช่วยเหลือจากกู่อิ่งนั้น สุดท้ายแล้วกู่อิ่งจะไปจากที่นี่โดยไม่ทำอะไรเลย
บนยอดเขาฝูเหยาเงียบสงัด แสงตะวันยามเย็นสาดส่องลงมายังป่าทึบที่ปกคลุมภูเขาสีเขียวพร้อมด้วยความอบอุ่นจางๆ
กู่อิ่งเดินลงมาจากยอดเขา หลังจากออกห่างได้ไม่ไกลนัก เขาก็หยุดอยู่ที่ข้างทาง จากนั้นก็หันกลับไปมองยังทิศทางของสำนักธาราเมฆ