ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 387 เข้าเรียน (3) ตอนที่ 388 เข้าเรียน (4)
ตอนที่ 387 เข้าเรียน (3) / ตอนที่ 388 เข้าเรียน (4)
ตอนที่ 387 เข้าเรียน (3)
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่ตกตะลึงของฝูงชน ใบหน้าของจวินอู๋เสียก็ยังคงไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ แต่นางสัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งของบุรุษชุดสีน้ำเงินนั้นไม่ได้ธรรมดาเลย ประกอบกับทัศนคติของลูกศิษย์จากสำนักศึกษาเฟิงหัวคนอื่นๆ ที่มีต่อเขา ก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าสถานะของบุรุษผู้นี้ในสำนักศึกษาเฟิงหัวจะต้องไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นแน่ๆ
“พรสวรรค์ระดับนี้ เจ้าสามารถเข้าสู่ตึกหลักได้โดยตรง!” บุรุษชุดสีน้ำเงินยิ้มกว้างและหัวเราะอย่างสดใส เขามองไปที่จวินอู๋เสียและเอ่ยปากดึงตัวนางให้เข้าไปศึกษายังตึกหลักโดยตรง
ประโยคนี้ทำให้เด็กหนุ่มสาวไม่รู้กี่คนที่อยู่บริเวณนั้นเกิดความอิจฉา
ในทุกๆ ปี ผู้ที่สามารถเข้าไปศึกษายังตึกหลักได้โดยตรงนั้นมีน้อยมาก แต่อิจฉาก็ส่วนอิจฉา ผู้ใดใช้ให้พวกเขาไม่มีพลังวิญญาณขั้นสีส้มเช่นผู้อื่นเล่า คำสั่งของบุรุษชุดสีน้ำเงิน ไม่ได้มีการเล่นพรรคเล่นพวกและปราศจากความลำเอียงโดยสิ้นเชิง พลังวิญญาณขั้นสีส้มอายุสิบสี่ เข้าไปศึกษายังตึกหลักโดยตรงก็เป็นเรื่องที่สมควรจะเป็น
บางคนมีความสุข ในขณะที่บางคนก็เป็นกังวล เฉียวฉู่และคนอื่นๆ แทบจะอาเจียนเป็นเลือดแล้วในเวลานี้ บุรุษชุดสีน้ำเงินผู้นั้นเปิดปากก็บอกให้จวินอู๋เสียเข้าไปศึกษายังตึกหลักทันที แล้วจะให้พวกเขาที่เหลือที่เข้าตึกรองแล้วทำอย่างไร!
คงไม่อาจวิ่งไปขอรับการทดสอบใหม่ แล้วบอกกับผู้ที่ทำการทดสอบว่า พวกเขาทดสอบความก้าวหน้าของพลังวิญญาณอีกครั้งได้กระมัง!
เดิมทีบุรุษชุดสีน้ำเงินคิดว่าเมื่อเด็กหนุ่มร่างเล็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาได้ยินอย่างนี้แล้ว เขาจะแสดงออกอย่างมีความสุขเมื่อได้ยินเรื่องนี้ แต่ไม่ได้คาดหวังว่าเขาไม่เพียงแต่จะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ บนใบหน้าเล็กๆ ที่เย็นชานั่น อีกฝ่ายถึงขั้นไม่แยแสเขาด้วยซ้ำ นี่ทำให้สายตาที่เขามองไปทางจวินอู๋เสียแตกต่างออกไปเล็กน้อย
พรสวรรค์ทางธรรมชาตินั้นหายาก แต่ความทะนงตัวและความพึงพอใจที่มากเกินไปจะกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฝึกฝน เขาเคยได้เห็นเด็กหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์สูงส่งหลายคน ซึ่งในตอนแรกได้เปล่งประกายแสงและแสดงความสามารถที่ยอดเยี่ยมออกมา แต่ในภายหลังเนื่องจากพวกเขาต้องเผชิญกับอุปสรรคในการฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่า การฝึกฝนพลังวิญญาณนั้นจะง่ายมากที่สุดในช่วงแรก ตราบเท่าที่เจ้ามีความสามารถเพียงพอ เจ้าก็จะสามารถทะลวงระดับขั้นไปได้ดั่งใจ ทว่าเมื่อวันเวลาค่อยๆ ผันผ่าน และระดับพลังวิญญาณของเจ้าเพิ่มสูงขึ้น ความยากในการทะลวงระดับก็จะยิ่งมากขึ้นตาม แน่นอนว่ามันก็จะยิ่งใช้เวลามากขึ้นเป็นเท่าตัว ในจุดนี้ผู้ที่ทำการบ่มเพาะจำเป็นต้องมีความอดทนเป็นอย่างมาก ต้องทนต่อความเบื่อหน่ายในการฝึกฝนที่ยาวนานแล้วไม่มีวันจบสิ้น การบ่มเพาะพลังวิญญาณเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและซ้ำซาก ถ้าหากว่าเจ้าไม่สามารถอดทนต่อความเบื่อหน่ายและไม่อาจละเว้นจากเรื่องในทางโลก ไม่ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์สูงส่งมากเพียงใด สุดท้ายเส้นทางของเจ้าก็จะถูกตัด และความก้าวหน้าของพลังวิญญาณของเจ้าก็จะหยุดลงเพียงแค่ตรงนั้นไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้อีก
สุดท้าย มันก็จะกลายเป็นเพียงแค่เรื่องตลกประเดี๋ยวประด๋าวให้ผู้อื่นหยิบยกขึ้นมากระซิบกระซาบยามจิบน้ำชาสนทนากันเท่านั้น
“เด็กน้อย เจ้ามีชื่อว่าอะไร” บุรุษชุดสีน้ำเงินถามด้วยรอยยิ้ม
“จวินเสีย” จวินอู๋เสียทั้งไม่ได้อ่อนน้อมถ่อมตนหรือเย่อหยิ่ง
บุรุษชุดสีน้ำเงินหัวเราะเสียงเบา
เมื่อเสียงหัวเราะของเขาดังออกมา จู่ๆ จวินอู๋เสียก็รู้สึกได้ถึงกระแสพลังงานอุ่นๆ ไหลเข้าสู่ร่างกายของนางผ่านมือของบุรุษชุดสีน้ำเงินผู้นั้นที่กำลังกำข้อมือของนางไว้อยู่ ร่างกายของนางแข็งทื่อไปในทันที
“ใจเย็นๆ พรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ หากวงแหวนภูติวิญญาณเสียหาย เช่นนั้นก็ได้ไม่คุ้มเสียแล้ว” บุรุษชุดสีน้ำเงินกระซิบที่ข้างหูจวินอู๋เสียเบาๆ
จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เย็นชาของเขาสะท้อนใบหน้าที่หล่อเหลาของบุรุษผู้นั้น
กระแสพลังอุ่นๆ ที่คล้ายมีคล้ายไม่มี แทรกเข้าไปในจิตวิญญาณของนาง ก่อนจะค่อยๆ แผ่ขยายไปยังจุดที่จิตวิญญาณของเจ้าแมวดำตัวน้อยกำลังหลับใหลอยู่อย่างต่อเนื่อง
นัยน์ตาของจวินอู๋เสียฉายแววประหลาดใจ นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าจิตวิญญาณที่อ่อนแอของเจ้าแมวดำตัวน้อยนั้นกำลังค่อยๆ ได้รับการซ่อมแซมและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องภายใต้กระแสพลังอันอบอุ่นนี้!
ผู้เยียวยาจิตวิญญาณ!
สามคำนี้แวบเข้ามาในหัวของจวินอู๋เสียทันที
แม้ว่าเสี่ยวเฮยจะแตกต่างจากวงแหวนภูติวิญญาณที่แท้จริงอยู่บ้าง แต่โดยพื้นฐานแล้วทั้งคู่ล้วนเป็นร่างวิญญาณเช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าผู้เยียวยาจิตวิญญาณสามารถซ่อมแซมจิตวิญญาณที่เสียหายของวงแหวนภูติวิญญาณได้ เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่มันจะไม่สามารถซ่อมแซมจิตวิญญาณที่เสียหายของเสี่ยวเฮยได้!
ในเวลานี้บัวหิมะซังอวี้ไม่ได้อยู่ในร่างของจวินอู๋เสีย จิตวิญญาณที่อาศัยอยู่ภายในร่างกายของนาง จึงมีเพียงเจ้าแมวดำตัวน้อยของนางเพียงตัวเดียว!
กระแสพลังงานที่อบอุ่นนี้ ค่อยๆ เข้าไปหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเจ้าแมวดำตัวน้อยอย่างต่อเนื่อง!
นี่ก็คือพลังของผู้เยียวยาจิตวิญญาณอย่างนั้นหรือ! ดวงตาของจวินอู๋เสียเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้เยียวยาจิตวิญญาณของสำนักศึกษาเฟิงหัวจะกลายเป็นที่ต้องการของขุมอำนาจอื่นๆ มากกว่าใคร ตราบเท่าที่ยังมีผู้เยียวยาจิตวิญญาณคอยนั่งรักษาการอยู่ ก็จะไม่ต้องถูกมัดมือมัดเท้าระหว่างทำสงครามอีกต่อไป วงแหวนภูติวิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บ จะได้รับการรักษาจนหายดีและสามารถกลับลงสู่สนามรบได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถยืดเวลาในการรบออกไปได้!
ตอนที่ 388 เข้าเรียน (4)
หลังจากนั้นไม่นาน บุรุษชุดสีน้ำเงินก็ปล่อยมือจากจวินอู๋เสีย ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาซีดลงเล็กน้อย และมีเหงื่อบางๆ ผุดขึ้นมาเต็มใบหน้านั้น
คนของสำนักศึกษาเฟิงหัว เมื่อเห็นว่าบุรุษชุดสีน้ำเงินแสดงอาการเหนื่อยล้าออกมา พวกเขาก็รีบเข้าไปช่วยประคองทันที
บุรุษชุดสีน้ำเงินโบกมือเล็กน้อยบอกให้พวกเขาถอยกลับไป
การรักษาวงแหวนภูติวิญญาณให้กับเด็กน้อยคนนี้ เผาผลาญพลังวิญญาณไปมากกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก พลังวิญญาณที่ถูกสูบออกไปอย่างมหาศาลในช่วงเวลาสั้นๆ เช่น เขาไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกนี้มานานมากแล้ว นี่ไม่เหมือนกับกำลังรักษาวงแหวนภูติวิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บหนักเลย แต่มันเหมือนกับการฟื้นคืนชีพให้กับวงแหวนภูติวิญญาณที่ใกล้จะตายมากกว่า!
บุรุษผู้นั้นยิ้มขื่นในใจ ไม่ง่ายเลยกว่าที่เขาจะแสดงความเมตตาออกมาสักครั้ง แต่เมื่อมาเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ เขาที่เกือบจะรีบหยุดมือทันทีเมื่อค้นพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ ก็รีบมองไปทางจวินอู๋เสียราวกับต้องการค้นหาคำตอบบางอย่าง แต่เมื่อเห็นจวินอู๋เสียจ้องตอบเขากลับมาด้วยใบหน้าเย็นชา ทว่าอารมณ์ที่กระเพื่อมไหวอยู่ในดวงตาคู่นั้นกลับสะท้อนออกมาไม่หยุด ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงไม่อาจยับยั้งตัวเองได้เลยและลงมือรักษาต่อไปจนสิ้นสุด
จวบจนถึงบัดนี้ แม้จะหยุดการรักษาไปได้สักครู่แล้วแต่อาการเหนื่อยหอบและหมดแรงก็ยังคงจู่โจมเขาอยู่ดี
“ข้าเหนื่อยแล้ว พวกเจ้าจัดการกันต่อเถิด” บุรุษชุดสีน้ำเงินปฏิเสธความช่วยเหลือจากเหล่าศิษย์ที่รีบเข้ามาประคอง เขาหันไปจ้องจวินอู๋เสียสักพัก จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินจากไป
จวินอู๋เสียสัมผัสได้เลยว่าจิตวิญญาณภายในร่างกายของนางนั้นกำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ร่างเล็กเงยหน้าขึ้น มองตามแผ่นหลังของบุรุษชุดสีน้ำเงินที่เดินจากไปแล้วพูดด้วยความกตัญญูว่า “ขอบคุณ”
ฝีเท้าของบุรุษชุดสีน้ำเงินที่กำลังก้าวเดินออกไปชะงักกึกอยู่กับที่ทันที เขาหันหน้ากลับมามองจวินอู๋เสีย จ้องใบหน้าเล็กๆ ที่เฉยเมยนั่นแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่จำเป็น ในเมื่อเจ้าเป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษาเฟิงหัว ข้าในฐานะอาจารย์ยื่นมือช่วยเหลือเจ้าหนึ่งหรือสองอย่างก็เป็นเรื่องปกติ เจ้าชื่อจวินเสียสินะ หากว่าเจ้าสนใจ หลังจากเข้าเรียนแล้วสามารถมาหาข้าที่ตึกสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณได้ ข้าชื่อกู้หลีเซิง!”
กล่าวจบ ร่างกายคล้ายจะโงนเงนเล็กน้อยของกู้หลีเซิงก็เดินจากไปโดยไม่หยุดฝีเท้าอีก
กู้หลีเซิงหรือ ตึกสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ? จวินอู๋เสียยังคงจมอยู่กับคำพูดเมื่อสักครู่นี้ของกู้หลีเซิงก่อนที่เขาจะจากไป แต่กลุ่มคนหนุ่มสาวที่กำลังยืนเข้าแถวอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าสำนักศึกษาเฟิงหัวได้ระเบิดไปจนหมดแล้ว!
หากพูดว่าก่อนหน้านี้พวกเขาเพียงแค่อิจฉาจวินอู๋เสียที่ได้เข้าไปศึกษายังตึกหลักโดยตรง เวลานี้หลังจากที่ได้ยินคำพูดของกู้หลีเซิง เปลวเพลิงแห่งความริษยาก็โชติช่วงท่วมท้นไปทั้งหัวใจของเหล่าเด็กหนุ่มสาวที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้นทั้งหมด!
กู้หลีเซิง! นั่นคือผู้ก่อตั้งสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณเชียวนะ!
ว่ากันว่าผู้เยียวยาจิตวิญญาณทั้งหมดบนโลกในทุกวันนี้ ล้วนเป็นศิษย์ภายใต้การดูแลของกู้หลีเซิงทั้งสิ้น!
ก่อนหน้าที่จะมีกู้หลีเซิง ไม่เคยปรากฏตัวตนของผู้เยียวยาจิตวิญญาณมาก่อน!
เป็นเพราะสำนักศึกษาเฟิงหัวมีกู้หลีเซิงอยู่ พวกเขาถึงได้มีสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณที่พิเศษและโดดเด่นไม่เหมือนใคร!
เจ้าเด็กที่ชื่อจวินเสียนี่ มันจะโชคดีอะไรขนาดนี้ แม้ว่าเขาจะมีพลังวิญญาณอยู่ในขั้นสีส้มด้วยวัยเพียงสิบสี่ปี แต่ก็ไม่น่าจะถึงกับอัญเชิญเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่อย่างกู้หลีเซิงให้เสด็จมาที่นี่ด้วยตัวเองไม่ใช่หรือ แถมยังถูกกู้หลีเซิงเชิญให้เข้าร่วมกับสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณของเขาเป็นการส่วนตัวอีกด้วย!
ตอนนี้ไม่มีเด็กรุ่นเยาว์คนไหนแล้วที่ไม่เดือดพล่าน! พวกเขาทุกคนจ้องไปที่จวินอู๋เสียเป็นตาเดียว โดยหวังว่าสายตาของพวกเขาจะสามารถถลกหนังนางแล้วกลืนกินนางลงไปทั้งเป็นได้!
สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณที่ทุกๆ คนปรารถนาอย่างแรงกล้าว่าจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมันให้ได้ โอกาสนี้กลับตกลงบนหัวของเด็กน้อยที่ถูกยอมรับอย่างสับสนมึนงงผู้นี้!
ได้รับความสนใจจากกู้หลีเซิงก่อนจะได้เข้าสู่สำนักศึกษาเฟิงหัวอย่างเป็นทางการ นี่ไม่ได้หมายความว่าอนาคตของเจ้าเด็กนี่ถูกกำหนดไว้อย่างแน่นอนแล้วว่าจะต้องสว่างไสวรุ่งโรจน์หรอกหรือ!
คิดถึงตรงนี้ สายตาที่ไม่พอใจของกลุ่มคนรุ่นเยาว์ก็เบนไปทางบุรุษสองคนที่วิ่งไปตามกู้หลีเซิงให้เข้ามาในตอนแรก พวกเขาเองก็เป็นเด็กที่มาเข้าร่วมการทดสอบเหมือนกัน แต่ทำไมทั้งคู่ถึงไม่เชิญกู้หลีเซิงให้มาตรวจสอบพวกเขาบ้าง แต่ละคนยิ่งคิดก็ยิ่งริษยา ในใจเต็มไปด้วยความโกรธและความไม่ชอบใจ
ทั้งสองคนที่ตกเป็นจำเลยของฝูงชนอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม พวกเขาเพียงคิดว่าพรสวรรค์ทางด้านการบ่มเพาะพลังวิญญาณของจวินอู๋เสียนั้นสูงมาก เพียงแต่จิตวิญญาณของนางในตอนนี้ได้รับความเสียหายอย่างหนักและอ่อนแอมาก พวกเขาจึงได้ไปเชิญท่านอาจารย์ให้มาตรวจสอบดู ผู้ใดจะรู้ว่ากู้หลีเซิงที่ปกติไม่ค่อยจะปรากฏตัวออกมาให้ใครเห็น จะเสนอตัวมาทดสอบเด็กคนนี้ด้วยตัวเองและเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นในภายหลัง ทุกคนล้วนไม่มีใครคาดคิดว่ากู้หลีเซิงจะถูกชะตากับเด็กคนนี้ และยอมรับเขา…