ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 1613 คลั่งไคล้โอสถวิเศษ (3) ตอนที่ 1614 อันตรายในค่ำคืนที่มืดมิด (1)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 1613 คลั่งไคล้โอสถวิเศษ (3) ตอนที่ 1614 อันตรายในค่ำคืนที่มืดมิด (1)
ตอนที่ 1613 คลั่งไคล้โอสถวิเศษ (3) / ตอนที่ 1614 อันตรายในค่ำคืนที่มืดมิด (1)
ตอนที่ 1613 คลั่งไคล้โอสถวิเศษ (3)
“ไม่ยอมให้ข้าเรียกอาจารย์ แต่ดันเรียกตัวเองว่า ‘อาจารย์’ เนี่ยนะ…” เทียนเจ๋ออดบ่นไม่ได้
ชายชราตัวเล็กหยิบฟืนข้างตัวเขาขึ้นมาเขวี้ยงใส่เทียนเจ๋อ เทียนเจ๋อหลบได้แบบเฉียดฉิว
“เจ้าศิษย์อกตัญญู! สะเออะมาทำอะไรที่นี่ มาทำให้ข้าหงุดหงิดเรอะ!” ชายชราโวยวายอย่างหัวเสีย
เทียนเจ๋อรู้สึกจนปัญญา “อาจารย์ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้น แต่โอสถวิเศษที่ท่านปรุงมัน…” จะทำคนตายเอานะ!
“เจ้าลองพูดอีกคำดูสิ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะโยนเจ้าเข้าเตาเดี๋ยวนี้แหละ! บังอาจสงสัยความสามารถในการปรุงโอสถวิเศษของอาจารย์! อย่าลืมสิ! อาจารย์คือหมอนะ!” ชายชราตัวเล็กยังคงส่งเสียงประท้วง
เทียนเจ๋อแอบยิ้ม หมออะไร ไม่ใช่ว่าท่านไปล่อลวงข่มขู่เอามาหรอกหรือ ได้ชื่อว่าหมอเพราะไปทุบตีคนจนต้องคลานหาฟันที่พื้นเนี่ยนะ
“ข้าโกรธแล้วนะ! เดี๋ยวข้าจะทำโอสถวิเศษที่สุดยอดไร้ที่เปรียบมาให้เจ้าดู!” ชายชรายิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ
เทียนเจ๋อทำสีหน้าสิ้นหวัง
“ยืนบื้ออะไรอยู่ได้ ไม่มีอะไรทำก็มาพัดไฟให้ข้า!” ชายชราโยนพัดในมือใส่หน้าเทียนเจ๋อ
เทียนเจ๋อทำได้แค่ยอมรับชะตากรรมของตัวเอง ถือพัดเดินไปแทนที่ชายชราตัวเล็ก แล้วนั่งยองๆ ลงข้างเตาเพื่อพัดไฟ
ในที่สุดชายชราก็ว่างแล้ว เขาไม่สนใจความทุกข์ทรมานของศิษย์ตัวเอง และลากเอาม้านั่งตัวเล็กออกมานั่งพร้อมกับคอยกระตุ้นเทียนเจ๋อให้ขยันขันแข็งขึ้นอีก
เทียนเจ๋อได้แต่ปฏิบัติตามอย่างเชื่อฟัง พอนึกถึงจุดประสงค์ที่มาที่นี่ตั้งแต่แรกขึ้นมาได้ เขาก็พูดขึ้นพร้อมกับพัดต่อไปว่า “อาจารย์ กู่อิ่งกลับไปแล้ว”
“ไปก็ไปสิ อยู่ในสำนักแล้วเจ้าดูหงุดหงิด ไปเสียจะได้หมดปัญหา” เห็นได้ชัดว่าชายชราไม่ได้สนใจเลยว่ากู่อิ่งจะอยู่หรือไป สิ่งที่เขาสนใจคือโอสถวิเศษในเตาจะออกมาดีหรือไม่
ครั้งนี้เขาทำตามทุกขั้นตอนที่เขียนไว้บนใบสั่งยาที่ได้มาจากจวินอู๋เสีย ผลที่จะออกมานั้น ชายชรารู้สึกมั่นใจมาก!
อีกไม่นานเขาก็จะได้ใช้ ‘ความสามารถ’ พิสูจน์ให้เห็นพรสวรรค์ในการปรุงโอสถวิเศษของเขา!
เทียนเจ๋อนิ่งงันกับคำพูดของชายชรา สิ่งที่เขาจะอยากพูดล้วนถูกกลืนกลับลงไปในคอ ไม่มีแม้แต่โอกาสจะเปล่งเสียงออกมา
ด้วยเหตุนี้ หนึ่งแก่หนึ่งหนุ่มจึงพากันนั่งยองๆ อยู่ในห้องและทำงานกับเตาปรุงโอสถวิเศษต่อไป
ยามค่ำคืนมาเยือนอย่างเงียบงัน ความมืดปกคลุมทั่วทั้งสำนักธาราเมฆ ดวงจันทราลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า เหล่าผู้เยาว์ที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันได้ลากร่างกายและจิตใจอันอ่อนล้าของตัวเองกลับไปพักผ่อนที่ห้อง
จวินอู๋เสียกลับเข้ามาในห้องและยืดเส้นคลายกล้ามเนื้อเล็กน้อย นางไม่ลืมว่าระหว่างที่เดินกลับมาที่นี่ นางเห็นหลินเฮ่าอวี่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดและจ้องเขม็งมาที่นางด้วยสายตาชั่วร้ายน่ากลัว
สำหรับพวกตัวประกอบแบบหลินเฮ่าอวี่ นางไม่คิดจะเสียเวลากับเขา
“คุณหนูใหญ่” เยี่ยซากับเยี่ยกูปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าจวินอู๋เสียอย่างเงียบๆ พวกเขาไปแจ้งพวกเฉียวฉู่ตามคำสั่งของคุณหนูใหญ่แล้ว จากนั้นก็มาคอยปกป้องความปลอดภัยของจวินอู๋เสียอยู่ในเงามืด ป้องกันไม่ให้กู่อิ่งลงมือได้
“หืม” จวินอู๋เสียนั่งลงบนเก้าอี้ ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะกับกระต่ายโลหิตพากันกระโดดออกจากอ้อมแขนของเยี่ยซาและเยี่ยกู แล้ววิ่งมากระโดดดึ๋งๆ อยู่ตรงเท้าของจวินอู๋เสีย ทำตัวออดอ้อนออเซาะกันตัวละข้าง จวินอู๋เสียก็ช่างเป็นคนดี เรียกดอกบัวขาวน้อยออกมาเพื่อเอาใบบัวมาให้สัตว์วิญญาณทั้งสองตัว พอเห็นสองตัวนั้นกินใบบัวอย่างมีความสุข แววตาของนางก็อ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย
“กู่อิ่งออกจากสำนักธาราเมฆแล้วขอรับ” เยี่ยซาพูด
ตอนที่เทียนเจ๋อส่งกู่อิ่งออกไป เขากับเยี่ยกูซ่อนตัวอยู่ในเงามืด และเห็นกับตาว่ากู่อิ่งเดินออกจากประตูของสำนักธาราเมฆไปแล้ว
ตอนที่ 1614 อันตรายในค่ำคืนที่มืดมิด (1)
“กู่อิ่งออกจากสำนักธาราเมฆแล้วขอรับ” เยี่ยซาพูด
ตอนที่เทียนเจ๋อส่งกู่อิ่งออกไป เขากับเยี่ยกูซ่อนตัวอยู่ในเงามืด และเห็นกับตาว่ากู่อิ่งเดินออกจากประตูของสำนักธาราเมฆไปแล้ว
“ออกไปแล้ว” จวินอู๋เสียหรี่ตาลงเล็กน้อย กู่อิ่งไปง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ
เมื่อได้เจอกู่อิ่งอีกครั้ง จวินอู๋เสียอดรู้สึกไม่ได้ว่าเรื่องมันง่ายเกินไป ตั้งแต่ตอนที่กู่อิ่งปรากฏตัวจนกระทั่งจากไป ทุกอย่างปกติมากจนรู้สึกแปลกๆ มันไม่เหมือนนิสัยของเขาเลย ในความคิดของจวินอู๋เสีย ทุกครั้งที่เจอกู่อิ่ง มันมักจะมาพร้อมกับโลหิตและความตายเสมอ แต่ครั้งนี้ทุกอย่างสงบสุขมาก มันไม่เพียงไม่ทำให้นางสบายใจ แต่กลับทำให้นางรู้สึกเครียดมากขึ้น
“มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นหลังจากเขากลับไปหรือเปล่า” จวินอู๋เสียถาม
เยี่ยซาส่ายหน้า “เราตามเขาไปแค่ที่ประตูเท่านั้นขอรับ ไม่ได้ตามต่อหลังจากนั้น”
เป้าหมายหลักของเยี่ยซาและเยี่ยกูคือดูแลความปลอดภัยของจวินอู๋เสีย คนในสำนักธาราเมฆไม่ได้มีแค่คนจากสิบสองตำหนัก ยังมีศิษย์ของเก้าวังจากรุ่นก่อนๆ อยู่จำนวนหนึ่งด้วย พวกเขาไม่กล้าอยู่ห่างจากจวินอู๋เสียมากเกินไป จึงตัดสินใจที่จะไม่ตามกู่อิ่งต่อ
จวินอู๋เสียก้มหน้าคิด การปรากฏตัวของกู่อิ่งทำให้นางรู้สึกว่าเรื่องจะไม่จบง่ายๆ
เยี่ยกูเอาแต่ยืนเงียบอยู่ด้านข้างโดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่จู่ๆ ก็ดูเหมือนเขาจะตรวจจับอะไรบางอย่างได้ สายตาของเขาหันไปมองนอกหน้าต่างทันที
“เยี่ยกู” จวินอู๋เสียสังเกตเห็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติของเยี่ยกู
เยี่ยกูเลิกคิ้วและพูดว่า “มีผู้บุกรุก”
“ใคร” จวินอู๋เสียถามทันที
“ยังไม่รู้แน่ชัด แต่แน่ใจอยู่อย่างหนึ่ง พวกนั้นไม่ใช่คนของสำนักธาราเมฆ ตอนที่คุณหนูใหญ่เข้าสำนักธาราเมฆ ข้ากับเยี่ยซาได้สัมผัสปราณของทุกคนที่นี่แล้ว แต่ตอนนี้ที่นี่มีปราณแปลกๆ ที่ไม่คุ้นเคยอยู่เป็นจำนวนมาก” เยี่ยกูหรี่ตาลง มีพลังวิญญาณที่ไม่คุ้นเคยอยู่หลายคน แต่ไม่ได้รวมอยู่ที่เดียวกัน การปรากฏตัวอย่างกระทันหันของคนจำนวนมากในสำนักธาราเมฆทำให้เขารู้สึกระแวงขึ้นมา
จวินอู๋เสียเองก็รู้สึกได้ว่ามีสิ่งผิดปกติเช่นกัน “พวกนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน”
เยี่ยกูเงียบลงและส่งสัมผัสรับรู้ออกไป จากนั้นก็พูดว่า “ทุกคนคือผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีม่วงขั้นสามขึ้นไป มีประมาณยี่สิบกว่าคน สองสามคนในนั้นไปถึงขั้นพลังวิญญาณขั้นสีเงินแล้ว”
พลังของเยี่ยกูแข็งแกร่งกว่าเยี่ยซามาก นั่นคือเหตุผลที่เยี่ยกูสัมผัสถึงผู้บุกรุกได้ก่อนเยี่ยซานั่นเอง
“พลังวิญญาณขั้นสีเงิน” จวินอู๋เสียตกใจเล็กน้อย นางคิดว่ามีความเป็นไปได้มากที่ผู้บุกรุกพวกนี้จะเกี่ยวข้องกับกู่อิ่ง แต่เยี่ยกูบอกว่ามีผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีเงินอยู่ในหมู่คนพวกนั้นด้วยอย่างนั้นหรือ
ทั่วทั้งสิบสองตำหนัก มีเพียงจ้าวตำหนักของตำหนักต่างๆ เท่านั้นที่สามารถไปถึงขั้นพลังวิญญาณขั้นสีเงิน และจ้าวตำหนักคงไม่เอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงแบบนี้แน่
กู่อิ่งเป็นเพียงสมาชิกคนหนึ่งของตำหนักมารโลหิต ต่อให้เขาอยากลงมือทำอะไร แต่เขาจะสามารถโน้มน้าวให้ผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีเงินทำตามคำสั่งเขาได้อย่างไร และจากที่เยี่ยกูพูด คนกลุ่มนี้มีผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีเงินมากกว่าหนึ่งคน ถ้าตำหนักมารโลหิตมีผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีเงินอยู่มากกว่าสองคน ทำไมพวกเขาต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับตำหนักเปลวเพลิงปีศาจมานานหลายปีและยังไม่มีผู้ชนะที่ชัดเจนแบบนี้
ยิ่งกว่านั้นพลังวิญญาณขั้นสีม่วงขั้นสาม สำหรับตำหนักไหนก็ตามล้วนมีค่าสูงถึงขั้นได้เป็นระดับผู้อาวุโส หากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน คงไม่มีตำหนักไหนในสิบสองตำหนักจะส่งผู้ที่มีพลังระดับนี้ออกมาในครั้งเดียวเช่นนี้ มันน่ากลัวเกินไป!
นี่มันน่าจะเป็นพลังเกือบทั้งหมดของพวกเขาเลย ทำไมจู่ๆ ตำหนักมารโลหิตถึงอยากทำอะไรที่รุนแรงเช่นนี้
ข้อมูลที่เยี่ยกูบอกจวินอู๋เสียทำให้นางไม่สามารถระบุตัวตนหรือที่มาของคนกลุ่มนี้ได้