ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 165 ฉีกกระชากและกลืนลงท้อง (3) ตอนที่ 166 ฉีกกระชากและกลืนลงท้อง (4)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 165 ฉีกกระชากและกลืนลงท้อง (3) ตอนที่ 166 ฉีกกระชากและกลืนลงท้อง (4)
ตอนที่ 165 ฉีกกระชากและกลืนลงท้อง (3)
ราชสีห์ทองคำยักษ์ที่ทรงพลังที่สุดของรัฐชี ถูกสัตว์ร้ายสีดำเขมือบลงท้องทีละนิด ในท้องพระโรงที่วุ่นวาย เหลือเพียงสัตว์ร้ายสีดำเท่านั้นที่ยังคงยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้นด้วยความอิ่มเอม มันเลียกรงเล็บที่แหลมคมของมันอย่างพึงพอใจ
สัตว์ร้ายสีดำส่ายหางแล้วเดินเข้าไปหาจวินอู๋เสียทีละก้าวๆ มันเปล่งเสียงร้องที่ทำให้ทุกคนที่ได้ยินตัวแทบทรุด
เมี้ยววว
ไม่เคยกินอิ่มเท่าวันนี้มาก่อนเลย!
“…” ทันทีที่ได้ยินเสียงสัตว์ร้ายสีดำร้องออกมา ความกลัวเมื่อครู่ที่ปกคลุมหัวใจของทุกคนก็หายไปในทันที
สัตว์ร้ายสีดำที่กลืนกินราชสีห์ทองคำยักษ์ได้อย่างง่ายดาย เสียงร้องของมันน่ารักเพียงนี้เชียวหรือ
ทันใดนั้นหัวใจของกลุ่มผู้คนที่ถูกพลังอันน่าเกรงขามของสัตว์ร้ายสีดำครอบงำได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“รู้สึกอย่างไรบ้าง” จวินอู๋เสียไม่รู้ว่าความแตกต่างที่ขัดกันของรูปลักษณ์และเสียงร้องของสัตว์ร้ายสีดำนั้นได้ทำลายหัวใจของทุกคนไปหมดแล้ว นางยกมือขึ้นลูบหัวของสัตว์ร้ายสีดำเบาๆ แล้วกวาดตาขึ้นลงพิจารณาดูว่าร่างกายของมันนั้นมีตรงไหนผิดแผกไปหรือไม่
เหมียววว
ไม่รู้สึกอะไรเลย แค่รู้สึกอิ่มมาก…พอใจมาก ข้าขอนอนพักสักครู่ได้หรือไม่
เจ้าสัตว์ร้ายสีดำที่กินจนอิ่มหนำรู้สึกง่วงนอนมากจนแทบจะยืนไม่ไหว
จวินอู๋เสียพยักหน้าเล็กน้อย สัตว์ร้ายสีดำก็วนรอบตัวนางรอบหนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นเงาสีดำเหมือนกับตอนที่มันปรากฏตัวขึ้นแล้วหายตัวไปต่อหน้าทุกคนอย่างไร้ร่องรอย
มั่วเฉี่ยนยวนกลืนน้ำลายลงคอดังอึก หลังจากเห็นภาพสัตว์ร้ายสีดำฉีกกระชากราชสีห์ทองคำยักษ์แล้ว เขาก็รู้สึกว่าการถูกสัตว์ร้ายสีดำเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้านั้น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องน่าอายอะไรเลย
อย่างน้อยเขาก็ไม่ถูกกิน!
การหายตัวไปของสัตว์ร้ายสีดำทำให้ท้องพระโรงที่วุ่นวายกลับมาสงบอีกครั้ง
มั่วเซวี่ยนเฝ่ยกรีดร้องเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บปวด เขาตกลงมาจากรถเข็นและทรุดตัวลงบนพื้นที่เย็นเฉียบพร้อมด้วยอาการกระตุก มือของเขาจับคอเสื้อของตัวเองไว้แน่น ทรมานเสียจนสีหน้าขาวซีด หยาดเหงื่อไหลลงมาจากร่างกายอย่างต่อเนื่อง เสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดก็ยิ่งยุ่งเหยิงมากขึ้น
ตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน พวกเขาไม่เคยได้ยินว่ามีใครสามารถดึงภูติวิญญาณออกจากร่างกายของเจ้าของได้ แต่เมื่อครู่ ภูติวิญญาณของมั่วเสวี่ยนเฝ่ยถูกสัตว์ร้ายสีดำของจวินอู๋เสียกลืนกินจนไม่เหลือซาก นั่นหมายความว่ามั่วเซวี่ยนเฝ่ยได้สูญเสียภูติวิญญาณไปแล้วใช่หรือไม่
สายตาของทุกคนในท้องพระโรงต่างมองไปที่วงแหวนที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยถือครองอยู่โดยไม่รู้ตัว แหวนสีทองที่แต่เดิมเป็นประกายวิบวับ บัดนี้มันกลายเป็นสีขุ่นคล้ายขึ้นสนิมและดูเก่ามาก ภายใต้การสั่นไม่หยุดของมั่วเซวี่ยนเฝ่ย รอยแตกเหมือนใยแมงมุมได้กระจายไปทั่ววงแหวนอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น วงแหวนที่เป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมต่อกับภูติวิญญาณก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ และตกลงไปบนพื้น
แหวนแห่งภูติวิญญาณ…แตกไปแล้ว!
ไม่มีใครเคยพบเห็นสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
หลังจากพิธีปลุกภูติวิญญาณเมื่ออายุครบสิบสี่ปีแล้ว ภูติวิญญาณก็จะติดตามอยู่ข้างกายผู้เป็นนายไปจนกว่าเจ้านายจะสิ้นสุดอายุขัยไป ภูติวิญญาณจึงจะสลายหายไป แล้ววงแหวนที่นิ้วก็จะค่อยๆ จางลงจนเลือนหายไปโดยสมบูรณ์ แหวนที่ติดอยู่ที่ปลายนิ้วก็จะหายไปอย่างสมบูรณ์เมื่อภูติวิญญาณสลายไปเท่านั้น จะไม่มีการแตกหักเช่นนี้
ผู้คนต่างคิดว่าภูติวิญญาณจะอ่อนแอมากเมื่อได้รับความเสียหายรุนแรง แต่มันจะไม่ตาย ตราบใดที่เจ้าของมันยังมีชีวิตอยู่ ภูติวิญญาณก็จะไม่ตาย แต่แค่หลับไปไม่ตื่นเท่านั้น
แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขาได้ล้มล้างความคิดทั้งหมดของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
ภูติวิญญาณไม่ตาย แต่พวกเขาจะถูกกลืนกิน
หลังจากถูกกลืนกิน ก็เท่ากับว่าตาย แหวนจะแตก ส่วนเจ้าของก็จะ…
มองดูมั่วเซวี่ยนเฝ่ยที่กระตุกอย่างต่อเนื่องด้วยความเจ็บปวดบนพื้น ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกใจกลัว และพวกเขาก็ไม่อยากลิ้มรสความรู้สึกของการที่ถูกผู้อื่นทำลายภูติวิญญาณของตัวเองแม้แต่น้อย เพียงแค่มอง…ก็รู้สึกว่าตายไปยังดีกว่ามีชีวิตอยู่
ตอนที่ 166 ฉีกกระชากและกลืนลงท้อง (4)
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปที่พื้นด้วยอาการสั่นระริก พระหทัยของพระองค์คล้ายถูกใครบางคนยื่นมือออกมาบีบไว้แน่น
พระองค์ไม่ปฏิเสธว่าตอนที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยเรียกราชสีห์ทองคำยักษ์ออกมา ในพระอุระของพระองค์ก็เต้นรัว ตะโกนร้องลั่นว่ารอดแล้ว ถ้าหากราชสีห์ทองคำยักษ์สามารถช่วยพวกเขาให้ออกจากการถูกปิดล้อมได้จริงๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
แต่เมื่อพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นภูติวิญญาณของลูกชายตัวเองถูกสัตว์ร้ายสีดำของจวินอู๋เสียกลืนลงไป หัวใจของพระองค์ก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
ปีศาจ
จวินอู๋เสียคือปีศาจชัดๆ
ฮ่องเต้ไม่อาจมองจวินอู๋เสียเป็นมนุษย์ธรรมดาได้อีกต่อไป นางอายุยังน้อย แต่นางสามารถคิดแผนการล้ำลึกที่แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังคิดไม่ได้ นอกจากนี้นางยังมีความกล้าหาญที่จะบังคับฮ่องเต้ให้สละราชสมบัติ แล้วยังมีสัตว์ร้ายสีดำตัวนั้นที่กลืนกินภูติวิญญาณได้อีก…
จวินอู๋เสียไม่ใช่มนุษย์ นางคือปีศาจ!
ฮ่องเต้ทรงรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งพระวรกาย หมุนตัวกลับไปนั่งบนบัลลังก์ด้วยฝีพระบาทที่สั่นเทา พระองค์ไม่กล้าตรัสอะไรอีก ไม่กล้าแม้แต่จะขอให้จวินอู๋เสียปล่อยตัวมั่วเซวี่ยนเฝ่ย
“ยกคนกลับไป” จวินอู๋เสียขมวดคิ้วและมองดูมั่วเซวี่ยนเฝ่ยที่ชักกระตุกจนน้ำลายเริ่มฟูมปาก นางยังไม่ทันทำอะไร เขาก็ไม่ไหวแล้ว!
ทหารของกองทัพรุ่ยหลินยกตัวมั่วเซวี่ยนเฝ่ยที่ชักไม่หยุดขึ้นบนรถเข็น ครั้งนี้มั่วเซวี่ยนเฝ่ยไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป ตาของเขาเหลือกค้างและมุมปากของเขาก็มีน้ำลายเป็นฟองสีขาวไหลออกมา ผิวหนังของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างน่าประหลาด
ภูติวิญญาณถูกทำลายอย่างรุนแรง ทำให้เกิดบาดแผลที่ลบล้างไม่ได้ต่อจิตวิญญาณของผู้เป็นนายซึ่งถือครองภูติวิญญาณนั้นอยู่
ไป๋อวิ๋นเซียนที่ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตกใจกลัวเป็นอย่างมาก นางพยายามขดตัวเข้าใกล้เสาเพื่อซ่อนตัวอยู่หลังเสาในท้องพระโรง ภาวนาอย่าให้จวินอู๋เสียเห็นตัวเอง
น่าเสียดาย จวินอู๋เสียจะลืมหญิงสาวที่เคย ‘ดูแล’ ท่านปู่ของนางได้อย่างไรกัน
เพียงแค่สายตา มั่วเฉี่ยนยวนก็เข้าใจความหมายของจวินอู๋เสียทันที เขาได้นำกองทหารรุ่ยหลินสองคนไปลากตัวไป๋อวิ๋นเซียนออกมาจากด้านหลังเสา โดยไม่สนใจเสียงกรีดร้องของนางและปิดปากนางด้วยผ้า เขาสั่งให้คนพาตัวนางไปไว้ที่มุมห้องหนึ่งเพื่อรอรับคำสั่ง
แผนการบังคับฮ่องเต้ให้ลงจากราชบัลลังก์มาถึงตอนนี้ก็ได้เวลาเริ่มตอนสำคัญกันแล้ว
รอยยิ้มอาฆาตบนใบหน้าของจวินอู๋เสียเลือนหายไป แทนที่ด้วยความเย็นชาสุดหยั่ง นางเดินไปหาฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรด้วยพระพักตร์ซีดขาวทีละก้าวๆ
“เจ้า…เจ้าอย่าเข้ามา…” ฮ่องเต้ซึ่งมีพระชนมพรรษาเกินครึ่งร้อยปีตกใจกลัวจนพระพักตร์เผือดสี พระองค์พยายามขดตัวหนีนางมารร้าย แต่ก็ไม่อาจหนีพ้นไปจากสายตาที่เย็นชาของจวินอู๋เสียได้เลย
“ข้ามีเพียงคำถามเดียวเท่านั้น” จวินอู๋เสียกล่าวอย่างเย็นชา
“เจ้าอยากถามอะไร” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปที่จวินอู๋เสียอย่างกังวลพระทัย
“การเสียชีวิตของท่านพ่อข้า และการบาดเจ็บของท่านอาเล็กของข้า เจ้าเป็นคนสั่งให้คนทำใช่หรือไม่” จวินอู๋เสียหรี่ตาลง และสายตาอันเย็นยะเยือกก็บังคับให้ฮ่องเต้ไม่กล้าตรัสวาจาโกหกออกมา
ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรมองจวินอู๋เสียด้วยพระวรกายที่สั่นเทิ้ม ดวงเนตรของพระองค์เต็มไปด้วยความกลัว
พระองค์ไม่กล้าตรัส…และตรัสไม่ได้…
ถ้าพระองค์ตรัสออกมา พระองค์ต้องตายแน่!
“ไม่ใช่…ไม่ใช่ข้า…”
จวินอู๋เสียมุมปากกระตุกอย่างเย็นชา และเข็มเงินห้าเล่มพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของนาง
“เจ้ารนหาที่เองนะ” ถึงตอนนี้เจ้าก็ยังไม่ยอมรับ แสดงว่าเจ้ารนหาที่ตายเอง!
การเสื่อมถอยของสกุลจวินนั้นไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างแน่นอน แม้ว่าจวินเสี่ยนและจวินชิงจะไม่ค่อยพูดกับนางเกี่ยวกับการเสียชีวิตของท่านพ่อ แต่นางก็คาดเดาได้จากคำพูดที่พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงว่าเป็นฝีมือของฮ่องเต้
เมื่อหมดประโยชน์แล้วก็กำจัดทิ้ง!
เมื่อใต้หล้าสงบลง ฮ่องเต้ก็เกิดความคิดที่จะกำจัดไปให้พ้น!
“เจ้าเขียนราชโองการประกาศสละราชสมบัติเอง” จวินอู๋เสียกล่าวกับมั่วเฉี่ยนยวน
มั่วเฉี่ยนยวนผงะไปครู่หนึ่ง เขาไม่เข้าใจว่าจวินอู๋เสียตั้งใจจะทำอะไร แต่วินาทีต่อมา ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาในท้องพระโรง ทำให้เขาตกใจจนหอกยาวในมือร่วงหล่นลงไปที่พื้น