ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 269 ฝันดีหรือว่าฝันร้าย (1) ตอนที่ 270 ฝันดีหรือว่าฝันร้าย (2)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 269 ฝันดีหรือว่าฝันร้าย (1) ตอนที่ 270 ฝันดีหรือว่าฝันร้าย (2)
ตอนที่ 269 ฝันดีหรือว่าฝันร้าย (1)
“เจ้านาย กลิ่นที่นี่มันน่ารังเกียจมาก” กลุ่มหมอกสีดำพุ่งออกมาจากร่างของจวินอู๋เสียแล้วกลายเป็นแมวดำตัวน้อยที่แสนชาญฉลาด มันกระโดดขึ้นไปบนเตียงนุ่มๆ แล้วสะบัดหางที่มีขนยาวของมันไปมาราวกับต้องการขจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ในอากาศเหล่านั้นให้หายไป
“แค่ตายเยอะหน่อยก็เท่านั้น” จวินอู๋เสียไม่ได้จริงจังกับมันมากนัก ด้วยนางคุ้นเคยกับบรรยากาศแบบนี้ดี ซากศพที่เน่าเปื่อยที่ถูกฝังไปทั่วใต้พื้นเหล่านี้ ดูท่าว่ายอดเขาเร้นเมฆาที่มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดนี้ จะเป็นนรกบนดินจริงๆ
“ดูก็รู้แล้วว่าไอ้เจ้าตัวอัปลักษณ์นั่นไม่ใช่ตัวดีอะไร” แมวดำตัวน้อยซึ่งซ่อนตัวอยู่ในร่างของจวินอู๋เสีย มองเห็นเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ มันย่อมไม่ถูกโฉลกกับเคอฉังจวี รู้สึกเกลียดขี้หน้าอีกฝ่ายที่มาทำให้แผนการเจ้านายของมันพัง
จวินอู๋เสียไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ
นอกจากศิษย์ของยอดเขาเร้นเมฆาคนนั้นที่ช่วยนำทางกลุ่มเด็กใหม่ขึ้นมาบนยอดเขาในตอนแรก ศิษย์คนอื่นๆ ของยอดเขาเร้นเมฆาก็ไม่มีใครสนใจกลุ่มเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาแม้แต่น้อย กลุ่มคนหนุ่มสาวที่แต่เดิมทั้งตื่นเต้นและรู้สึกแปลกใหม่กับสถานที่แห่งนี้ จึงทำได้เพียงนั่งยองๆ อยู่ในลานพักศิษย์อย่างเงียบๆ ตลอดทั้งบ่าย ไม่มีใครกล้าวิ่งพล่านไปทั่วหรือเคลื่อนไหวโดยพลการ พวกเขาหวงแหนโอกาสนี้มากจริงๆ
จวบจนเมื่อพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ลูกศิษย์บางคนของยอดเขาเร้นเมฆาที่ออกไปทำธุระด้านนอกก็ทยอยกลับเข้ามา กลุ่มศิษย์ใหม่ที่หิ้วท้องรอมาตลอดทั้งบ่าย เมื่อเห็นว่าศิษย์พี่กลับมาแล้วก็มองตามพวกเขาไปด้วยสายตาละห้อย บางคนที่ค่อนข้างใจกล้าหน่อยลุกขึ้นไปสอบถามถึงสถานการณ์ ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมากลับเป็นสายตาที่เย็นเยียบไร้ซึ่งความเป็นมิตร
ล่วงมาจนถึงยามดึก เด็กใหม่หลายคนที่หิวจนไส้กิ่วไปหมดแล้ว ก็ถูกลูกศิษย์ที่นำทางพวกเขาขึ้นมายังยอดเขาคนนั้นตะโกนเรียกให้ไปรวมตัวกันในลานที่พัก
จวินอู๋เสียกับเฉียวฉู่เองก็เดินตามพวกเขาออกไปอย่างเอื่อยเฉื่อย ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ดูเหมือนจะไม่เห็นร่องรอยของความหิวโหยหรือกระหายในสายตาของกันและกัน
““ศิษย์พี่…นี่ก็ดึกมากแล้ว…เมื่อไหร่พวกเราจะได้กินข้าวหรือขอรับ” เด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งดูหิวโหยมากกว่าคนอื่นๆ ยกมือลูบท้องแล้วมองไปที่ศิษย์คนนั้น
ศิษย์คนนั้นเหลือบมองพวกเขา หัวเราะให้กับเหล่าลูกแกะผู้ไร้เดียงสาด้วยน้ำเสียงประหลาดว่า “พวกเจ้าอยากกินข้าวรึ”
กลุ่มศิษย์ใหม่พร้อมใจกันพยักหน้าทันที
ศิษย์คนนั้นชี้นิ้วไปที่ด้านนอกลาน “เห็นนั่นใช่หรือไม่ ด้านนอกลานที่พักจะมีโอ่งน้ำขนาดใหญ่อยู่หนึ่งร้อยใบ ห่างออกไปจากที่นี่ราวห้าลี้บนภูเขาทางทิศตะวันออกมีตาน้ำพุอยู่ ทุกคนไปแบกน้ำพุมาเติมให้เต็มโอ่งซะ หาใครเติมได้ไม่เต็มโอ่งทั้งสามใบ ไม่ต้องพูดถึงข้าวเย็นของวันนี้ แม้แต่ข้าวเช้าวันพรุ่งนี้พวกเจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้กิน”
“ว่าอย่างไรนะ!” กลุ่มเด็กใหม่ตกใจจนโง่งมไปหมดแล้ว มองไปที่โอ่งใบใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ด้านนอกลานที่พัก นั่นมันโอ่งยักษ์ขนาดเท่าชายฉกรรจ์ร่างใหญ่คนหนึ่งเลยนะ ห้าลี้แม้ว่าจะไม่ไกลมาก แต่พวกเขาต้องเดินไปกลับกี่สิบรอบกันถึงจะสามารถเติมน้ำให้เต็มโอ่งทั้งสามใบได้ ตลอดทั้งวันนี้พวกเขาหิวจนจะเป็นลมอยู่แล้ว แม้แต่น้ำหยดเดียวก็ยังไม่มีลงท้อง พวกเขาไหนเลยจะมีเรี่ยวแรงเดินไปแบกน้ำจากที่ไกลๆ หลายสิบรอบแบบนั้น! ดูจากขนาดโอ่งน้ำใบใหญ่ที่ต้องเติมให้เต็ม แถมยังมากถึงสามใบ เกรงว่าหลายสิบรอบที่คาดไว้ จะเป็นเพียงจำนวนขั้นต่ำสุดเท่านั้น
แล้วไหนจะเส้นทางขึ้นยอดเขาเร้นมเฆาอีก ขนาดให้เดินแบกบนพื้นราบ พวกเขาก็ยังไม่มั่นใจว่าจะทำให้สำเร็จได้เลย!
“ทำไม หรือพวกเจ้าคิดจะแอบขี้เกียจ ข้าจะบอกอะไรให้ น้ำพวกนี้ก็คือน้ำที่จะนำมาใช้รดสมุนไพรในวันพรุ่งนี้ หากว่าพวกเจ้าทำไม่ได้ ก็ไสหัวลงไปจากยอดเขานี้ซะ ยอดเขาเร้นเมฆาไม่เลี้ยงเจ้าพวกสวะที่ขี้เกียจสันหลังยาว!” ลูกศิษย์คนนั้นพูดเยาะเย้ย แต่ละคำด่าจนเหล่าเด็กใหม่หน้าม้านแทบกระอักเลือด
กลุ่มเด็กใหม่ที่คิดว่าตัวเองโชคดีแล้ว พริบตานั้นคล้ายกับจะถูกน้ำเย็นราดใส่ศีรษะ ตื่นจากฝันหวานในทันใด
นี่มันใช่ฝันดีที่ไหน เป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายชัดๆ!
ไม่ง่ายเลยกว่าที่พวกเขาจะเข้ามาในยอดเขาเร้นเมฆาได้ แล้วจะให้พวกเขาปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยไปง่ายๆ ได้อย่างไร ต่อให้รู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่อาจทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้ ทว่าพวกเขาก็ยังกัดฟันทน ยอมพุ่งเข้าไปเผชิญหน้ากับความยากลำบากนี้
ตอนที่ 270 ฝันดีหรือว่าฝันร้าย (2)
กลุ่มเด็กใหม่วิ่งออกจากลานที่พักด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนล้า แต่ละคนแบกถังน้ำขึ้นหลัง มุ่งหน้าไปยังตาน้ำเพื่อขนเอาน้ำกลับมา
ร่างที่ดูเกียจคร้านสองร่างเดินรั้งอยู่ท้ายสุดอย่างไม่เร่งรีบนัก มองตามแผ่นหลังที่วิ่งจากไปอย่างโซซัดโซเซดูน่าสังเวชใจ
“หิวหรือไม่” เฉียวฉู่ถามเมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ จากไปจนหมดแล้ว ทิ้งไว้เพียงทั้งสองคนเหลืออยู่ในลานที่พัก
จวินอู๋เสียส่ายหัว ปกตินางก็ไม่ค่อยกินอะไรมากอยู่แล้ว ยิ่งไม่มีความสนใจในความอยากอาหาร ตราบเท่าที่นางมั่นใจว่าร่างกายจะได้รับพลังงานและสารอาหารที่เพียงพอในแต่ละวัน นางก็ไม่มีความคิดที่จะกินสิ่งอื่นใดเพิ่มอีก เม็ดยาที่นางนำติดตัวมาด้วย เพียงพอที่จะตอบสนองต่อความต้องการเหล่านี้ ดังนั้นยามนี้นางจึงไม่รู้สึกหิวแต่อยากใด
“เอ้านี่ เจ้าเก็บมันไว้ก่อน วันนี้ไม่กิน เก็บไว้กินวันหลังก็ยังได้ การทรมานนี้มันจะไม่จบลงง่ายๆ หรอกนะ” เฉียวฉู่ยื่นเนื้อตากแห้งถุงหนึ่งจากถุงผ้าที่ห้อยติดอยู่ตรงเอวของเขายัดใส่ในมือของจวินอู๋เสีย
จวินอู๋เสียเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองเฉียวฉู่ที่พร่ำบ่นและกำชับนางไปตลอดทาง ดูท่าว่าเบาะแสที่เขาได้รับก่อนจะเข้ามายังยอดเขาเร้นเมฆาแห่งนี้จะแน่นมากทีเดียว พิจารณาจากสายตาของเขาที่เผลอแสดงความกังวลออกมาในบางครั้ง ซึ่งตรงกันข้ามกับอุปนิสัยยามปกติของเขาที่จะแสดงออกอย่างสบายๆ รวมไปถึงความชำนิชำนาญในเส้นทางต่างๆ ในยอดเขาแห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของเฉียวฉู่ก็คือยอดเขาเร้นเมฆาแห่งนี้แต่แรก เขาถึงได้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี จริงอยู่ที่ว่าเนื้อแห้งแบบนี้เป็นเสบียงอาหารที่พบเห็นได้บ่อยของคนบนโลกใบนี้ แต่ในยามปกติ ไม่มีคนดีๆ ที่ไหนหรอกจะตุนเนื้อแห้งเป็นกองภูเขาเหมือนเฉียวฉู่ เนื้อแห้งถุงที่เขาให้นางมา ไม่ใช่ถุงเดียวที่เขามีอย่างแน่นอน
ตั้งแต่ต้นเฉียวฉู่ให้คำสัญญากับนางว่าเขาจะปกป้องนางระหว่างที่อยู่ในยอดเขาเร้นเมฆาแห่งนี้ นี่แสดงว่าเขาเองก็รู้อยู่แล้วว่ายอดเขาเร้นเมฆาไม่ใช่สถานที่ดีอันใด เนื้อแห้งถุงนี้ก็คือสิ่งที่ไว้ใช้รับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนี้กระมัง
จุดประสงค์การมายอดเขาเร้นเมฆาของเฉียวฉู่คืออะไรกันแน่นะ
เห็นว่าจวินอู๋เสียอย่างไรก็ไม่ยอมรับมันไปเสียที เฉียวฉู่ก็ทำได้เพียงใส่มันกลับเข้าไปในถุงผ้าของเขา “ถ้าเจ้าหิวก็มาบอกข้าได้เสมอ มันพอกินอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องแบกน้ำนี่ ไม่จำเป็นต้องทำมันหรอก อย่างไรเสียมันก็ทำไม่สำเร็จ ไม่สู้เจ้าไปเดินเล่นรอบๆ ก่อน? กลับไปตอนนี้มีแต่จะถูกศิษย์พี่พวกนั้นบ่นเอา”
เห็นได้ชัดว่าเฉียวฉู่ไม่ต้องการเป็นแรงงานเปล่าประโยชน์ให้กับยอดเขาเร้นเมฆา
“เจ้าจะไปไหน” จวินอู๋เสียถามขึ้นมาทันที
เฉียวฉู่ชะงัก นางรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะหลบออกไปทางอื่นเพียงลำพัง
“เจ้าบอกให้ข้าไปเดินเล่นรอบๆ ก่อน แล้วเจ้าล่ะ” จวินอู๋เสียชี้ให้เห็นถึงช่องโหว่ในคำพูดของเขา
เฉียวฉู่ตบหน้าผากของตัวเองอย่างหดหู่ “ดูสมองข้าสิ! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่ฮวาถึงชอบด่าว่าข้าโง่เสมอ!” เขามองไปรอบๆ เห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นจึงก้มหน้าลง กระซิบพูดด้วยเสียงเบาว่า “ข้าจะไปหาคนคนหนึ่ง ยอดเขาเร้นเมฆาแห่งนี้อันตรายมาก เจ้าอย่าได้วิ่งวุ่นไปทั่วกับข้าเลยนะ รอข้าหาคนผู้นั้นเจอแล้วคุยธุระกันเสร็จ ข้าจะกลับมาหาเจ้า”
ในสายตาของเฉียวฉู่ แขนและขาเล็กๆ ของจวินอู๋เสียจะเผชิญหน้ากับอันตรายที่ซ่อนเร้นอยู่ของยอดเขาเร้นเมฆาแห่งนี้ไหวได้อย่างไร ตัวเขาเพียงลำพังไม่เป็นไร แต่เกิดกลางทางเขาเผลอไผลแล้วนางถูกคนชั่วร้ายลักพาตัวไปขึ้นมา เขากลัวตรงจุดนี้แหละ
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” จวินอู๋เสียมองไปที่เฉียวฉู่
เฉียวฉู่ตัวแข็งค้างไปแล้วจริงๆ
“เจ้าบอกว่าจะไปกับข้าด้วยหรือ”
จวินอู๋เสียพยักหน้า
เฉียวฉู่คุ้นเคยกับยอดเขาเร้นเมฆามากกว่านาง ไม่ว่าภูมิหลังของเฉียวฉู่จะเป็นใครมาจากที่ไหน อย่างน้อยนางก็มั่นใจได้อย่างหนึ่งว่าเขาไม่มีทางเป็นพันธมิตรกับสำนักชิงอวิ๋นยังอย่างแน่นอน ยิ่งถ้าหากว่าจุดประสงค์ของพวกนางไม่ขัดแย้งกัน นางก็ไม่รังเกียจหากจะยืมมือของเขาเพื่อช่วยให้ตัวเองได้รู้จักกับยอดเขาเร้นเมฆามากกว่านี้
เฉียวฉู่รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เขามองไปที่จวินอู๋เสียลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ก็ได้ แต่ว่าเจ้าต้องสัญญากับข้าก่อนอย่างหนึ่ง ไม่ว่าเจ้าได้เห็นหรือพบเจอสิ่งใด ห้ามส่งเสียงกรีดร้องออกมาเป็นอันขาด”
พานางไปด้วยก็ดี การปล่อยให้นางเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วสถานที่อันตรายแบบนี้เพียงลำพัง ก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีจริงๆ
เห็นได้ชัดว่าเฉียวฉู่มีความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับจวินอู๋เสียเป็นอย่างมาก เขาคงเห็นว่านางเป็นเพียงเด็กหนุ่มร่างเล็ก อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะฆ่าไก่ โดยที่ลืมไปเสียสนิทว่าเมื่อตอนกลางวัน นางวางยาพิษกำจัดคนพวกนั้นด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมและร้ายกาจเพียงใด