ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 229 การเปลี่ยนแปลง (1) ตอนที่ 230 การเปลี่ยนแปลง (2)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 229 การเปลี่ยนแปลง (1) ตอนที่ 230 การเปลี่ยนแปลง (2)
ตอนที่ 229 การเปลี่ยนแปลง (1)
กลิ่นคาวเลือดฉุนกึกคลุ้งกระจายไปทั่วท้องพระโรงของวังหลวง ฉินอวี่เยียนนั่งอยู่บนบัลลังก์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของฮ่องเต้ ใบหน้าที่งดงามของนางแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนมีเมตตา แต่รอยยิ้มนั้นหาได้ไปถึงดวงตาของนางไม่
ด้านล่างท้องพระโรง กลุ่มศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นที่นำโดยเจียงเฉินชิงนั่งอยู่ด้านข้าง พวกเขาหัวเราะเยาะ มองดูร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่บัดนี้นอนขดตัวงอด้วยความทุกข์ทรมานบนพื้นอย่างสนุกสนาน
อาภรณ์บนร่างของบุรุษผู้นั้นขาดรุ่งริ่ง ผมเผ้าของเขาก็ยุ่งเหยิง ตามเนื้อตามตัวของเขามีบาดแผลเล็กใหญ่นับไม่ถ้วน โลหิตสีแดงสดค่อยๆ ไหลออกมาจากบาดแผลหยดลงสู่พื้นหินอ่อนประณีต แผ่นหลังที่เคยตั้งตรงเปี่ยมไปด้วยความงามสง่าของเขา บัดนี้มีแต่งองุ้มสั่นเทาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเกินจะบรรยาย
เหล่านางกำนัลและขันทีที่หลบซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของท้องพระโรง มองฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยแววตาสยดสยองจับจิต พวกเขาไม่เคยคิดฝันเลยว่าสักวันหนึ่งจะได้มาเป็นประจักษ์พยานยืนมองความโหดร้ายเต็มๆ ตาแบบนี้
“ฝ่าบาท เจ้ายังไม่ยอมบอกที่อยู่ของหยกวิญญาณแก่พวกเราอีกหรือ เหตุใดต้องทรมานตัวเองเช่นนี้ด้วย แต่เดิมสำนักชิงอวิ๋นของพวกเรากับรัฐชีก็เป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน ทำไมเจ้าถึงทำเรื่องให้มันน่ารำคาญเช่นนี้นะ” ฉินอวี่เยียนนั่งอยู่บนบัลลังก์แล้วถอนหายใจออกมาคล้ายจนใจ มองร่างที่เป็นอัมพาตบนพื้นราวกับมองสุนัขที่ตายไปแล้ว
มั่วเฉี่ยนยวน คือฮ่องเต้ของรัฐชีพระองค์ใหม่ที่เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ได้ไม่นาน เดิมทีเขาควรได้รับการยกย่องชื่นชมจากผู้คนนับหมื่นแสน ไม่ใช่ต้องมาถูกทรมานกลางท้องพระโรงแบบนี้
ในเวลานี้ เขาไม่มีเรี่ยวแรงใดๆ หลงเหลืออยู่แล้ว ตอนนี้เขาทำได้เพียงแต่หอบหายใจอย่างรวยรินบนพื้นท้องพระโรงที่หนาวเหน็บ บนใบหน้าที่หล่อเหลานั้น มีรอยแผลใหญ่ที่น่าสยดสยองถึงสองรอยลากยาวไขว้กันจากมุมคิ้วซ้ายขวาลามไปจนถึงขากรรไกรด้านล่าง บาดแผลยังคงมีเลือดไหลไม่หยุด แต่มั่วเฉี่ยนยวนเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดนั้นไปแล้ว เพราะเวลานี้ภายในร่างกายของเขามันทั้งแสบร้อนและทรมานราวกับถูกควักด้วยมีดครั้งแล้วครั้งเล่า เจ็บจนแทบสิ้นสติ
แต่มั่วเฉี่ยนยวนรู้ว่าตัวเขาจะไม่หมดสติไป
เขาจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดนี้มานานแค่ไหนแล้ว สิ่งเดียวที่เขาจำได้คือคนของสำนักชิงอวิ๋นจู่ๆ ก็บุกเข้ามาในท้องพระโรงแล้วขับไล่ขุนนางทั้งหมดออกไป จากนั้นก็ปิดประตูท้องพระโรงแล้วลากเขาลงมาจากบัลลังก์ บังคับให้เขากลืนยาพิษที่ไม่รู้จักลงท้อง
นับแต่นั้นมาความเจ็บปวดทุกข์ทรมานไร้ที่สิ้นสุดก็เริ่มกัดกินเขา…
เขาถูกตัดเส้นเอ็นที่มือและเท้าจนเกือบหมด กระดูกสันหลังก็ถูกดัดจนหัก ร่างกายส่วนล่างไม่รู้เลยว่ารับใบมีดไปกี่ครั้งแล้ว ทั้งๆ ที่ร่างกายเจ็บปวดเจียนตาย แต่เขาก็ยังไม่หมดสติไปและยังประคองสติสัมปชัญญะไว้ได้และรับรู้ถึงความเจ็บปวดเหล่านั้นตลอด เขามารู้ทีหลังว่าแท้จริงแล้วที่เขาเป็นเช่นนี้ก็เพราะยาพิษที่ถูกจับกรอกปากในตอนแรกนั่นเอง คนของสำนักชิงอวิ๋นบอกเขาว่า เขาจะไม่มีวันหมดสติไป แม้ว่าร่างกายจะเจ็บปวดจนแทบร้องหาความตายก็ตาม
มั่วเฉี่ยนยวนอยากจะหัวเราะเยาะให้กับความไร้เดียงสาของตัวเอง หัวเราะเยาะให้กับความโง่เขลาของเขาเอง ที่ทุกอย่างมันลงเอยเช่นนี้ ก็เป็นเพราะความเมตตาที่โง่เขลาของตัวเองในวันนั้นไม่ใช่หรือ
ถ้าหากเขาเชื่อฟังคำพูดของจวินอู๋เสียแต่แรกและชิงลงมือกับสำนักชิงอวิ๋นก่อน เขาก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้
แต่ว่า เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยจริงๆ ว่าสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่ขึ้นชื่อเรื่องการรักษาและการแพทย์ จะโหดเหี้ยมเลวทรามขนาดนี้ ถึงกับเห็นการทรมานผู้อื่นเป็นเรื่องสนุก
เมื่อก่อนเขาคิดว่าจวินอู๋เสียโหดเหี้ยม แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่สำนักชิงอวิ๋นทำแล้ว จวินอู๋เสียก็ไม่ต่างอะไรจากเทพธิดาน้อยๆ เลย
อย่างน้อยจวินอู๋เสียก็ไม่เคยลงมือเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์
นี่สินะ สิ่งที่จวินอู๋เสียเดิมพันไว้กับเขา
เดิมพันว่าสำนักชิงอวิ๋นจะเลือกรักษาชื่อเสียงที่ดีงามของสำนักไว้หรือไม่ และฉินอวี่เยียนจะใช่คุณหนูผู้แสนอ่อนโยนและเข้าใจเหตุผลเหมือนกับที่เขาคิดไว้หรือเปล่า
มั่วเฉี่ยนยวนกลืนก้อนโลหิตลงคอไป เขาขยับมุมปากเล็กน้อยด้วยความยากลำบาก ความเมตตาสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ในแววตาเลือนหายไปในที่สุด
“ยังไม่ยอมพูดออกมาอีกหรือ” ฉินอวี่เยียนจับคางของตัวเอง มองไปที่มั่วเฉี่ยนยวนที่ยังคงนิ่งเงียบไม่ยอมปริปากสักคำ ไม่คิดเลย ว่าฮ่องเต้รัฐเล็กๆ แห่งนี้จะกล้าหลอกลวงนาง
ตอนที่ 230 การเปลี่ยนแปลง (2)
ทั้งสุสานหลวงและสุสานสกุลจวินนางล้วนไปมาหมดแล้ว แทบจะพลิกแผ่นดินหา แต่นางกลับไม่พบเจอร่องรอยของหยกวิญญาณเลย
ฉินอวี่เยียนถึงตระหนักได้ว่ามั่วเฉี่ยนยวนหลอกนาง
ราคาของการหลอกลวงสำนักชิงอวิ๋น ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะสามารถจ่ายมันได้
นางจะไม่ฆ่ามั่วเฉี่ยนยวน นางจะเก็บชีวิตของเขาไว้ และเมื่อนางได้ที่อยู่ของหยกวิญญาณมาแล้ว นางจะพาตัวเขากลับไปที่สำนักชิงอวิ๋นด้วยแล้ว ตัดมือตัดเท้าของเขาออก จากนั้นค่อยแช่เขาใส่ลงไปโหลยาพิษ ให้เขาถูกทรมานด้วยพิษทุกคืนวันมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย
นี่ก็คือผลลัพธ์ของการหลอกลวงสำนักชิงอวิ๋น!
“อวิ๋นเซียน” ฉินอวี่เยียนจู่ๆ ก็พูดออกไป ไป๋อวิ๋นเซียนที่ยืนทำตัวเป็นอากาศธาตุอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีขาวทันที นางรีบคุกเข่าลงต่อหน้าฉินอวี่เยียนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์
“ศิษย์พี่หญิง ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ! ข้าไม่กล้าทำเรื่องไร้สาระแบบนี้อีกแล้ว” เหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาจากร่างกายของไป๋อวิ๋นเซียนไม่หยุด คนภายนอกมักจะสับสนและถูกรูปลักษณ์ที่อ่อนโยนอ่อนหวานของฉินอวี่เยียนหลอกลวงเสมอ แต่นั่นไม่ใช่กับศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋น ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าใต้หน้ากาก ‘เปี่ยมความเมตตา’ ของฉินอวี่เยียนซุกซ่อนความร้ายกาจและสยดสยองไว้เพียงใด
คุณหนูใหญ่แห่งสำนักชิงอวิ๋นที่ภายนอกดูชดช้อย มีกิริยาเรียบร้อยอ่อนน้อมถ่อมตน แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงวิญญาณชั่วตนหนึ่ง!
สิ่งที่ฉินอวี่เยียนถนัดมากที่สุดไม่ใช่ทักษะการแพทย์ แต่เป็นการสร้างยาพิษ!
ในเรือนพักด้านหลังของฉินอวี่เยียน มีการเก็บโอ่งและโหลขนาดใหญ่ไว้หลายสิบใบ แต่ละใบล้วนบรรจุพิษร้ายที่หญิงสาวสร้างมันขึ้นมาเอง นอกจากนี้ในโอ่งเหล่านั้น ทุกใบจะใส่ร่างของคนที่เคยทำให้ฉินอวี่เยียนไม่พอใจเอาไว้ด้วย ร่างเหล่านั้นที่ถูกตัดแขนตัดขา ควักลูกตา และตัดลิ้นออก จะถูกยัดใส่เข้าไปเพื่อใช้ทดสอบพิษต่างๆ กล่าวได้ว่าใครก็ตามที่ทำให้ฉินอวี่เยียนรู้สึกขัดหูขัดตา ล้วนมีจุดจบที่ตายดีกว่าอยู่ด้วยกันทั้งนั้น
แม้แต่ไป๋อวิ๋นเซียนที่มีฐานะเป็นถึงศิษย์เอกของเจ้าสำนักชิงอวิ๋น ก็ยังหวาดกลัวฉินอวี่เยียนจนหัวหด!
สตรีนางนี้ลงมือไม่เคยมีความปรานี ขนาดศิษย์สำนักชิงอวิ๋นด้วยกันเอง หากยั่วยุนางก็ต้องมีจุดจบอย่างเดียวกันนี้!
ฉินอวี่เยียนส่งยิ้ม มองไปที่ไป๋อวิ๋นเซียนที่กำลังหลั่งเหงื่อเย็นมือไม้สั่นระริกไปหมดแล้วโบกมือ ศิษย์สองคนจากสำนักชิงอวิ๋นก็ผลักรถเข็นเข้ามาในท้องพระโรง คนที่นั่งอยู่บนรถเข็นคือมั่วเซวี่ยนเฝ่ยที่มีสภาพครึ่งคนครึ่งผีอัปลักษณ์อย่างถึงที่สุด
“ในเมื่อเจ้ารู้ความผิดพลาดของตัวเองแล้ว เช่นนั้นต้องทำอย่างไรต่อคงไม่ต้องให้ข้าพูดมากกระมัง เจ้าเป็นศิษย์น้องของข้า และก็เป็นศิษย์ที่ท่านพ่อข้าตั้งความหวังกับเจ้าไว้สูงมาก การที่เจ้ามามีความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนกับอ๋องรัฐเล็กๆ อย่างนี้ เจ้าคิดว่าท่านพ่อข้าจะอยากเห็นผลลัพธ์เช่นนี้หรือไม่เล่า” กล่าวจบ ฉินอวี่เยียนก็โยนกริชลงไปตรงหน้าไป๋อวิ๋นเซียน “ฆ่าเขาซะ แล้วตามข้ากลับไปรับโทษที่สำนัก”
ไป๋อวิ๋นเซียนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง มองดูกริชที่ถูกโยนลงมาตรงหน้าด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา นางลังเลชั่วครู่ ก่อนจะหยิบกริชนั้นขึ้นมาอย่างสั่นๆ และเดินเข้าไปหามั่วเซวี่ยนเฝ่ยด้วยสติที่เลือนรางไม่ชัดเจน
บุรุษรูปงามผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยสูงส่ง ช่างเอาอกเอาใจ มาบัดนี้ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นกลับมีแต่เศษชิ้นเนื้อที่เน่าเฟะ ไม่หลงเหลือความงดงามและสูงศักดิ์อีกต่อไป กลิ่นเหม็นเน่าน่ารังเกียจลอยโชยออกมาจากร่างของเขาทำเอาสะอิดสะเอียนแทบจะอาเจียนออกมา
“ตัดใจทำไม่ลงรึ” ฉินอวี่เยียนถามขณะที่มองดูไป๋อวิ๋นเซียน
“เปล่าเจ้าค่ะ” ไป๋อวิ๋นเซียนสะดุ้งเล็กน้อย ถ้าจะบอกว่าที่ผ่านมาระหว่างนางและมั่วเซวี่ยนเฝ่ยมีความรักอยู่บ้างเล็กน้อย แต่หลังจากที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยตกต่ำลง ไป๋อวิ๋นเซียนก็ไม่มีความคิดนั้นอีก
ฆ่าเขา แล้วศิษย์พี่หญิงก็จะปล่อยนางไป
โดยไม่หลงเหลือความลังเลใจใดๆ อีก ไป๋อวิ๋นเซียนยกกกริชขึ้นแล้วแทงลงไปที่หน้าอกของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยอย่างแรง มั่วเซวี่ยนเฝ่ยที่สะลึมสะลือไม่ได้สติมาเป็นเวลานาน วินาทีนั้นคล้ายกับจะมีสติชัดเจนขึ้น เขาเบิกตากว้าง มองไป๋อวิ๋นเซียนที่แทงกริชลงมาที่หน้าอกของตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ ในแววตาของเขาเผยให้เห็นถึงความเกลียดชังและไม่ยินยอม
“ข้าไม่มีทางเลือก ท่านตาย ดีกว่าข้าต้องตาย” เสียงของไป๋อวิ๋นเซียนกระซิบลอดผ่านไรฟัน นางมองดูมั่วเซวี่ยนเฝ่ยสูดลมหายใจสุดท้ายก่อนที่มันจะขาดห้วงไป ไป๋อวิ๋นเซียนเดินไปคุกเข่าลงต่อหน้าฉินอวี่เยียน
“ศิษย์พี่หญิง เขาตายแล้วเจ้าค่ะ”