ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 171 แย่งชิงจิตวิญญาณ (2) ตอนที่ 172 นี่คือการล่อลวง (1)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 171 แย่งชิงจิตวิญญาณ (2) ตอนที่ 172 นี่คือการล่อลวง (1)
ตอนที่ 171 แย่งชิงจิตวิญญาณ (2)
จวินอู๋เย่ากอดจวินอู๋เสียไม่ปล่อย เมื่อเห็นจวินอู๋เสียขมวดคิ้ว จึงขยับเข้าใกล้คอของนางแล้วกล่าวว่า “ถ้าเจ้าสนใจ ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง”
จวินอู๋เสียเอียงศีรษะเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงความใกล้ชิดของเขา แต่ไม่ได้ผล เพราะทั้งร่างกายของนางติดอยู่ในอ้อมแขนของเขา จะให้นางหลีกเลี่ยงอย่างไร
“พูดสิ” นางสงบสติอารมณ์ลง
“ภูติวิญญาณคือวิญญาณที่อาศัยอยู่ในโลกภูติวิญญาณ บางส่วนมาจากวิญญาณสัตว์ร้ายโบราณ และบางส่วนมาจากทหารเทพเจ้าโบราณ หลังจากร่างกายของพวกเขาสูญสลายไป วิญญาณของพวกเขาจะกลับสู่โลกภูติวิญญาณ และพวกเขาจะใช้ชีวิตต่อไปในโลกภูติวิญญาณในสถานะภูติวิญญาณ จนกว่าบุคคลแห่งโชคชะตาของพวกเขาจะปรากฏ พวกเขาจึงจะมาอยู่เคียงข้างและผสานเขากับจิตวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้น จนกว่าคนคนนั้นจะตาย ถึงมนุษย์จะตาย แต่ภูติวิญญาณจะไม่ตายตามไปด้วย หลังจากที่มนุษย์ตาย ภูติวิญญาณจะถูกส่งกลับสู่โลกภูติวิญญาณเหมือนเดิม เพื่อรอคอยบุคคลแห่งโชคชะตาคนต่อไป แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับเรื่องนี้…”
จวินอู๋เย่ามองใบหน้าด้านข้างของจวินอู๋เสีย และพบว่านางเริ่มคลายคิ้วที่ขมวดลงแล้ว ดวงตาของนางก็เริ่มจริงจังขึ้นมา จึงเกิดรอยยิ้มขึ้นในหัวใจ และกล่าวต่อว่า “หลังจากภูติวิญญาณผสานเข้ากับจิตวิญญาณของมนุษย์ แม้ว่าภูติวิญญาณจะไม่ตายเมื่อมนุษย์ตาย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่ถูกแยกออกจากกัน มีสถานที่บางแห่งที่คิดค้นวิธีการแยกภูติวิญญาณและจิตวิญญาณของมนุษย์ให้ออกจากกัน แย่งชิงภูติวิญญาณจากเจ้าของร่างและให้ภูติวิญญาณของตัวเองซึมซับเข้าไป”
“หลังจากที่ภูติวิญญาณออกจากโลกภูติวิญญาณ ความเร็วในการฝึกฝนพลังจะลดลงมาก หากต้องการจะเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะพลังของพวกเขา ก็ต้องหาสื่อกลางที่สามารถช่วยพัฒนาความแข็งแกร่งของพวกเขา หรือก็คือให้พวกเขากลืนภูติวิญญาณตนอื่นนั่นเอง”
จวินอู๋เสียหยุดชะงักไปชั่วครู่ และนางมั่นใจว่าอย่างน้อยคนในรัฐชีไม่มีผู้ใดรู้จักการวิธีนี้ และเมื่อสักครู่จวินอู๋เย่าก็ได้กล่าวแล้วว่า ‘นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาควรรู้’
“เสี่ยวเฮยยึดวิญญาณของภูติตนอื่นมาเหรอ” จวินอู๋เสียเอ่ยถาม
จวินอู๋เย่าส่ายหัว แนบใบหน้าลงบนเส้นผมของนาง และกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “การยึดวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่ภูติวิญญาณจะทำสำเร็จได้ด้วยตัวเอง เสี่ยวเฮยของเจ้าเป็นกรณีพิเศษ ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนว่ามีภูติวิญญาณแห่งสัตว์ร้ายตนใดสามารถแยกภูติวิญญาณและจิตวิญญาณของมนุษย์ให้ออกจากกันและกลืนกินภูติวิญญาณตัวอื่นได้ด้วยตัวเอง มันพิเศษมาก พิเศษเหมือนเจ้า”
“ขั้นตอนการยึดวิญญาณกลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นมาก แต่ก็ไม่ง่ายที่จะย่อยพลังของภูติวิญญาณตัวอื่นอย่างสมบูรณ์ โชคดีที่สิ่งที่มันกลืนกินในครั้งนี้เป็นเพียงภูติวิญญาณแห่งสัตว์ร้ายระดับห้า ถ้าเกินระดับเจ็ด เกรงว่าร่างกายของมันจะรับไม่ไหว”
“ระดับห้า? ระดับเจ็ด?” จวินอู๋เสียรู้สึกว่านางยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ
จวินอู๋เย่าหัวเราะออกมาเบาๆ และอธิบายให้นางฟังอย่างอดทน
“ระดับของภูติวิญญาณของพวกเจ้าในที่แห่งนี้ มีมากสุดได้แค่เจ็ดระดับเท่านั้น ดังนั้นความแตกต่างของแต่ล่ะระดับจึงไม่ชัดเจน ข้าจะบอกวิธีแยกแยะระดับของภูติวิญญาณให้เจ้าฟังในภายหลัง หากเสี่ยวเฮยของเจ้าสามารถซึมซับจิตวิญญาณของราชสีห์ทองคำยักษ์ได้สำเร็จ ระดับพลังของมันก็จะเพิ่มขึ้น”
จวินอู๋เสียกัดริมฝีปากตัวเอง นางรู้สึกว่าบนตัวของจวินอู๋เย่ามีความลับมากขึ้นเรื่อยๆ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพูดคำว่า ‘ที่แห่งนี้’ ออกมา
ราวกับว่าเขารู้ถึงความคิดของจวินอู๋เสีย จวินอู๋เย่าจึงยิ้มและกล่าวไปว่า “อย่ากังวลไปเลย ไม่ว่าข้าจะมาจากที่ใด ข้าก็จะไม่ทำร้ายเจ้า”
“เจ้าปล่อยข้าได้แล้ว” จวินอู๋เสียก้มศีรษะลงและมองดูแขนที่โอบรอบเอวนางไว้ คนนี้ก็ช่างแปลกเสียจริง ทุกครั้งที่เขาเห็นนางเขามักจะชอบกอดนางไว้เสมอ
จวินอู๋เสียไม่ได้ปฏิเสธท่าทางที่ใกล้ชิดแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ชอบมันเช่นกัน
ตอนที่ 172 นี่คือการล่อลวง (1)
ไม่ว่าจะทำอย่างไร จวินอู๋เย่าก็ไม่ยอมปล่อย เขายิ้มอย่างอันธพาลและกระชับแขนที่โอบรอบเอวของนางให้แน่นขึ้นเรื่อยๆ
“ช่างใจร้ายจริงๆ หลังจากใช้งานข้าเสร็จก็รีบผลักไสข้าเลยหรือ” หลังจากพูดคำนั้นออกมา เขาก็โยนแมวดำตัวน้อยในมือลงบนโต๊ะข้างๆ ขณะที่จวินอู๋เสียขมวดคิ้วมุ่น เขาก็อุ้มนางขึ้นมา
“เจ้าทำอะไร” ดวงตาของจวินอู๋เสียเป็นประกายเล็กน้อยยามเมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่หล่อเหลานั้น
“คนที่ได้รับบาดเจ็บต้องทายา” จวินอู๋เย่าชี้ไปที่รอยเลือดที่เสี่ยวเฮยข่วนทิ้งไว้บนแขนขาวเนียนของนาง
“ไม่จำเป็น”
“จำเป็น” จวินอู๋เย่ามองร่างเล็กในอ้อมแขนของเขาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“…” ไม่ว่านางจะเอ่ยอะไรเขาก็ไม่เคยฟังอยู่แล้ว
เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยหยุดดิ้น จวินอู๋เย่าก็อารมณ์ดีมาก มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างสดใส และอุ้มจวินอู๋เสียมานั่งที่ข้างเตียง ก่อนจะหยิบขวดยาห้ามเลือดออกมาจากกล่องไม้เล็กๆ ที่อยู่ใต้เตียงของนางอย่างคุ้นเคย
เนื้อครีมสีไข่มุกมีกลิ่นหอมจางๆ จวินอู๋เย่าพับแขนเสื้อของจวินอู๋เสียขึ้น แตะเนื้อครีมที่ปลายนิ้วของเขาแล้วทาลงบนบาดแผลของนางอย่างเบามือ
กรงเล็บแหลมคมของแมวดำตัวน้อยข่วนจนเป็นบาดแผลโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าบาดแผลจะไม่ลึก แต่ก็ดูขัดลูกตา ปลายนิ้วอุ่นๆ แตะเนื้อครีมที่เย็นแล้วทาลงบนบาดแผลที่มีเลือดซึมเล็กน้อย จวินอู๋เสียรู้สึกเจ็บเล็กน้อยตรงแขนและรู้สึกคันเล็กน้อยในใจ
จวินอู๋เสียก้มศีรษะลง มองดูชายคนนั้นทายาให้นางอย่างอดทน เขาไม่ปล่อยแม้แต่บาดแผลเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้
บาดแผลที่แขนทั้งสองข้างได้รับการทายาแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้แขนเสื้อโดนเนื้อครีมบนผิวหนัง จวินอู๋เย่าจึงไม่ได้พับแขนเสื้อของจวินอู๋เสียลงมา แต่จับมือเล็กๆ ของนางไว้บนฝ่ามือและเล่นปลายนิ้วที่อ่อนนุ่มของนาง
ทั้งนุ่มและเนียนมากจริงๆ
“ปล่อยข้าได้แล้ว” แผ่นหลังของจวินอู๋เสียแข็งทื่อเล็กน้อย ตอนนี้นางถูกจวินอู๋เย่ากอดจากด้านหลัง มือทั้งสองข้างของนางยังถูกจับด้วยมืออันใหญ่โตของเขา และร่างที่เล็กอยู่แล้วก็อยู่ภายใต้ร่างกายที่สูงใหญ่ของจวินอู๋เย่าจนแทบจะมองไม่เห็น
แผ่นหลังของนางติดกับหน้าอกของเขา และแผ่นหลังของนางก็สามารถสัมผัสได้ถึงความถี่ของการเต้นของหัวใจที่เต้นอยู่ใต้หน้าอกของเขาอย่างชัดเจน
จวินอู๋เย่าหัวเราะด้วยเสียงต่ำ ร่างกายที่แข็งทื่อของเจ้าตัวเล็กไม่สามารถหลบตาเขาได้
อย่างน้อยก็มีปฏิกิริยามิใช่หรือ
“เจ้านี่ช่างใจร้ายจริงๆ ข้าช่วยเจ้าไขข้อสงสัย แถมยังช่วยทายาให้เจ้า แต่เมื่อใช้ข้าเสร็จ เจ้าก็ไล่ข้าออกไปเลยหรือ เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์ล้างตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าทุกครั้งที่มาเจอเจ้า เฮ้อ…” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยราวกับว่าเขาไม่ได้รับความธรรมเลย แต่ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นกลับขยับเข้าใกล้คอของจวินอู๋เสียราวกับว่ากำลังออดอ้อน
“ไม่” จวินอู๋เสียรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย นางไม่เคยคิดที่จะเข้าใกล้จวินอู๋เย่า เพราะชายผู้นี้เต็มไปด้วยอันตรายและความลึกลับ ตั้งแต่แรกเริ่มนางจึงไม่ต้องการเข้าใกล้และยุ่งกับเขาเลย
ทั้งๆ ที่ต้องการให้ไปตามทางใครทางมัน แต่ทุกครั้งเขามักจะปรากฏตัวในเวลาที่เหมาะสมเสมอ
“ไม่อะไร เสี่ยวเสีย เจ้ารังเกียจข้ามากขนาดนี้เชียวหรือ” น้ำเสียงทุ้มต่ำที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยทำให้คนฟังรู้สึกกังวล
“ไม่…ได้เกลียด” จวินอู๋เสียไม่รู้จะทำอย่างไร นางไม่ได้โกรธจวินอู๋เย่าตั้งแต่แรก เพราะพวกเขาทั้งสองคนช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อออกจากหน้าผานั้น ฉะนั้นสำหรับนางแล้วไม่ชอบแต่ก็ไม่เกลียด
ยิ่งไปกว่านั้นคือจวินอู๋เย่าช่วยท่านปู่ของนางและมีพระคุณต่อนาง นางจะเกลียดผู้มีพระคุณของตัวเองได้อย่างไร