ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 225 ตบหน้าครั้งที่สาม (7) ตอนที่ 226 เคารพท่านในฐานะวีรบุรุษคนหนึ่ง (1)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 225 ตบหน้าครั้งที่สาม (7) ตอนที่ 226 เคารพท่านในฐานะวีรบุรุษคนหนึ่ง (1)
ตอนที่ 225 ตบหน้าครั้งที่สาม (7)
คำพูดของบัวหิมะมัวเมา ทำให้ใบหน้าของคนที่มาจากสำนักชิงอวิ๋นน่าเกลียดขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน แม้ว่ากองเศษชิ้นเนื้อที่อยู่บนพื้นนั้นจะไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา แต่หมัดของเขานั้นก็แข็งแกร่งและทรงพลังที่สุดในบรรดาศิษย์ทุกคนตรงนี้ แต่ก็นั่นแหละ ขนาดคนที่เชี่ยวชาญด้านการใช้หมัดมากที่สุดยังถูกทำลายลงด้วยการโจมตีของเด็กหนุ่มเพียงครั้งเดียว! กระดูกของเขาถูกบดขยี้จนแหลกละเอียด พวกเขาไม่อยากจะคิดเลยว่าหมัดของเด็กหนุ่มคนนี้ที่ปลดปล่อยออกมานั้นมันน่ากลัวเพียงใด!
แม้แต่ผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีเขียว ก็ไม่มีใครกล้ารับหมัดนั้นของบัวหิมะมัวเมา
แต่ภายใต้คำสั่งของจวินอู๋เสีย ต่อให้พวกเขาอยากจะหนีไปซ่อนไกลๆ บัวหิมะมัวเมาก็คงไม่ให้โอกาสนั้นกับพวกเขา!
เห็นเพียงแต่ว่าร่างของบัวหิมะมัวเมาหันไปโจมตีศิษย์อีกคนของสำนักชิงอวิ๋น ศิษย์คนนั้นก็กรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวสุดขีด “ฆ่าเขา! ท่านผู้อาวุโสเวิน! ฆ่าเขาเร็วเข้า!”
เมื่อชายคนนั้นตะโกน ผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีครามที่แข็งแกร่งซึ่งยืนนิ่งอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดก็หรี่ตาลง ขัดขืนดิ้นรนกับตัวเองอยู่ภายในใจ เขากับสำนักชิงอวิ๋นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกัน สาเหตุที่เขายอมตอบรับคำเชิญของสำนักชิงอวิ๋นและร่วมขบวนเดินทางมายังรัฐชีแห่งนี้ ก็เพราะเขามีเรื่องอยากขอให้สำนักชิงอวิ๋นช่วย อย่างไรก็ตามเมื่อเผชิญหน้ากับทหารกองทัพรุ่ยหลิน เขาไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร และแม้ว่าต่อมาสองพ่อลูกสกุลจวินจะสั่งการให้ทหารกองทัพรุ่ยหลินลงมือ แม้เขาจะเข้าแทรกแซงบ้าง แต่ก็ทำเพียงแค่ปลดปล่อยแรงกดดันออกมาเพื่อหยุดยั้งการโจมตีของอีกฝ่ายเท่านั้น ไม่ได้เคลื่อนไหวเข้าปะทะกับจวนหลินอ๋องอย่างจริงจัง การที่เขาไม่ลงมือ ไม่ใช่ว่าเขาทำไม่ได้แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากทำ
ผู้ที่สามารถบ่มเพาะมาจนถึงระดับพลังวิญญาณขั้นสีครามได้นั้น ไม่ว่าจะในแง่ของพรสวรรค์หรือว่าจิตสำนึกก็ล้วนแต่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปมาก
เขามีชีวิตอยู่มาเกือบร้อยปีแล้ว ผ่านโลกมามาก อาจกล่าวได้ว่ามองทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกเฉยชาไปแล้ว สำหรับชื่อเสียงของสกุลจวินเขาก็เคยได้ยินผ่านหูอยู่ ความแข็งแกร่งเล็กๆ น้อยๆ ของสกุลจวินย่อมไม่อยู่ในสายตาของเขา แต่ความซื่อสัตย์และซื่อตรงของคนตระกูลนี้ทำให้เขาชื่นชมเป็นอย่างมาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่เต็มใจที่จะเคลื่อนไหว
หากศิษย์สำนักชิงอวิ๋นสามารถจัดการปัญหาเองได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาก็จะทำเพียงเฝ้ามองและไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง แต่สถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของบัวหิมะมัวเมาและเจ้าสัตว์ร้ายสีดำ ศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นสองคนถูกฆ่าตายระหว่างการต่อสู้ ส่วนคนที่เหลือที่ถูกเชิญมาก็ยังคงติดอยู่ท่ามกลางศึกกับเจ้าสัตว์ร้ายสีดำ ดูจากฝีมือของหนึ่งคนและหนึ่งสัตว์อสูร ก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร
ลงมือหรือไม่ลงมือดี?
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คิดถึงอาการบาดเจ็บของคนที่บ้านแล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
เขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้ที่ออกคำสั่งให้เด็กหนุ่มและสัตว์ร้ายสีดำโจมตีนั้น แท้จริงแล้วก็คือเด็กหญิงตัวเล็กๆ จากสกุลจวินที่ยืนห่างออกไปตรงนั้น
“ส่งมอบหยกวิญญาณออกมาเสีย แล้วทุกอย่างจะจบลงแค่นี้” เขาพูดกับจวินอู๋เสีย
จวินอู๋เสียแค่นเสียงหึเย็นชา ก้าวขึ้นไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “ทำร้ายคนในครอบครัวของข้า ดูถูกเหยียบย่ำชื่อเสียงสกุลจวินของข้าแล้วก็มาพูดว่าให้มันจบลงแค่นี้หรือ ไม่ง่ายแบบนั้นหรอก! ข้าขอประกาศไว้ตรงนี้เลย ไม่เพียงศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นเท่านั้นที่จะต้องตายที่นี่ แต่พวกที่ร่วมขบวนมากับพวกมันทุกคนจะไม่มีใครรอดชีวิตออกไปจากรัฐชีได้แม้แต่คนเดียว และเมื่อข้าปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูสำนักชิงอวิ๋น ข้าจะล้างสถานที่แห่งนั้นด้วยเลือด!”
ผู้ที่มีพลังวิญญาณระดับขั้นสีครามมองไปที่จวินอู่สียด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง แววตาที่เย็นเยียบนั้น บรรยากาศรอบตัวที่กดดันและทรงพลัง ไม่คิดว่าเขาจะได้เห็นมันบนตัวของเด็กสาวตัวเล็กๆ ผู้หนึ่ง คำพูดที่เย่อหยิ่งบ้าคลั่งแบบนั้น นางกล้ามากที่พูดมันออกมา!
คิดล้มล้างสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินนี้? สาวน้อยคนนี้จะโอหังเกินไปหน่อยแล้ว!
“คนรุ่นเยาว์ที่โง่เขลาเอ๋ย เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร” ผู้ที่มีพลังวิญญาณขั้นสีครามขมวดคิ้วเล็กน้อย
จวินอู๋เสียตอบกลับไปอย่างเย็นชาว่า “ท่านน่าจะไปถามสำนักชิงอวิ๋นมากกว่านะว่าพวกเขารู้หรือไม่ว่ากำลังเผชิญหน้ากับใครอยู่”
กล่าวจบ จวินอู๋เสียก็สำทับออกไปอีกประโยคว่า “ข้าจะให้อภัยท่านที่ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร ท่านจากไปเสียแต่ตอนนี้เถิด ข้าจะไว้ชีวิตท่านสักครั้ง แต่หากท่านกล้าทำร้ายท่านอาเล็กกับท่านปู่ของข้า เช่นนั้นก็จงรอรับความตายซะ”
ผู้ที่มีพลังวิญญาณขั้นสีครามถึงกับสั่นเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าสักวันหนึ่งจะถูกสาวน้อยที่มีระดับพลังเพียงขั้นสีส้มกดดันเช่นนี้
ในขณะที่เขากำลังตกใจนั้นเอง บัวหิมะมัวเมาก็จัดการเปลี่ยนลูกศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นให้กลายเป็นกองเนื้อบดอีกครั้ง!
ตอนที่ 226 เคารพท่านในฐานะวีรบุรุษคนหนึ่ง (1)
ในขณะนั้น ใบหน้าของผู้ที่มีพลังวิญญาณขั้นสีครามกลายเป็นซีดขาวทันที ศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นถูกฆ่าต่อหน้าต่อตาเขาไปถึงสามคนแล้ว และศิษย์คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็กำลังต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากการโจมตีของเจ้าสัตว์ร้ายสีดำ สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือเด็กหนุ่มคนนั้นในชุดอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ดูเหมือนจะเล็งเป้าไปที่ผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีเขียวภายใต้การดูแลคุ้มครองของคนที่มีชื่อว่าท่านผู้อาวุโสเวินแล้ว และดูจากวิธีการลงมือที่โหดร้ายป่าเถื่อนไร้ซึ่งความลังเล ราวกับว่าสำหรับเขาแล้วผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีเขียวกับผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีน้ำเงินไม่มีความแตกต่างกันเลยอย่างไรอย่างนั้น!
เมื่อพิจารณาดูจากความสามารถของเด็กหนุ่มที่แสดงออกมา อย่าว่าแต่ผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีน้ำเงินเลย เกรงว่าผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีครามเช่นเขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย!
เจ้าปีศาจร้ายตัวนี้มันกระโดดออกมาจากที่ไหนกัน!
ผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีคราม ไม่ได้เอะใจเลยสักนิดว่าแท้จริงแล้วบัวหิมะมัวเมาก็คือภูติวิญญาณ!
ในโลกนี้มีภูติวิญญาณที่ผู้คนรู้จักกันดีอยู่สองประเภทเท่านั้น นั่นคือภูติวิญญาณประเภทอาวุธกับภูติวิญญาณประเภทสัตว์ร้าย คงไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กหนุ่มที่รูปงามคนนี้ จะเป็นภูติวิญญาณประเภทพฤกษาที่จำแลงกายมา! นอกจากนี้บัวหิมะมัวเมายังสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้อีก
เมื่อพิจารณาจากอายุของบัวหิมะมัวเมาที่ปรากฏออกมาให้เห็น เขาดูเหมือนเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี เนื่องจากพลังวิญญาณของเขาไม่ได้ถูกปลดปล่อยออกมายามต่อสู้ จึงทำให้คาดเดาความแข็งแกร่งที่แท้จริงของ ‘เด็กหนุ่ม’ คนนี้ได้ยาก
ภายใต้วงล้อมของผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีน้ำเงินหลายคนที่ร่วมมือกันโจมตี เด็กหนุ่มก็ดูเหมือนจะยังรับมือได้อย่างสบายๆ นี่เขาคงไม่ใช่ผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีครามเหมือนกันใช่หรือไม่
เป็นไปไม่ได้!
ผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีครามในวัยสิบกว่าปี…เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด!
“เวินซินหัน! นี่เจ้าคิดจะรอไปจนถึงเมื่อไหร่กัน! หากพวกเราตายหมด เจ้าจะตอบคำถามสำนักชิงอวิ๋นว่าอย่างไรหา เจ้ายังอยากจะช่วยชีวิตหลานชายของเจ้าอยู่หรือไม่!” ผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีน้ำเงินหลายคนที่ถูกบัวหิมะมัวกดดัน ไม่อาจต้านทานความแข็งแกร่งของบัวหิมะมัวเมาไว้ได้อีกต่อไป จึงตะโกนไปทางเวินซินหันที่เป็นผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีครามที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา พวกเขาไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มที่ไหนทรงพลังเช่นนี้มาก่อนเลย พลังต่อสู้ของเขาเทียบเท่ากับผู้มีพลังวิญญาณขั้นสีน้ำเงิน ไม่สิเผลอๆ เจ้าเด็กนี่อาจจะเหนือกว่านั้นเสียอีก เนื่องจากเขาสามารถรับมือกับพวกเขาทีเดียวพร้อมกันทั้งห้าคน แถมยังปัดป้องการโจมตีของพวกเขาได้หมดอีกด้วย
มีผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีครามเพียงคนเดียวในหมู่พวกเขา นั่นก็คือเวินซินหัน แต่อีกฝ่ายก็มัวแต่ยืดยาดไม่ยอมลงมือเสียที
“เขาคือเวินซินหันรึ” จวินเสี่ยนที่กำลังรักษาบาดแผลอยู่ที่ด้านข้างตกตะลึงเมื่อได้ยินชื่อนั้น ดวงตาของเขาเบิกกว้าง มองไปที่ผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีครามที่อยู่ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
“ท่านพ่อ ท่านรู้จักเขาหรือขอรับ” จวินชิงถามด้วยความสงสัย
จวินเสี่ยนขมวดคิ้วและพูดว่า “รู้จักสิ เขาคืออัจฉริยะของรัฐเยี่ยน เมื่ออายุยี่สิบปีก็มีพลังวิญญาณอยู่ในขั้นสีเหลืองแล้ว! บิดาเป็นขุนนางในราชสำนักของรัฐเยี่ยน แต่ก็ถูกฮ่องเต้สั่งประหารทั้งตระกูล เขาเป็นเพียงคนเดียวที่หนีรอดมาได้ นับจากนั้นมาชื่อเสียงของเขาก็หายไปจากโลกใบนี้ ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ สกุลเวินจงรักภักดีต่อราชวงศ์มาก และไม่ได้ด้อยไปกว่าสกุลจวินของพวกเราเลย สมัยที่ข้ายังเด็กข้าได้ฟังเรื่องราวของสกุลเวินมาไม่น้อย”
กล่าวจบ จวินเสี่ยนก็หันไปมองจวินอู๋เสียที่อยู่ข้างๆ “อู๋เสียเอ๋ย อย่าแตะต้องเวินซินหัน เขาไม่ได้ลงมือกับพวกเรา ที่เขาทำไปก็เพราะต้องการช่วยเหลือครอบครัวของเขาที่เหลืออยู่ก็เท่านั้น ข้าเชื่อในสกุลเวิน เชื่อว่าพวกเขาไม่ได้มีนิสัยที่ชั่วร้าย”
ในระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ เวินซินหันไม่ได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้จริงๆ เขาแทบจะไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ เลย หากผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีครามเช่นเขากระโดดเข้ามาร่วมวงต่อสู้ด้วย สองพ่อลูกสกุลจวินคงจะตายไปนานแล้ว คงไม่ได้มาอยู่ตรงหน้าจวินอู๋เสียเหมือนอย่างตอนนี้หรอก
จวินอู๋เสียมองไปที่จวินเสี่ยน ไม่ใช่ว่านางจะไม่เห็นความขัดแย้งในดวงตาของเวินซินหัน แต่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนางเล่า ถ้าเขาทำตัวเป็นเพียงผู้ชมเหตุการณ์ นางจะไว้ชีวิตเขาก็ได้ แต่หากเขาร่วมมือกับสำนักชิงอวิ๋น นางก็ไม่คิดจะเก็บเขาไว้
แต่ตอนนี้ในเมื่อจวินเสี่ยนเอ่ยปากขอนาง จวินอู๋เสียก็ไม่ลังเลใจอีก
ในเมื่อท่านปู่ของนางมีเมตตา นางก็จะทำตาม
เห็นเวินซินหันที่กำลังเตรียมพร้อมจะเข้าร่วมต่อสู้ จวินอู๋เสียก็พูดโพล่งออกไปว่า “ท่านผู้อาวุโสเวิน เพราะท่านสิ้นหวังต้องการขอความช่วยเหลือจากสำนักชิงอวิ๋นใช่หรือไม่ จึงต้องร่วมลุยน้ำโคลนไปกับพวกเขาด้วย ตอนนี้ข้ามีทางเลือกใหม่สำหรับท่าน ไม่ทราบว่าท่านสนใจหรือเปล่า”
เวินซินหันชะงักไปทันที มองไปที่จวินอู๋เสีย
จวินอู๋เสียยกมือขึ้น โยนขวดกระเบื้องเคลือบที่บรรจุโอสถวิเศษไปทางเวินซินหัน เขายกมือขึ้นแล้วรับมันไว้ในมือ
“ตราบเท่าที่คนที่ท่านต้องการจะช่วยยังมีลมหายใจอยู่แม้จะเป็นเฮือกสุดท้าย เขาก็จะไม่ตายอย่างแน่นอน! เม็ดยานี้จะช่วยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ท่านจะต้องไม่ช่วยพวกเขาต่อสู้ หากท่านช่วยคนพวกนั้น เช่นนั้นก็จงเตรียมใจทิ้งชีวิตไว้ที่นี่เถอะ” จวินอู๋เสียหรี่ตาลงเล็กน้อย