ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 1643 ความกังวลที่ซ่อนอยู่ของตำหนักมารโลหิต (1) ตอนที่ 1644 ความกังวลที่ซ่อนอยู่ของตำหนัก
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 1643 ความกังวลที่ซ่อนอยู่ของตำหนักมารโลหิต (1) ตอนที่ 1644 ความกังวลที่ซ่อนอยู่ของตำหนัก
ตอนที่ 1643 ความกังวลที่ซ่อนอยู่ของตำหนักมารโลหิต (1) / ตอนที่ 1644 ความกังวลที่ซ่อนอยู่ของตำหนักมารโลหิต (2)
ตอนที่ 1643 ความกังวลที่ซ่อนอยู่ของตำหนักมารโลหิต (1)
การกระทำของสำนักธาราเมฆได้เร่งเวลาของความเหลื่อมล้ำนั้นเข้ามา
ความแข็งแกร่งของตำหนักมารโลหิตและตำหนักเปลวเพลิงปีศาจนั้นแทบไม่ต่างกันเลย หลังจากตำหนักเปลวเพลิงปีศาจสูญเสียผู้อาวุโสไปสองคนติดต่อกัน ก็เป็นโอกาสดีที่ตำหนักมารโลหิตจะกดข่มตำหนักเปลวเพลิงปีศาจได้ แต่ในตอนนั้นเอง ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจก็ได้ตัวผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์ที่หายากสามารถบรรลุถึงขั้นพลังวิญญาณขั้นสีม่วงขั้นสามซึ่งเป็นพลังในระดับเดียวกับผู้อาวุโสได้ตั้งแต่อายุยังน้อย
ผู้เยาว์ที่มีพลังถึงระดับนั้นได้ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ไม่มีใครสามารถเดาได้ว่าพลังของเขาจะเพิ่มขึ้นรวดเร็วแค่ไหนในอนาคต แต่สำหรับตำหนักมารโลหิต มันคือภัยคุกคามที่ร้ายแรง
คำพูดของผู้อาวุโสหลินทำให้กู่อี้จมอยู่ในห้วงความคิด เขาคิดว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล
สถานการณ์ระหว่างตำหนักมารโลหิตกับตำหนักเปลวเพลิงปีศาจกำลังตึงเครียดอย่างมาก ทั้งสองตำหนักทุ่มเทพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาชนะอีกฝ่าย
“ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจได้เฉียวฉู่ไป แต่ตำหนักมารโลหิตเรากลับเสียศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงไปสองคน เทียบกันแล้ว ความแข็งแกร่งของตำหนักมารโลหิตกำลังลดลงเรื่อยๆ” ผู้อาวุโสหลินพูดต่อ
ในบรรดาผู้มีพรสวรรค์รุ่นใหม่ของตำหนักมารโลหิต พลังของสวี่มู่และหลินเฮ่าอวี่ได้รับการยกย่องมากที่สุด
แม้ว่าสวี่มู่จะมีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย แต่เขาก็มีพรสวรรค์อย่างมาก ตำหนักมารโลหิตตั้งใจจะให้เขาฝึกฝนในสำนักธาราเมฆไปอีกสักพัก นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาไม่รีบเรียกเขากลับมา
ความจริงแล้วด้วยพลังของสวี่มู่ ไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะผ่านการทดสอบของสำนักธาราเมฆ แต่เป็นเพราะการตัดสินใจของตำหนักมารโลหิต ตอนนี้สวี่มู่จึงแทบจะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปแล้ว!
เมื่อเส้นลมปราณทั้งหมดของเขาถูกซูหย่าทำลายสิ้น ต่อให้ใช้สมุนไพรที่ล้ำค่าที่สุดเพื่อช่วยเขา ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะฟื้นคืนสู่สภาพเดิมที่เคยเป็น
และสถานการณ์ของหลินเฮ่าอวี่ก็ยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีก แม้ว่าร่างกายเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บที่รุนแรงอะไรแบบนั้น แต่จิตใจของเขาก็พังทลายอย่างสมบูรณ์
สำหรับสวี่มู่ เขายังคงได้รับการดูแลในระดับหนึ่ง แม้ว่าจะไม่สามารถฟื้นฟูจนเก่งกาจเท่าเดิมได้ แต่ก็ยังสามารถฟื้นพลังคืนมาได้บ้าง แต่หลินเฮ่าอวี่ที่เสียสติไปแล้วนั้น ต่อให้มีพลังที่ไม่มีใครเทียบได้ การเป็นคนบ้าก็ไม่ต่างอะไรกับการสูญเสียพลังในการต่อสู้ไปทั้งหมด
การสูญเสียผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นที่สุดไปถึงสองคนทำให้ตำหนักมารโลหิตหงุดหงิดอยู่ตลอด
และทั้งสองเหตุการณ์นี้ หนึ่งเกิดขึ้นจากสำนักธาราเมฆ อีกหนึ่งเป็นฝึมือของคนจากตำหนักเปลวเพลิงปีศาจ
ด้วยตำแหน่งของสำนักธาราเมฆในสามโลกชั้นกลาง แม้ว่าตำหนักมารโลหิตอยากได้คำอธิบายจากพวกเขา มันก็คงไม่ได้ผลสักเท่าไรนัก
แต่ในกรณีของหลินเฮ่าอวี่…
“อาการของหลินเฮ่าอวี่เป็นอย่างไรบ้าง” กู่อี้ถาม
ผู้อาวุโสหลินถอนหายใจเบาๆ แล้วส่ายหน้า
หลังจากหลินเฮ่าอวี่ถูกนำตัวกลับมาที่ตำหนักมารโลหิต ผู้อาวุโสหลินได้เรียกหมอมาทำการรักษาเป็นจำนวนมาก และยังเชิญผู้มีความรู้ทางการแพทย์ที่เก่งกาจมามากมายเพื่อจะรักษาหลินเฮ่าอวี่ให้หายขาด แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ทำให้ผู้อาวุโสหลินต้องสิ้นหวัง
ไม่ว่าจะมีคนมาตรวจอาการของหลินเฮ่าอวี่สักกี่คน ข้อสรุปที่ได้มาก็เหมือนกันหมด
พวกเขาทำอะไรไม่ได้!
หลินเฮ่าอวี่กลัวจนเป็นบ้า มันไม่ใช่สิ่งที่จะรักษาหรือกินโอสถวิเศษให้หายได้ เพราะมันเป็นความเจ็บป่วยทางจิต!
ผู้อาวุโสหลินฝึกฝนอย่างหนักมาตลอดชีวิต เขามีบุตรชายแค่คนเดียวตอนที่แก่แล้ว แต่บุตรชายของเขาก็อ่อนแอขี้โรคมาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าผู้อาวุโสหลินจะใช้สมบัติมากมายไปกับสมุนไพรล้ำค่านับไม่ถ้วนเพื่อต่อชีวิตของเขา แต่สุดท้ายเขาก็ยอมพ่ายแพ้ต่อความเจ็บป่วย ตลอดชีวิตของบุตรชายผู้อาวุโสหลินจนกระทั่งตายมีทายาทเพียงคนเดียว นั่นก็คือหลินเฮ่าอวี่ ผู้อาวุโสหลินเลี้ยงดูเขาด้วยความระมัดระวังอย่างถึงที่สุด เขากังวลมากว่าหลานชายจะอายุสั้นเหมือนบุตรชายของเขา
โชคดีที่หลินเฮ่าอวี่สามารถมีชีวิตอยู่และเติบโตขึ้นตามที่คาดหวังพร้อมร่างกายที่แข็งแรงตั้งแต่เด็ก พรสวรรค์ในด้านพลังวิญญาณก็ค่อนข้างสูง ทำให้ผู้อาวุโสหลินอยากใช้ทรัพยากรทั้งหมดของเขาไปกับหลานชายคนเดียวของเขาคนนี้
ตอนที่ 1644 ความกังวลที่ซ่อนอยู่ของตำหนักมารโลหิต (2)
เมื่อได้เห็นความสามารถของหลานชายตัวเองแสดงออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ในใจผู้อาวุโสหลินก็เต็มไปด้วยความภูมิใจและยินดี แต่ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ เขาจะเป็นบ้าหลังจากเข้าสำนักธาราเมฆได้ไม่นาน!
และสิ่งที่ทำให้ผู้อาวุโสหลินยิ่งรับไม่ได้ก็คือ หลานชายของเขาถูกคนทำร้ายจนเป็นบ้า!
แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเข้าไปในสำนักธาราเมฆได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นข้างใน ศิษย์ของสิบสองตำหนักที่ฝึกฝนอยู่ในสำนักธาราเมฆจะออกจากภูเขาฝูเหยาในวันที่สำนักเปิดประตูและนำข่าวของที่นั่นไปยังจุดติดต่อเพื่อให้คนนำข่าวกลับไปส่งที่ตำหนัก
ด้วยเหตุนั้น ผู้อาวุโสหลินจึงรู้ว่าหลานชายของเขาได้รับการปฏิบัติที่โหดร้ายทารุณในสำนักธาราเมฆ!
ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจ เฉียวฉู่
คำพวกนี้ฝังอยู่ในใจของผู้อาวุโสหลิน
ตำหนักมารโลหิตกับตำหนักเปลวเพลิงปีศาจก็ไม่ถูกกันอยู่ก่อนแล้ว ยังรวมเรื่องที่ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจดึงตัวเฉียวฉู่ที่เป็นหนึ่งในคนที่โดดเด่นที่สุดในงานชุมนุมเทพยุทธ์ครั้งล่าสุดนี้ไปด้วย เรื่องนี้ผู้อาวุโสโทษตำหนักเปลวเพลิงปีศาจเต็มๆ
ไม่อย่างนั้นเฉียวฉู่ที่ไม่ได้มีเรื่องแค้นเคืองอะไรกับหลินเฮ่าอวี่ จะเล่นงานหลินเฮ่าอวี่มากถึงขนาดนี้ทำไม
แม้ว่าผู้อาวุโสหลินจะพยายามระงับความโกรธอย่างเต็มที่ แต่ความเกลียดชังที่เขามีต่อตำหนักเปลวเพลิงปีศาจและเฉียวฉู่ยิ่งเพิ่มขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขามองไปที่สภาพวิกลจริตของหลินเฮ่าอวี่ ในใจเขาก็ยิ่งเจ็บปวดและโกรธแค้น
กู่อี้มองเหล่าผู้อาวุโสที่รวมตัวกันอยู่ในห้องโถงอย่างเงียบๆ
การที่ผู้อาวุโสหลินหยิบยกข้อเสียเปรียบที่ตำหนักมารโลหิตได้รับในงานชุมนุมเทพยุทธ์ครั้งล่าสุดมานั้น มีเรื่องส่วนตัวของเขาปนอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย แต่เขาฉลาดมากที่ไม่ได้กล่าวออกมาอย่างชัดแจ้งเกินไปนัก แต่กลับพูดอยู่บนผลประโยชน์ของตำหนักมารโลหิต ทำให้ไม่มีใครสามารถโต้แย้งได้
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ผู้อาวุโสหลินพูดก็เป็นเรื่องจริง สถานการณ์ของตำหนักมารโลหิตตอนนี้ชวนให้ลำบากใจอยู่บ้าง
ตลอดงานชุมนุมเทพยุทธ์ พวกเขาไม่สามารถดึงตัวคนที่พวกเขาจับตามองได้เลยสักคน แต่กลับเสียศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงไปถึงสองคน นี่มันทำให้คนกระอักโลหิตได้จริงๆ
“พอซินเยียนกลับมา ข้าจะถามนางว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้าเรื่องนี้เป็นการกระทำโดยเจตนาของตำหนักเปลวเพลิงปีศาจ พวกเรา ตำหนักมารโลหิต จะไม่ปล่อยผ่านไปง่ายๆ อย่างแน่นอน ผู้อาวุโสหลิน เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะทำให้ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจและเจ้าเฉียวฉู่นั่นให้คำตอบแก่เจ้าและหลินเฮ่าอวี่ให้ได้” กู่อี้พูด
ผู้อาวุโสหลินพยักหน้าโดยแรงด้วยสีหน้าตื้นตัน
ไม่ว่าสิบสองตำหนักจะวางแผนร้ายต่อกันอยู่เบื้องหลังอย่างไร แต่เมื่ออยากจะต่อต้านตำหนักอื่นอย่างเปิดเผย พวกเขาก็ยังต้องให้จ้าวตำหนักเป็นคนตัดสินใจ ไม่ว่าจะแบกความเกลียดชังไว้มากเพียงใด ก็ไม่สามารถฝืนกฎของตำหนักมารโลหิต และไปจัดการเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวไม่ได้
“ข้าขอขอบคุณท่านจ้าวตำหนักแทนเฮ่าอวี่ด้วยขอรับ”
ผู้อาวุโสหลินคุกเข่าคำนับ
กู่อี้โบกมือบอกให้เขายืนขึ้นและพูดคุยกับผู้อาวุโสคนอื่นอีกเล็กน้อยก่อนจะไล่ทุกคนออกไป
เมื่อเดินออกมาจากห้องโถง กู่อี้ก็หันไปมองผู้เยาว์ที่มีใบหน้าหล่อเหลาซึ่งยืนอยู่นอกประตู
“เจ้าได้ยินทุกอย่างชัดแล้วใช่หรือไม่” สายตาของกู่อี้เปลี่ยนเป็นเย็นชาเล็กน้อย
กู่อิ่งที่ยืนอยู่นอกประตูยักไหล่ เขากอดอกพิงประตูอย่างเกียจคร้านและพูดยิ้มๆ ว่า “ถ้าท่านหมายถึงที่ผู้อาวุโสหลินบ่นนั่นละก็ ข้าได้ยินแล้ว”
กู่อี้พูดเหน็บแนมขึ้นว่า “ข้าให้เจ้าไปที่สำนักธาราเมฆ ส่วนหนึ่งก็เพื่อส่งโอสถวิเศษให้สวี่มู่ อีกส่วนเพื่อดูสถานการณ์ในสำนักธาราเมฆว่าเป็นอย่างไรบ้าง แล้วคำตอบที่เจ้าให้ข้าคืออะไร ทุกอย่างสงบเรียบร้อยดี นี่คือสิ่งที่เจ้าเรียกว่าเรียบร้อยดีอย่างนั้นเรอะ หลินเฮ่าอวี่เป็นบ้าวันเดียวกับที่เจ้ากลับมาเนี่ยนะ กู่อิ่ง นี่หรือที่เจ้าบอกว่าสงบเรียบร้อยดี”
สายตาของกู่อี้ยิ่งเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ ทันทีที่สิ้นเสียง เขาก็ตบหน้ากู่อิ่งทันที เสียงตบนั้นดังมาก ใบหน้าเรียบเนียนของกู่อิ่งขึ้นรอยฝ่ามือห้านิ้วสีแดงแจ๋ทันที!